ที่ทำงานกับที่บ้านผมอยู่ห่างกันประมาณ 30 กม. ผมอยู่พระนครส่วนใต้ต้อง
เดินทางไปทำงานยังพระนครส่วนเหนือ ทุก ๆ วันผมจะเดินทางค่อนข้างสวน
ทางกับคนอื่น คือ ตอนเช้าในขณะที่คนอื่นเดินทางเข้าเมืองโดยใช้ขาเข้า ผม
ก็จะใช้ขาออกเพื่อไปทำงาน ในทางกลับกันตอนเย็นคนส่วนใหญ่จะใช้ขาออก
เพื่อเดินทางกลับบ้านนอกเมือง ผมก็จะใช้ขาเข้าเพื่อเดินทางกลับบ้านแทน
บ้านผมอยู่ในซอยลึกมาก และห่างจากถนนใหญ่ (ที่มีรถเมล์วิ่ง) มากพอสม-
ควร ถ้าผมใช้ระบบ ขนส่งมวลชนเดินทาง จะต้องเดินทางอย่างน้อย 4 ทอด
กว่าจะถึงที่ทำงาน
ต่อที่ (1) มอไซค์วินออกจากซอย 30 บาท เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้า หรือขึ้นรถเมล์
**ในซอยมีรถสองแถววิ่งก็จริง แต่หวานเย็นมาก และนาน ๆ มาที พึ่งพา
อะไรไม่ได้ในชั่วโมงเร่งด่วน
ต่อที่ (2) รถไฟฟ้า 40 บาท เพื่อมาลงหมอชิตเพราะรถไฟฟ้าไปไม่ถึงที่ทำงาน
ต่อที่ (3) รถเมล์ 14 บาท นั่งรถเมล์จาก BTS หมอชิตมาที่ทำงาน
ต่อที่ (4) มอไซค์วินเข้าที่ทำงาน 13 บาท เพราะที่ทำงานอยู่ในซอยลึกมาก
เดินเข้าไปไม่ได้ ต้องนั่งพี่วินเข้า
รวมทั้งสิ้นต่อวัน (30+40+14+13)*2=194 บาท
รวมทั้งสิ้นต่อเดือน 194x20=3,880 บาท/เดือน
(*ในกรณีที่ 1 เดือนทำงาน 20 วัน)
หมายเหตุ
(1) หลายครั้งผมกลับบ้านดึก วินมอไซค์เลิกแล้ว ต้องนั่งแท็กซี่เข้าซอย เสีย
ค่าแท็กซี่ประมาณ 50 บาท และบางครั้งต้องออกแต่เช้ามาก ซึ่งวินเขาเริ่ม
06:30 ก็ต้องเรียกแท็กซี่ออกจากซอยแทน เสียประมาณ 50 บาท
(2) บางครั้งผมต้องทำงาน 6 วัน หรือวันอาทิตย์ก็ต้องเข้ามาเก็บรายละเอียด
ก็จะเสียค่าเดินทางเพิ่มอีก
สรุป
ดังนั้น ในแต่ละเดือนถ้าผมใช้ระบบขนส่งมวลชน ผมจะต้องเสียค่าเดินทาง
อย่างน้อย 4,000 บาท/เดือน โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 4,500-5,000
บาท/เดือน เพราะเราคงไม่ได้ไปทำงานที่เดียว ก็ต้องมีบางวันที่ไปที่อื่นด้วย
นี่ยังไม่รวมความเหนื่อยล้า อันเกิดจากการต่อรถหลายทอดกว่าจะถึงบ้าน
ยิ่งเป็นหน้าฝน ก็ยิ่งลำบาก วันไหนต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรัง ก็เป็นที่น่า
เวทนาของคนในบ้านเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ผมใช้รถ LPG เดือนหนึ่งเต็มที่ก็จ่ายค่า LPG ไม่ถึง 2,000 บาท
ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้รถ NGV แล้ว ผมเติม 1 ถัง 130-140 บาท วิ่งได้ จ-ศ
เดือนหนึ่ง ๆ เสียค่า NGV แค่ประมาณ 140x4=560 บาทเท่านั้น บางวัน
อาจจะรถติดมากไปหน่อย เดือนหนึ่งอาจจะเติม 5 ถังก็ยังแค่ 700 บาทเท่า-
นั้น
ระบบขนส่งมวลชน 4,500-5,000 บาท/เดือน
ขับรถเอง CNG 700 บาท/เดือน
