ขอตั้งกระทู้นี้รับช่วงวาเลนไทน์ที่กำลังจะมาถึงนี้นะคะ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าเราไม่โสดแล้วค่ะ (ย้ำอีกทีเน้อ จขกท.สละโสดนานแล้วค่ะ อันนี้ตั้งกระทู้แทนเพื่อนสาวหลายๆคนที่อึดอัดกับเรื่องนี้แต่พูดไม่ออกนะจ๊ะ เห็นหลายๆความเข้าใจผิดแล้วปลอบใจจขกท. ยังไงก็ขอขอบคุณนะคะ) แต่เราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา ประกอบกับคนรอบข้างเราบางคนยังต้องทุกข์ทนกับสภาพแวดล้อมของการกดดัน เลยอยากถ่ายทอดบางสิ่งที่สังคมควรเข้าใจบ้างค่ะ
ผู้หญิงพออายุเข้าเลข 3 มันเหมือนโดนสาปต้องถูกถามว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงาน” ทั้งถามแบบเล่นๆ ถามแบบไม่รู้จะคุยอะไร และถามแบบจริงจัง ที่ร้ายสุดคือถามเพื่อกดดันค่ะ
สมัยเราโสด ตอนเข้าเลขสามคือช่วงวิกฤติ เราเลิกกับแฟนค่ะ คบมา 3 ปี อดทนทุกอย่าง สุดท้ายจับได้คาหนังคาเขาว่านอกใจ คิดดูนะคะแค่นั้นก็เจ็บมากแล้ว ยังต้องเจอแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอีกว่า” เมื่อไหร่จะแต่งงาน”
เราเคยโดนแม่และญาติๆเรียกมาคุยสามชั่วโมงเต็ม ทำเหมือนเป็นความผิดบาปที่เราไม่มีแฟน ไม่แต่งงาน ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง (บ้านเราเชื้อสายจีนค่ะ และเขาถือมากถ้าลูกสาวไม่ออกเรือน) แล้วคิดดูนะคะ ตอนนั้นเราพึ่งอกหัก เราไม่อยากอธิบายว่าเราเจออะไรมาบ้างเพราะแม่นั่นแหละจะเสียใจถ้ารู้ว่าลูกสาวเจออะไรเจ็บยังไงมาบ้าง แต่กลายเป็นโดนกดดันหนักว่าทำให้ครอบครัวผิดหวัง เราเสียใจมาก
สังคมรอบข้างก็เช่นกัน เราทำงาน ก็มีผิดมีพลาดเหมือนกับทุกคน มีข้อดีข้อเสีย แต่พอเราพลาดบ้างหรือมีข้อเสียบ้างก็โดนว่าลับหลัง “ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไง สวยขนาดนี้แต่ก็เลยหาปรั๋วไม่ได้” (ขอบคุณนะที่ยังชมว่าสวย) หรือ “ชีหงุดหงิดนเพราะไม่มีผู้ชายไง โอล์เมดก็งี้แหล่ะ” พอทำผลงานดีประสบความสำเร็จก็ว่า "ชีเก่ง ชีมั่น ไม่แคร์หัวใคร เป็นย่างนี้ล่ะสิเลยต้องขึ้นคาน" ซึ่งไม่ใช่เลย งานก็คืองาน คนละเรื่องกัน
ช่วงนั้นมีคนมาจีบเราหลายคนอยู่ คนรอบข้างก็ทั้งผลักทั้งไสจะให้เราเอาคนนั้นคนนี้เป็นแฟนให้ได้ คืออยากให้เข้าใจกันนะคะ โสด แต่ไม่ได้หมายความว่าหิวกระหายขนาดว่าใครมาก็เอานะคะ จะหาว่า"เลือกมาก" แล้วคนที่ว่าๆเราก่อนจะมีคู่นี่ไม่เลือกเลยเหรอคะ ใครมาจีบก็เอาเหรอคะ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังจะให้คนอื่นทำเลยค่ะ
