คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 33
1,200 บาทคือค่าบริการของ FedEx ดังนั้นการลดราคาลงได้หรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่ FedEx เค้ามีผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจอยู่แล้วครับ
เพราะมันเป็นจำนวนเงินที่เค้าคิดกับคุณ ไม่ใช่เงินที่คุณต้องจ่ายให้กับหน่วยงานอื่น ๆ เช่นศุลกากร หรือคลังสินค้า
แต่จะได้ลดหรือไม่ก็อีกเรื่องนะครับ
ค่าบริการ 400 บาทที่ผมเคยจ่าย FedEx เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเครื่องสำอางครับ
ลงคลัง ต้องส่งเอกสารเป็นกระบุง ทำใบขน เข้า อ.ย. เหมือนกัน น่าจะเป็นเคสคล้าย ๆ กัน
เพียงแต่ของคุณเป็นเครื่องสำอางสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกันหรอกในเชิงกระบวนการเคลียร์สินค้า
ค่า 200 บาท เป็นค่าเปลี่ยนชื่อผู้ขอเคลียร์สินค้า จากชื่อบริษัท เป็นชื่อคุณครับ
เพราะว่าคุณดันไปจ่าหน้าที่อยู่เป็นชื่อบริษัท ทำให้เสมือนว่าของชิ้นนี้ส่งให้กับบริษัทของคุณ
เวลาของลงคลังหรือต้องเคลียร์สินค้า ผู้นำเข้าจะต้องเป็นคนส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้ศุลกากร
ถ้ามาในนามบริษัท ก็เพียบเลย ไหนจะหนังสือชี้แจง ทะเบียนบริษัท ภ.พ. 20 ฯลฯ
ดังนั้น FedEx จึงถามคุณและให้คุณเปลี่ยนผู้รับเป็นบุคคลธรรมดาซะแทน จะได้ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชน
ค่าธรรมเนียม 200 บาท เป็นการจ่ายให้คลังในการยื่นขอเปลี่ยนข้อมูลผู้นำเข้าครับ
จำไว้ว่าวันหลังนำเข้าสินค้า ให้ส่งมาในนามบุคคล อย่านำด้วยชื่อบริษัท ไม่งั้นจะเป็นแบบนี้
ส่วนค่าใช้จ่าย ระหว่างในนามบริษัทกับบุคคลธรรมดา มันไม่ต่างกันหรอก
เพียงแต่หากมาในนามบริษัท มันจะยุ่งยากกว่าในการเตรียมเอกสาร และการชี้แจงวัตถุประสงค์การนำเข้า
แต่ของชิ้นเล็ก ๆ มาในนามบุคคลมันง่าย ๆ ก็แค่บอกว่าซื้อมาใช้ส่วนตัว
หากมาในนามบริษัท แล้วสินค้าดันมีหลาย ๆ ชิ้น ... เกิด อ.ย. เรียกขอดูใบอนุญาตนำเข้าเครื่องสำอางขึ้นมา โดยไม่ให้ผ่อนผัน ... งานเข้านะครับ
เพราะเครื่องสำอางเป็นสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาตจาก อ.ย. ก่อนถึงจะนำเข้าได้นะครับ
ส่วนเรื่องที่อยู่จัดส่ง หรือไม่มีผู้รับ ไม่น่ามีค่าบริการเพิ่มเติมครับ
อีกอย่าง หากคุณต้องการให้เค้าส่งไปที่ไหน คุณก็โทรไปบอกเค้าก็ได้นี่ครับ ว่า Airway Bill นี้ ให้มาส่งที่ Office ของคุณนะ อย่าไปส่งที่บ้าน
1,200 บาทที่เพิ่มขึ้นมา คือค่าบริการในการเคลียร์สินค้าที่สุวรรณภูมิเท่านั้น
เพราะมันเป็นจำนวนเงินที่เค้าคิดกับคุณ ไม่ใช่เงินที่คุณต้องจ่ายให้กับหน่วยงานอื่น ๆ เช่นศุลกากร หรือคลังสินค้า
แต่จะได้ลดหรือไม่ก็อีกเรื่องนะครับ
ค่าบริการ 400 บาทที่ผมเคยจ่าย FedEx เป็นการนำเข้าวัตถุดิบเครื่องสำอางครับ
