++ ทั้งหมดก็อปมาจากที่เพื่อนเขียนนะคะ ++
เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวนุ้ยเอง
#เหตุเกิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันที่ 4 กุมภาพันธ์
เวลาประมาณ 17.30-17.50
หลังเลิกงาน เราได้มารอรถตู้สะพานใหม่ เพื่อกลับบ้าน โดยรถตู้อยู่ฝั่งธนาคารออมสิน (แถวนั้นเค้าเรียกว่าฝั่งรพ.พระมงกุฎ) ก็รอรถปกติ ด้วยความที่เราชอบฟังเพลงกับโทรศัพท์ และคอยสังเกตคนที่อยู่โดยรอบ ก็ดูแล้ว ไม่มีอะไร เมื่อรถตู้ที่รอ มาจอด ณ ที่ประจำ ก็มีคนที่รอขึ้นรถ พุ่งเข้าไปขึ้นรถเหมือนกัน เราฟังเพลงกับโทรศัพท์ แต่มือเรากำโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลา แต่ช่วงที่ก้าวขึ้นรถ ต้องเอามือไปคว้าเบาะในรถ เพื่อให้เราเข้าไปได้ง่าย จึงเอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเล็ก ข้างเป้ที่สะพายอยู่ ก้าวขึ้นรถ ซ้าย-ขวา ใช้เวลา 2 วินาที เสียงเพลงก็ตัด แล้วก้าวออกมาจากรถ หันมา โทรศัพท์ก็ได้หายไปแล้ว เราก็พูดเสียงดังขึ้นมา ว่าโทรศัพท์หาย แล้วหันไปมองรอบๆ ดูแล้วทุกอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็งงๆ แล้วเราก็รีบขอยืมโทรศัพท์ของคนโบกรถตู้ เพื่อโทร.เข้าที่โทรศัพท์ตัวเอง เวลาที่ยืม ผ่านไปจากโทรศัพท์หายไปเพียง 10 วินาที โดยประมาณ เมื่อโทร.สรุปว่า โทรศัพท์ได้ปิดเครื่องไปแล้ว
ถึงตอนนั้น จึงโทร.ไปหาเพื่อนสนิท ที่จำเบอร์ได้ ให้ช่วยเปิด Find my iphone เพื่อหาตำแหน่งของโทรศัพท์ และได้นั่งรถตู้คันต่อไป เพื่อไประงับเบอร์โทรศัพท์ที่ AIS ระหว่างอยู่บนรถตู้ ก็คิดว่าจะทำยังไงกับเหตุที่เกิดขึ้นอย่างมีสติที่สุด พอไปถึง AIS ที่เซนทรัลลาดพร้าวก็ไประงับหมายเลข โดยมีเพื่อนที่เป็น QA ของ AIS ได้แนะนำไว้ว่าให้มาทำทันที เพื่อปิดการโทร. แต่สามารถติดตามเครื่องได้ 2 วัน แล้วมีน้องๆและเพื่อนที่หอพัก ได้ช่วยในการติดตาม Find my iphone เช่นกัน
จากนั้นก็ได้ไปแจ้งความที่ สน.บางเขน ตำรวจได้บอกว่า มีกรณีที่ได้คืนและไม่ได้คืน แต่ต้องแจ้งในเขตที่เกิดเหตุด้วย เพื่อให้ดำเนินการได้ง่ายขึ้น
รุ่งเช้าเราจึงไปแจ้งความที่ สน.พญาไท ซึ่งเป็น สน.ที่ดูแลเขตแถวๆ อนุสาวรีย์ชัยฯ พอไปแจ้งความ ก็มีการลงบันทึกประจำวัน และติดตาม EMI เครื่องของเรา เพื่อติดตาม ระหว่างนั้น ได้สังเกตว่ามีคนมาแจ้งเหตุเรื่อยๆ แต่ว่า ตำรวจมีน้อยไปหรือเปล่าสรุปคือ ตำรวจมีน้อยกว่าจริงๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า ตำรวจที่ดูแลประชาชนนั้น ยังมีน้อยเกินไป และไม่มีบุคลากรเกี่ยวกับด้าน IT ที่จะมาช่วยดูแลด้านนี้ สายสืบก็เช่นกัน มีไม่พอในการปฏิบัติหน้าที่ และเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน ทางตำรวจได้กล่าวว่า ผู้ที่ก่อเหตุนั้นไม่ใช่คนไทย คือเป็นพวกกัมพูชาหรือพวกต่างด้าว ที่ไม่มีใบแสดงตนเวลาเอาไปขายให้ตามร้านรับซื้อโทรศัพท์ และมิจฉาชีพ มีการทำงานกันเป็นทีม 3-5 คน (ในการลงมือแต่ละครั้ง จะแบ่งกันปฏิบัติ คือ คนแรกเดินชน คนที่ 2 ฉก คนที่ 3 เปลี่ยนมือ เราจึงไม่สามารถรู้ได้หรือตามได้เลยว่าคนไหนทำ)