ที่แย่ที่สุดคือแม้แต่ผู้ชายบางคนที่เข้ามาจีบเอง ก็ยังนึกดูถูกเรา คิดเอาเองว่าเขานั้นแสนจะรวย มีดีกรี อุตส่าห์ลดตัวมาจีบสาวโอลด์เมดแบบเราแล้ว ยังไงเราก็น่าจะโอเคแน่นอน ทั้งๆที่เราแค่ไปกินข้าวด้วยตามมารยาท (ก็มาตื๊อให้ไปด้วยไม่ใช่เหรอ) แต่เขากลับพูดเหมือนว่ายังไงเราก็คงโอเคกับเขาอยู่แล้ว เพราะคุณสมบัติเขาดี และเราก็สามสิบแล้วคงอยากมีแฟน อีกไม่นานก็คงจะหายาก จากวันนั้นเราไม่รับโทรศัพท์และไม่ติดต่อกับเขาเลย (ก็หน้าแหกไปนะ จีบโอลด์เมดไม่ติด ฮ่าๆ)
สถานการณ์ทั้งหมดที่เราเล่ามาเป็นประสบการณ์ของเราเองค่ะ ส่วนคนอื่นๆเช่นเพื่อนเราโดนหนักกว่านี้ก็มี บางคนพอพาแม่ไปงานแต่งงานญาติกลับมาบ้านแม่นั่งร้องไห้เสียใจที่ลูกสาวยังไม่แต่ง แม่บอกว่าอายมาก (แต่เพื่อนเราเจ็บหัวใจแค่ไหนที่ต้องมองแม่ตัวเองร้องไห้ในเรื่องที่เพื่อนเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แต่เหมือนเป็นความผิดติดตัว)
เลยอยากจะขอร้องทุกๆคนว่า อย่ากดดันเรื่องแบบนี้กันเลยค่ะของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกำหนดกันได้ว่าจะแต่งเมื่อไหร่ และสิ่งที่คนเรากำหนดไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ก็อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกเหมือนเป็นตราบาปทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ และหากเป็นห่วงเขาหรือหวังดีกับเขาก็อวยพรเขาจะดีกว่านะคะบางทีเขาอาจจะมีความสุขกับการเป็นโสดดีอยู่แล้ว แต่ที่ทุกข์ใจก็อาจเพราะคนรอบข้างคอยกดดันบ่อนทำลายจิตใจเขาก็เป็นได้นะคะ
ขอให้ทุกคนไม่ว่าโสดหรือไม่โสด มีความสุขนะคะ
****อยากขอร้องค่ะ เลิกกดดันผู้หญิงว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงาน” ซะทีเถอะค่ะ****
ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่าเราไม่โสดแล้วค่ะ (ย้ำอีกทีเน้อ จขกท.สละโสดนานแล้วค่ะ อันนี้ตั้งกระทู้แทนเพื่อนสาวหลายๆคนที่อึดอัดกับเรื่องนี้แต่พูดไม่ออกนะจ๊ะ เห็นหลายๆความเข้าใจผิดแล้วปลอบใจจขกท. ยังไงก็ขอขอบคุณนะคะ) แต่เราเคยผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมา ประกอบกับคนรอบข้างเราบางคนยังต้องทุกข์ทนกับสภาพแวดล้อมของการกดดัน เลยอยากถ่ายทอดบางสิ่งที่สังคมควรเข้าใจบ้างค่ะ
ผู้หญิงพออายุเข้าเลข 3 มันเหมือนโดนสาปต้องถูกถามว่า “เมื่อไหร่จะแต่งงาน” ทั้งถามแบบเล่นๆ ถามแบบไม่รู้จะคุยอะไร และถามแบบจริงจัง ที่ร้ายสุดคือถามเพื่อกดดันค่ะ
สมัยเราโสด ตอนเข้าเลขสามคือช่วงวิกฤติ เราเลิกกับแฟนค่ะ คบมา 3 ปี อดทนทุกอย่าง สุดท้ายจับได้คาหนังคาเขาว่านอกใจ คิดดูนะคะแค่นั้นก็เจ็บมากแล้ว ยังต้องเจอแรงกดดันจากครอบครัวและสังคมอีกว่า” เมื่อไหร่จะแต่งงาน”
เราเคยโดนแม่และญาติๆเรียกมาคุยสามชั่วโมงเต็ม ทำเหมือนเป็นความผิดบาปที่เราไม่มีแฟน ไม่แต่งงาน ทำให้ผู้ใหญ่ผิดหวัง (บ้านเราเชื้อสายจีนค่ะ และเขาถือมากถ้าลูกสาวไม่ออกเรือน) แล้วคิดดูนะคะ ตอนนั้นเราพึ่งอกหัก เราไม่อยากอธิบายว่าเราเจออะไรมาบ้างเพราะแม่นั่นแหละจะเสียใจถ้ารู้ว่าลูกสาวเจออะไรเจ็บยังไงมาบ้าง แต่กลายเป็นโดนกดดันหนักว่าทำให้ครอบครัวผิดหวัง เราเสียใจมาก