ลงคลัง ต้องส่งเอกสารเป็นกระบุง ทำใบขน เข้า อ.ย. เหมือนกัน น่าจะเป็นเคสคล้าย ๆ กัน
เพียงแต่ของคุณเป็นเครื่องสำอางสำเร็จรูปเท่านั้น แต่ก็ไม่ต่างอะไรกันหรอกในเชิงกระบวนการเคลียร์สินค้า
ค่า 200 บาท เป็นค่าเปลี่ยนชื่อผู้ขอเคลียร์สินค้า จากชื่อบริษัท เป็นชื่อคุณครับ
เพราะว่าคุณดันไปจ่าหน้าที่อยู่เป็นชื่อบริษัท ทำให้เสมือนว่าของชิ้นนี้ส่งให้กับบริษัทของคุณ
เวลาของลงคลังหรือต้องเคลียร์สินค้า ผู้นำเข้าจะต้องเป็นคนส่งเอกสารหลักฐานทั้งหมดให้ศุลกากร
ถ้ามาในนามบริษัท ก็เพียบเลย ไหนจะหนังสือชี้แจง ทะเบียนบริษัท ภ.พ. 20 ฯลฯ
ดังนั้น FedEx จึงถามคุณและให้คุณเปลี่ยนผู้รับเป็นบุคคลธรรมดาซะแทน จะได้ใช้แค่สำเนาบัตรประชาชน
ค่าธรรมเนียม 200 บาท เป็นการจ่ายให้คลังในการยื่นขอเปลี่ยนข้อมูลผู้นำเข้าครับ
จำไว้ว่าวันหลังนำเข้าสินค้า ให้ส่งมาในนามบุคคล อย่านำด้วยชื่อบริษัท ไม่งั้นจะเป็นแบบนี้
ส่วนค่าใช้จ่าย ระหว่างในนามบริษัทกับบุคคลธรรมดา มันไม่ต่างกันหรอก
เพียงแต่หากมาในนามบริษัท มันจะยุ่งยากกว่าในการเตรียมเอกสาร และการชี้แจงวัตถุประสงค์การนำเข้า
แต่ของชิ้นเล็ก ๆ มาในนามบุคคลมันง่าย ๆ ก็แค่บอกว่าซื้อมาใช้ส่วนตัว
หากมาในนามบริษัท แล้วสินค้าดันมีหลาย ๆ ชิ้น ... เกิด อ.ย. เรียกขอดูใบอนุญาตนำเข้าเครื่องสำอางขึ้นมา โดยไม่ให้ผ่อนผัน ... งานเข้านะครับ
เพราะเครื่องสำอางเป็นสินค้าที่ต้องได้รับอนุญาตจาก อ.ย. ก่อนถึงจะนำเข้าได้นะครับ
ส่วนเรื่องที่อยู่จัดส่ง หรือไม่มีผู้รับ ไม่น่ามีค่าบริการเพิ่มเติมครับ
อีกอย่าง หากคุณต้องการให้เค้าส่งไปที่ไหน คุณก็โทรไปบอกเค้าก็ได้นี่ครับ ว่า Airway Bill นี้ ให้มาส่งที่ Office ของคุณนะ อย่าไปส่งที่บ้าน
1,200 บาทที่เพิ่มขึ้นมา คือค่าบริการในการเคลียร์สินค้าที่สุวรรณภูมิเท่านั้น
แสดงความคิดเห็น
ช่วยด้วยโดน FedEx เก็บเงินค่าบริการแพงเวอร์ ทำอะไรได้บ้าง
เราสั่งซื้อ 88 Original Palette ของ Coastal Scents 2 อัน รวมค่าส่งเป็นเงิน 51.79 เหรียญ ราวๆ 15xx บาท เมื่อวันที่ 4 กุมภา 2013
วันที่ 5 กุมภา มีโทรศัพท์มาจาก FedEx (ไทย) ว่า การส่งของมีปัญหา อาจจะโดนภาษี+ค่าบริการเพิ่ม เป็นจำนวนเงินราวๆ 1,400 บาท
แต่ทีนี้ เราใส่ที่อยู่จัดส่งของเป็นที่อยู่บริษัท (เพราะไม่มีคนอยู่บ้านตอนกลางวัน) เจ้าหน้าที่ถามเราว่าของเป็นอะไร เห็น declare มาเหมือนว่าจะเป็นเครื่องสำอาง เราก็บอกว่าใช่ เป็น eye palette 2 อัน แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า เครื่องตรวจมัน detect ที่อยู่บรรทัดแรกแล้วเจอเป็นชื่อบริษัท ไม่ทราบว่าเราสั่งของในนามบริษัท หรือของส่วนตัว เราก็ตอบไปว่าของส่วนตัว เค้าเลยบอกว่า งั้นจะช่วยแก้ไขให้โดยให้เราถ่ายรูปบัตรประชาชนของเราส่งไปให้เค้า เค้าอาจจะช่วยขอผ่อนผันค่าใช้จ่ายส่วนนี้ให้เรา เราก็งงๆนะแต่ก็คิดว่าไม่มีอะไรมั้ง คงจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคิดภาษีในนามของส่วนตัว กับของบริษัทหรือเปล่า ก็เลยถ่ายรูปบัตรเราส่งไปให้เค้าดู