ระบบขนส่งมวลชนของประเทศเรามันล้มเหลว เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่แค่
เรื่องความไว้วางใจพึ่งพาเพื่อเดินทาง แต่ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตด้วย
รถเมล์ในต่างประเทศ คนขับต้องผ่านการอบรมและทดสอบมากมาย เพราะเขาต้อง-
เป็นผู้รับผิดชอบ "ชีวิตคนหลายสิบชีวิต" ในการเดินทางแค่ละครั้ง แต่รถเมล์บ้านเรา
เอาใครจากไหนก็ได้มาขับ แล้วก็พาไปแหกโค้งพบเจอเสาไฟฟ้าข้างทางอยู่เป็นประ-
จำ มีทั้งแข่งกันเอง ขับทับผู้โดยสารแล้วหนี ความที่เป็นประชาชนคนเดินดินธรรมดา
ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนเหมือนน้องแพปลา 9 ศพ เกิดเหตุอะไรขึ้นมาเราก็คงไม่อาจไปเรียก
ร้องเอาอะไรจากใครได้
ยังไม่รวมภาวะการพึ่งพาแท็กซี่ของคนเมืองตามยถากรรม มีทั้งหยิ่งไม่รับผู้โดยสาร-
เอาใครที่ไหนก็ได้มาขับรถให้เรานั่ง ให้เราต้องฝากชีวิตเอาไว้กับเขา วันดีคืนดีก็ปล้น
ฆ่าข่มขืนทำร้ายผู้โดยสาร
การออกรถของคนเมือง มันไม่ใช่แค่ว่าต้องการโอ้อวดฐานันดรหรือฐานะทางการเงิน
เสมอไปดอก แต่ด้วยความล้มเหลวของระบบขนส่งมวลชนในประเทศ ความไม่เท่า-
เทียมกันของคนในสังคม การบังคับใช้กฎหมายที่โอนอ่อนผ่อนไปตามอำนาจเงินตรา
และศักดินาวงศ์ตระกูล
จึงทำให้หลายคนที่พอจะมีกำลัง มีปัญญา มีแรงที่จะออกรถมาขับเองได้ ก็เลือกที่จะ
ขับรถเองมากกว่าที่จะฝากชีวิตเอาไว้กับระบบขนส่งมวลชนที่ไม่รู้ว่าจะพาเราไปตาย
ที่ไหนเมื่อไหร่ โดยใครจะเป็นคนขับแท็กซี่หรือตีนผี พนข. รถเมล์
ลองคิดดู ถ้าน้องสาว พี่สาว ลูกสาวคุณ อยู่ในซอยลึกเปลี่ยวที่เข้าถึงยากเช่นนี้ ต้องเดิน
ทางด้วยพี่วิน หรือไม่ก็แท็กซี่อย่างผมเป็นประจำทุกวัน กลับดึก ๆ ดื่น ๆ คุณจะไว้วาง
ใจระบบขนส่งมวลชนหรือไม่
เป็นผม ถ้าลูกสาวต้องเดินทางแบบนี้ก็ออกรถให้โดยไม่ลังเลจริงไหม?
รถคันหนึ่ง ๆ ราคาไม่ใช่แค่หลักหมื่น แต่เป็นหลักแสน ของมีค่าราคาเท่านั้น คงมีน้อย
คนมากที่จะสามารถซื้อสดได้ คนที่มีรถส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ท่วมหัวเอาตัวแทบไม่รอด
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเขาเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากจะมาเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อ
รถดอก
หากระบบขนส่งมวลชนในประเทศมันไว้ใจได้ เชื่อถือได้ ที่สำคัญพึ่งพาได้ ถ้า กม. บ้าน
เรามันบังคับใช้ได้กับคนทุกระดับชั้นจริง ๆ ถ้าความยุติธรรมมันมีในสังคมจริง ๆ
ภาครัฐหลายส่วนรณรงค์กันหนักหนาว่าให้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน แต่ได้เคยหัน
กลับมาดูระบบขนส่งมวลชนที่มันมีอยู่ว่ามันมีสภาพให้ประชาชนพึ่งพาเชื่อถือและฝาก
ชีวิตเอาไว้ได้บ้างไหม?