สังคมรอบข้างก็เช่นกัน เราทำงาน ก็มีผิดมีพลาดเหมือนกับทุกคน มีข้อดีข้อเสีย แต่พอเราพลาดบ้างหรือมีข้อเสียบ้างก็โดนว่าลับหลัง “ก็เพราะมันเป็นแบบนี้ไง สวยขนาดนี้แต่ก็เลยหาปรั๋วไม่ได้” (ขอบคุณนะที่ยังชมว่าสวย) หรือ “ชีหงุดหงิดนเพราะไม่มีผู้ชายไง โอล์เมดก็งี้แหล่ะ” พอทำผลงานดีประสบความสำเร็จก็ว่า "ชีเก่ง ชีมั่น ไม่แคร์หัวใคร เป็นย่างนี้ล่ะสิเลยต้องขึ้นคาน" ซึ่งไม่ใช่เลย งานก็คืองาน คนละเรื่องกัน
ช่วงนั้นมีคนมาจีบเราหลายคนอยู่ คนรอบข้างก็ทั้งผลักทั้งไสจะให้เราเอาคนนั้นคนนี้เป็นแฟนให้ได้ คืออยากให้เข้าใจกันนะคะ โสด แต่ไม่ได้หมายความว่าหิวกระหายขนาดว่าใครมาก็เอานะคะ จะหาว่า"เลือกมาก" แล้วคนที่ว่าๆเราก่อนจะมีคู่นี่ไม่เลือกเลยเหรอคะ ใครมาจีบก็เอาเหรอคะ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าหวังจะให้คนอื่นทำเลยค่ะ
ที่แย่ที่สุดคือแม้แต่ผู้ชายบางคนที่เข้ามาจีบเอง ก็ยังนึกดูถูกเรา คิดเอาเองว่าเขานั้นแสนจะรวย มีดีกรี อุตส่าห์ลดตัวมาจีบสาวโอลด์เมดแบบเราแล้ว ยังไงเราก็น่าจะโอเคแน่นอน ทั้งๆที่เราแค่ไปกินข้าวด้วยตามมารยาท (ก็มาตื๊อให้ไปด้วยไม่ใช่เหรอ) แต่เขากลับพูดเหมือนว่ายังไงเราก็คงโอเคกับเขาอยู่แล้ว เพราะคุณสมบัติเขาดี และเราก็สามสิบแล้วคงอยากมีแฟน อีกไม่นานก็คงจะหายาก จากวันนั้นเราไม่รับโทรศัพท์และไม่ติดต่อกับเขาเลย (ก็หน้าแหกไปนะ จีบโอลด์เมดไม่ติด ฮ่าๆ)
สถานการณ์ทั้งหมดที่เราเล่ามาเป็นประสบการณ์ของเราเองค่ะ ส่วนคนอื่นๆเช่นเพื่อนเราโดนหนักกว่านี้ก็มี บางคนพอพาแม่ไปงานแต่งงานญาติกลับมาบ้านแม่นั่งร้องไห้เสียใจที่ลูกสาวยังไม่แต่ง แม่บอกว่าอายมาก (แต่เพื่อนเราเจ็บหัวใจแค่ไหนที่ต้องมองแม่ตัวเองร้องไห้ในเรื่องที่เพื่อนเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แต่เหมือนเป็นความผิดติดตัว)
เลยอยากจะขอร้องทุกๆคนว่า อย่ากดดันเรื่องแบบนี้กันเลยค่ะของแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะกำหนดกันได้ว่าจะแต่งเมื่อไหร่ และสิ่งที่คนเรากำหนดไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ ก็อย่าทำให้เขาต้องรู้สึกเหมือนเป็นตราบาปทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดเลยค่ะ และหากเป็นห่วงเขาหรือหวังดีกับเขาก็อวยพรเขาจะดีกว่านะคะบางทีเขาอาจจะมีความสุขกับการเป็นโสดดีอยู่แล้ว แต่ที่ทุกข์ใจก็อาจเพราะคนรอบข้างคอยกดดันบ่อนทำลายจิตใจเขาก็เป็นได้นะคะ
ขอให้ทุกคนไม่ว่าโสดหรือไม่โสด มีความสุขนะคะ