ทางตำรวจได้กล่าวว่าจุดที่เกิดเหตุบ่อยที่สุด คือฝั่งรพ.ราชวิถี ส่วนจุดอื่นๆ จะสลับการเกิดโจรกรรมแบบนี้ แต่จะเกิดขึ้นทุกๆ วัน และเมื่อได้ของมาแล้ว กลุ่มมิจฉาชีพจะเอาไปขายที่ร้านเดิมๆ ในราคาที่ถูกมาก คือ 40% จากราคาเต็มของโทรศัพท์ คือยังไง ร้านก็รับ และเมื่อมีตำรวจไปตรวจสอบ ทางร้านก็จะพยายามยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ต่างๆ นานา
จากนั้นเราก็ไปที่สำนักงานเขตราชเทวี เพื่อไปขอดูกล้อง CCTV ที่จุดเกิดเหตุ ปรากฏว่า มีกล้อง CCTV ที่อนุสาวรีย์ฯเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และอยู่ห่างไกลมาก เกินกว่าจะมองเห็น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าส่วนใหญ่จะเอาไว้ดูอุบัติเหตุเท่านั้น เพราะไม่ได้ชัดและมีมากพอ เราก็สอบถามรายละเอียดได้ความว่า มีโครงการทำกล้องเชื่อมโยงทั่วอนุสาวรีย์เหมือนกัน แต่ยังทำไม่เสร็จ และยังกำหนดไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ (จริงๆ น่าจะมีกล้องติดตามเสาไฟทุกเสาเลยนะ เพราะเหตุเกิดทุกวัน อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ไม่พอ แสดงว่าต้องมีงบประมาณพอที่จะทำโครงการติดตั้งไว้นะ)
ตอนนี้เราก็แค่คิดว่า อยากเป็นคนสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัว ต่อไปไม่อยากให้เกิดกับใคร อะไรที่ทำได้ ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด จึงบอกเล่าไว้เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนๆ ทุกคน หากใครมีส่วนที่สามารถแก้ไขปรับปรุงมาตรการตามหน่วยงานต่างๆ ได้ก็จะดีมากเลยค่ะ ฝากไว้ด้วยนะคะ
** อ่านเถอะค่ะ #เหตุเกิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แชร์เป็นอุทาหรณ์ **
++ ทั้งหมดก็อปมาจากที่เพื่อนเขียนนะคะ ++
เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่เกิดกับตัวนุ้ยเอง
#เหตุเกิดขึ้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ วันที่ 4 กุมภาพันธ์
เวลาประมาณ 17.30-17.50
หลังเลิกงาน เราได้มารอรถตู้สะพานใหม่ เพื่อกลับบ้าน โดยรถตู้อยู่ฝั่งธนาคารออมสิน (แถวนั้นเค้าเรียกว่าฝั่งรพ.พระมงกุฎ) ก็รอรถปกติ ด้วยความที่เราชอบฟังเพลงกับโทรศัพท์ และคอยสังเกตคนที่อยู่โดยรอบ ก็ดูแล้ว ไม่มีอะไร เมื่อรถตู้ที่รอ มาจอด ณ ที่ประจำ ก็มีคนที่รอขึ้นรถ พุ่งเข้าไปขึ้นรถเหมือนกัน เราฟังเพลงกับโทรศัพท์ แต่มือเรากำโทรศัพท์ไว้ตลอดเวลา แต่ช่วงที่ก้าวขึ้นรถ ต้องเอามือไปคว้าเบาะในรถ เพื่อให้เราเข้าไปได้ง่าย จึงเอาโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋าเล็ก ข้างเป้ที่สะพายอยู่ ก้าวขึ้นรถ ซ้าย-ขวา ใช้เวลา 2 วินาที เสียงเพลงก็ตัด แล้วก้าวออกมาจากรถ หันมา โทรศัพท์ก็ได้หายไปแล้ว เราก็พูดเสียงดังขึ้นมา ว่าโทรศัพท์หาย แล้วหันไปมองรอบๆ ดูแล้วทุกอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกคนก็งงๆ แล้วเราก็รีบขอยืมโทรศัพท์ของคนโบกรถตู้ เพื่อโทร.เข้าที่โทรศัพท์ตัวเอง เวลาที่ยืม ผ่านไปจากโทรศัพท์หายไปเพียง 10 วินาที โดยประมาณ เมื่อโทร.สรุปว่า โทรศัพท์ได้ปิดเครื่องไปแล้ว