ถ้าผมต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน แล้วแพงกว่าการขับรถไปเองแบบนี้ จะว่าผม
เห็นแก่ตัวก็ได้ผมขอเลือกที่จะขับรถไปเองดีกว่า มันไม่ใช่แค่ว่าสะดวกสบายกว่ากันมาก
เพียงอย่างเดียวแต่เพราะมันถูกกว่าด้วย ที่สำคัญอย่างน้อยผมก็ยังไว้วางใจฝากชีวิตไว้กับรถ
ตัวเองดีกว่าไปฝากไว้กับคนอื่น
เรื่องนี้อันที่จริงจะโทษเรื่องระบบขนส่งมวลชนอย่างเดียวก็ไม่ถูก มันต้องโทษตั้งแต่ผัง
เมืองเลยว่าทำไมผังของเมืองหลวงจึงมีสภาพยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยตันลึกไม่
เชื่อมถึงกันมากมายขนาดนี้
ผมเชื่อเลยว่าคนกรุงเทพมากกว่า 95% อยู่ในซอยลึกที่ต้องนั่งรถอย่างน้อย 1 หรือ 2 ต่อ
เพียงเพื่อมาขึ้นรถเมล์ เพื่อจะไปต่อรถเมล์หรือระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ
สุดท้ายนี้ ขอให้กำลังใจทุกท่าน ในการฝ่าฝันกับการเดินทางทุกวี่ทุกวันเพื่อไปทำงาน ใครที่ได้
ทำงานตามหัวเมือง ตจว. ไม่ต้องมาประสพกับสภาพอันน่าเวทนาของคนเมืองที่ต้องเผชิญกับ
การจราจรที่เหมือนนรกทุกเช้าเย็น ก็ขอให้ท่านทราบว่า ท่านได้ทำบุญมามากแล้วและขอแสดง
ความยินดีกับท่านด้วย ผมหละอิจฉาพวกท่านจริง ๆ
ปล. ของผมนี่ว่าน้อยแล้วนะ เพราะคนที่รู้จักหลายคนบ้านอยู่บางใหญ่ แต่ทำงานพระราม 9 ต้อง
ออกจากบ้านอย่างช้าที่สุด 05:00 น. ทุกวัน ของผมนี่เด็ก ๆ ไปเลย
ขอบคุณครับ
เหตุผลของคนมีรถ ใช่ว่าจะเพื่อความสะดวกสบายเพียงอย่างเดียว
เดินทางไปทำงานยังพระนครส่วนเหนือ ทุก ๆ วันผมจะเดินทางค่อนข้างสวน
ทางกับคนอื่น คือ ตอนเช้าในขณะที่คนอื่นเดินทางเข้าเมืองโดยใช้ขาเข้า ผม
ก็จะใช้ขาออกเพื่อไปทำงาน ในทางกลับกันตอนเย็นคนส่วนใหญ่จะใช้ขาออก
เพื่อเดินทางกลับบ้านนอกเมือง ผมก็จะใช้ขาเข้าเพื่อเดินทางกลับบ้านแทน
บ้านผมอยู่ในซอยลึกมาก และห่างจากถนนใหญ่ (ที่มีรถเมล์วิ่ง) มากพอสม-
ควร ถ้าผมใช้ระบบ ขนส่งมวลชนเดินทาง จะต้องเดินทางอย่างน้อย 4 ทอด
กว่าจะถึงที่ทำงาน
ต่อที่ (1) มอไซค์วินออกจากซอย 30 บาท เพื่อมาขึ้นรถไฟฟ้า หรือขึ้นรถเมล์
**ในซอยมีรถสองแถววิ่งก็จริง แต่หวานเย็นมาก และนาน ๆ มาที พึ่งพา
อะไรไม่ได้ในชั่วโมงเร่งด่วน
ต่อที่ (2) รถไฟฟ้า 40 บาท เพื่อมาลงหมอชิตเพราะรถไฟฟ้าไปไม่ถึงที่ทำงาน
ต่อที่ (3) รถเมล์ 14 บาท นั่งรถเมล์จาก BTS หมอชิตมาที่ทำงาน
ต่อที่ (4) มอไซค์วินเข้าที่ทำงาน 13 บาท เพราะที่ทำงานอยู่ในซอยลึกมาก
เดินเข้าไปไม่ได้ ต้องนั่งพี่วินเข้า
รวมทั้งสิ้นต่อวัน (30+40+14+13)*2=194 บาท
รวมทั้งสิ้นต่อเดือน 194x20=3,880 บาท/เดือน
(*ในกรณีที่ 1 เดือนทำงาน 20 วัน)
หมายเหตุ
(1) หลายครั้งผมกลับบ้านดึก วินมอไซค์เลิกแล้ว ต้องนั่งแท็กซี่เข้าซอย เสีย
ค่าแท็กซี่ประมาณ 50 บาท และบางครั้งต้องออกแต่เช้ามาก ซึ่งวินเขาเริ่ม
06:30 ก็ต้องเรียกแท็กซี่ออกจากซอยแทน เสียประมาณ 50 บาท