วันนี้ (วันที่ 8 กุมภา) มีโทรศัทพ์จากพนักงาน FedEx คนเดิม แจ้งว่ามีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม 2,005.00 บาท เป็นค่าภาษี 521 บาท และนอกนั้นเป็นค่าดำเนินการของทาง FedEx เราได้ยินก็อึ้งไปเลย ราคาของเราแค่ 1500 กว่าๆ ต้องมาเสียค่าส่งอีก 2000 มันไม่ใช่อ่ะ แต่ตอนนั้นเราทำงานอยู่ เราก็เลยถามไปสั้นๆว่า ทำไมเป็นแบบนี้ เค้าตอบมาว่าของโดนตรวจสอบว่าเป็นของต้องสงสัย ก็เลยติดอยู่กรมศุลกากร FedEx ไปดำเนินเรื่องให้ เลยมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม รายละเอียดส่งเมลมาให้เราแล้ว ตอนนี้อยู่ process ของ Clearance delay เราเลยถามไปว่าแล้วถ้าไม่จ่ายจะเป็นยังไง เค้าบอกว่ามีสองทาง คือ 1. FedEx จะติดต่อไปที่ผู้ส่งว่าทำการคืนของได้ไหม แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายค่าคืนของด้วย 2. ถ้าไม่จ่าย ของก็จะตกเป็นทรัพท์สินของแผ่นดินไป ตอนนั้นเรามีเรื่องอยากถามต่อเยอะมากแต่เราไม่ว่างเราทำงานรีบมากอยู่ เราเลยบอกให้เค้าโทรมาใหม่ตอนบ่ายโมง เค้าวางไปแล้วโทรมาใหม่ตอนบ่าย ซึ่งตอนนั้นเราก็ยังทำงานไม่เสร็จ เค้าก็บอกว่า โทรมาเรียนให้ทราบเกี่ยวกับเรื่องค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมค่ะ เท่านั้นเท่านี้ (ประโยคเดิม) เราซึ่งก็ยังทำงานอยู่ ก็ไม่ว่างคุย ได้แต่ค่ะๆแล้วก็วางหูไป
ตอนนี้ประมาณเกือบบ่ายสาม เราเพิ่งหาเวลามาเช็คเมลได้ ก็เจอเมลแจงรายละเอียดค่าใช้จ่ายทั้งหมด พร้อมกับ notice ว่า "เนื่องจากภาษีอากรของท่านน้อยกว่า 50,000 บาท เฟดเอ็กซ์จะดำเนินการตรวจปล่อยสินค้าโดยไม่รอการยืนยันกลับ โปรดเตรียมชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้กับพนักงานส่งของ"
เราโมโหนะเพราะไม่รู้ว่าทำไมมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ แล้วมันอะไรนักหนาถึงได้แพงขนาดนี้ ความผิดเราหรือไงที่ของโดนตรวจสอบแล้วเค้าต้องไปตามดำเนินเรื่องให้เรา ของๆเราก็ declare ไว้ว่าเครื่องสำอาง จะเก็บภาษีก็เก็บไปแต่มาคิดว่าบริการอะไรเราเพิ่มเติมตั้งมากมายขนาดนี้ แล้วคิดดูราคาของมันแต่ 1,500 กว่าๆเท่านั้น มันใช่เรื่องมั้ยที่เราต้องมาเสียค่าใช้จ่ายอะไรแบบนี้ เราเข้าใจว่าเค้าไม่รู้หรอกว่าราคาของเรามันเท่าไร (แต่เรามั่นใจว่าต้องมีราคาของอยู่หน้ากล่อง) แล้วเอาจริงๆพาเลทมันแค่ 700-800 เองนะ นอกนั้นค่าส่งทั้งนั้น อีก 800-900 บาท นี่ค่าส่งก็เกินค่าของไปแล้วนิดนึงตั้งแต่ที่อเมริกาแล้ว ทำไมต้องมาเจออะไรแบบนี้อีก
ถ้าใครมีความเห็นหรือมีทางช่วยเราได้บ้าง บอกหน่อยนะคะ ถ้าเราเลือกที่จะรับของ มันก็เกินไป แต่จะให้เสียตังค์ 1,500 กว่าๆ ฟรีๆ แล้วเอาเครื่องสำอางไปโยนทิ้งในกรมศุลกากร มันก็ไม่ใช่เรื่องอีก ปวดหัวจัง -*-