(2) บางครั้งผมต้องทำงาน 6 วัน หรือวันอาทิตย์ก็ต้องเข้ามาเก็บรายละเอียด
ก็จะเสียค่าเดินทางเพิ่มอีก
สรุป
ดังนั้น ในแต่ละเดือนถ้าผมใช้ระบบขนส่งมวลชน ผมจะต้องเสียค่าเดินทาง
อย่างน้อย 4,000 บาท/เดือน โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 4,500-5,000
บาท/เดือน เพราะเราคงไม่ได้ไปทำงานที่เดียว ก็ต้องมีบางวันที่ไปที่อื่นด้วย
นี่ยังไม่รวมความเหนื่อยล้า อันเกิดจากการต่อรถหลายทอดกว่าจะถึงบ้าน
ยิ่งเป็นหน้าฝน ก็ยิ่งลำบาก วันไหนต้องหอบหิ้วของพะรุงพะรัง ก็เป็นที่น่า
เวทนาของคนในบ้านเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ผมใช้รถ LPG เดือนหนึ่งเต็มที่ก็จ่ายค่า LPG ไม่ถึง 2,000 บาท
ตอนนี้เปลี่ยนมาใช้รถ NGV แล้ว ผมเติม 1 ถัง 130-140 บาท วิ่งได้ จ-ศ
เดือนหนึ่ง ๆ เสียค่า NGV แค่ประมาณ 140x4=560 บาทเท่านั้น บางวัน
อาจจะรถติดมากไปหน่อย เดือนหนึ่งอาจจะเติม 5 ถังก็ยังแค่ 700 บาทเท่า-
นั้น
ระบบขนส่งมวลชน 4,500-5,000 บาท/เดือน
ขับรถเอง CNG 700 บาท/เดือน
ระบบขนส่งมวลชนของประเทศเรามันล้มเหลว เป็นเรื่องจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ใช่แค่
เรื่องความไว้วางใจพึ่งพาเพื่อเดินทาง แต่ยังเป็นเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตด้วย
รถเมล์ในต่างประเทศ คนขับต้องผ่านการอบรมและทดสอบมากมาย เพราะเขาต้อง-
เป็นผู้รับผิดชอบ "ชีวิตคนหลายสิบชีวิต" ในการเดินทางแค่ละครั้ง แต่รถเมล์บ้านเรา
เอาใครจากไหนก็ได้มาขับ แล้วก็พาไปแหกโค้งพบเจอเสาไฟฟ้าข้างทางอยู่เป็นประ-
จำ มีทั้งแข่งกันเอง ขับทับผู้โดยสารแล้วหนี ความที่เป็นประชาชนคนเดินดินธรรมดา
ไม่ใช่อภิสิทธิ์ชนเหมือนน้องแพปลา 9 ศพ เกิดเหตุอะไรขึ้นมาเราก็คงไม่อาจไปเรียก
ร้องเอาอะไรจากใครได้
ยังไม่รวมภาวะการพึ่งพาแท็กซี่ของคนเมืองตามยถากรรม มีทั้งหยิ่งไม่รับผู้โดยสาร-
เอาใครที่ไหนก็ได้มาขับรถให้เรานั่ง ให้เราต้องฝากชีวิตเอาไว้กับเขา วันดีคืนดีก็ปล้น
ฆ่าข่มขืนทำร้ายผู้โดยสาร
การออกรถของคนเมือง มันไม่ใช่แค่ว่าต้องการโอ้อวดฐานันดรหรือฐานะทางการเงิน
เสมอไปดอก แต่ด้วยความล้มเหลวของระบบขนส่งมวลชนในประเทศ ความไม่เท่า-
เทียมกันของคนในสังคม การบังคับใช้กฎหมายที่โอนอ่อนผ่อนไปตามอำนาจเงินตรา
และศักดินาวงศ์ตระกูล
จึงทำให้หลายคนที่พอจะมีกำลัง มีปัญญา มีแรงที่จะออกรถมาขับเองได้ ก็เลือกที่จะ
ขับรถเองมากกว่าที่จะฝากชีวิตเอาไว้กับระบบขนส่งมวลชนที่ไม่รู้ว่าจะพาเราไปตาย
ที่ไหนเมื่อไหร่ โดยใครจะเป็นคนขับแท็กซี่หรือตีนผี พนข. รถเมล์
ลองคิดดู ถ้าน้องสาว พี่สาว ลูกสาวคุณ อยู่ในซอยลึกเปลี่ยวที่เข้าถึงยากเช่นนี้ ต้องเดิน
ทางด้วยพี่วิน หรือไม่ก็แท็กซี่อย่างผมเป็นประจำทุกวัน กลับดึก ๆ ดื่น ๆ คุณจะไว้วาง
ใจระบบขนส่งมวลชนหรือไม่
เป็นผม ถ้าลูกสาวต้องเดินทางแบบนี้ก็ออกรถให้โดยไม่ลังเลจริงไหม?
รถคันหนึ่ง ๆ ราคาไม่ใช่แค่หลักหมื่น แต่เป็นหลักแสน ของมีค่าราคาเท่านั้น คงมีน้อย
คนมากที่จะสามารถซื้อสดได้ คนที่มีรถส่วนใหญ่ก็เป็นหนี้ท่วมหัวเอาตัวแทบไม่รอด
ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าเขาเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากจะมาเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อ
รถดอก
หากระบบขนส่งมวลชนในประเทศมันไว้ใจได้ เชื่อถือได้ ที่สำคัญพึ่งพาได้ ถ้า กม. บ้าน
เรามันบังคับใช้ได้กับคนทุกระดับชั้นจริง ๆ ถ้าความยุติธรรมมันมีในสังคมจริง ๆ
ภาครัฐหลายส่วนรณรงค์กันหนักหนาว่าให้คนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชน แต่ได้เคยหัน
กลับมาดูระบบขนส่งมวลชนที่มันมีอยู่ว่ามันมีสภาพให้ประชาชนพึ่งพาเชื่อถือและฝาก
ชีวิตเอาไว้ได้บ้างไหม?
ถ้าผมต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน แล้วแพงกว่าการขับรถไปเองแบบนี้ จะว่าผม
เห็นแก่ตัวก็ได้ผมขอเลือกที่จะขับรถไปเองดีกว่า มันไม่ใช่แค่ว่าสะดวกสบายกว่ากันมาก
เพียงอย่างเดียวแต่เพราะมันถูกกว่าด้วย ที่สำคัญอย่างน้อยผมก็ยังไว้วางใจฝากชีวิตไว้กับรถ
ตัวเองดีกว่าไปฝากไว้กับคนอื่น
เรื่องนี้อันที่จริงจะโทษเรื่องระบบขนส่งมวลชนอย่างเดียวก็ไม่ถูก มันต้องโทษตั้งแต่ผัง
เมืองเลยว่าทำไมผังของเมืองหลวงจึงมีสภาพยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยตรอกซอกซอยตันลึกไม่
เชื่อมถึงกันมากมายขนาดนี้
ผมเชื่อเลยว่าคนกรุงเทพมากกว่า 95% อยู่ในซอยลึกที่ต้องนั่งรถอย่างน้อย 1 หรือ 2 ต่อ
เพียงเพื่อมาขึ้นรถเมล์ เพื่อจะไปต่อรถเมล์หรือระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ
สุดท้ายนี้ ขอให้กำลังใจทุกท่าน ในการฝ่าฝันกับการเดินทางทุกวี่ทุกวันเพื่อไปทำงาน ใครที่ได้
ทำงานตามหัวเมือง ตจว. ไม่ต้องมาประสพกับสภาพอันน่าเวทนาของคนเมืองที่ต้องเผชิญกับ
การจราจรที่เหมือนนรกทุกเช้าเย็น ก็ขอให้ท่านทราบว่า ท่านได้ทำบุญมามากแล้วและขอแสดง
ความยินดีกับท่านด้วย ผมหละอิจฉาพวกท่านจริง ๆ
ปล. ของผมนี่ว่าน้อยแล้วนะ เพราะคนที่รู้จักหลายคนบ้านอยู่บางใหญ่ แต่ทำงานพระราม 9 ต้อง
ออกจากบ้านอย่างช้าที่สุด 05:00 น. ทุกวัน ของผมนี่เด็ก ๆ ไปเลย
ขอบคุณครับ