ถึงตอนนั้น จึงโทร.ไปหาเพื่อนสนิท ที่จำเบอร์ได้ ให้ช่วยเปิด Find my iphone เพื่อหาตำแหน่งของโทรศัพท์ และได้นั่งรถตู้คันต่อไป เพื่อไประงับเบอร์โทรศัพท์ที่ AIS ระหว่างอยู่บนรถตู้ ก็คิดว่าจะทำยังไงกับเหตุที่เกิดขึ้นอย่างมีสติที่สุด พอไปถึง AIS ที่เซนทรัลลาดพร้าวก็ไประงับหมายเลข โดยมีเพื่อนที่เป็น QA ของ AIS ได้แนะนำไว้ว่าให้มาทำทันที เพื่อปิดการโทร. แต่สามารถติดตามเครื่องได้ 2 วัน แล้วมีน้องๆและเพื่อนที่หอพัก ได้ช่วยในการติดตาม Find my iphone เช่นกัน
จากนั้นก็ได้ไปแจ้งความที่ สน.บางเขน ตำรวจได้บอกว่า มีกรณีที่ได้คืนและไม่ได้คืน แต่ต้องแจ้งในเขตที่เกิดเหตุด้วย เพื่อให้ดำเนินการได้ง่ายขึ้น
รุ่งเช้าเราจึงไปแจ้งความที่ สน.พญาไท ซึ่งเป็น สน.ที่ดูแลเขตแถวๆ อนุสาวรีย์ชัยฯ พอไปแจ้งความ ก็มีการลงบันทึกประจำวัน และติดตาม EMI เครื่องของเรา เพื่อติดตาม ระหว่างนั้น ได้สังเกตว่ามีคนมาแจ้งเหตุเรื่อยๆ แต่ว่า ตำรวจมีน้อยไปหรือเปล่าสรุปคือ ตำรวจมีน้อยกว่าจริงๆ เจ้าหน้าที่บอกว่า ตำรวจที่ดูแลประชาชนนั้น ยังมีน้อยเกินไป และไม่มีบุคลากรเกี่ยวกับด้าน IT ที่จะมาช่วยดูแลด้านนี้ สายสืบก็เช่นกัน มีไม่พอในการปฏิบัติหน้าที่ และเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกวัน ทางตำรวจได้กล่าวว่า ผู้ที่ก่อเหตุนั้นไม่ใช่คนไทย คือเป็นพวกกัมพูชาหรือพวกต่างด้าว ที่ไม่มีใบแสดงตนเวลาเอาไปขายให้ตามร้านรับซื้อโทรศัพท์ และมิจฉาชีพ มีการทำงานกันเป็นทีม 3-5 คน (ในการลงมือแต่ละครั้ง จะแบ่งกันปฏิบัติ คือ คนแรกเดินชน คนที่ 2 ฉก คนที่ 3 เปลี่ยนมือ เราจึงไม่สามารถรู้ได้หรือตามได้เลยว่าคนไหนทำ)
ทางตำรวจได้กล่าวว่าจุดที่เกิดเหตุบ่อยที่สุด คือฝั่งรพ.ราชวิถี ส่วนจุดอื่นๆ จะสลับการเกิดโจรกรรมแบบนี้ แต่จะเกิดขึ้นทุกๆ วัน และเมื่อได้ของมาแล้ว กลุ่มมิจฉาชีพจะเอาไปขายที่ร้านเดิมๆ ในราคาที่ถูกมาก คือ 40% จากราคาเต็มของโทรศัพท์ คือยังไง ร้านก็รับ และเมื่อมีตำรวจไปตรวจสอบ ทางร้านก็จะพยายามยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง ว่าไม่รู้ ไม่ทราบ ต่างๆ นานา
จากนั้นเราก็ไปที่สำนักงานเขตราชเทวี เพื่อไปขอดูกล้อง CCTV ที่จุดเกิดเหตุ ปรากฏว่า มีกล้อง CCTV ที่อนุสาวรีย์ฯเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น และอยู่ห่างไกลมาก เกินกว่าจะมองเห็น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งว่าส่วนใหญ่จะเอาไว้ดูอุบัติเหตุเท่านั้น เพราะไม่ได้ชัดและมีมากพอ เราก็สอบถามรายละเอียดได้ความว่า มีโครงการทำกล้องเชื่อมโยงทั่วอนุสาวรีย์เหมือนกัน แต่ยังทำไม่เสร็จ และยังกำหนดไม่ได้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ (จริงๆ น่าจะมีกล้องติดตามเสาไฟทุกเสาเลยนะ เพราะเหตุเกิดทุกวัน อีกอย่าง เจ้าหน้าที่ไม่พอ แสดงว่าต้องมีงบประมาณพอที่จะทำโครงการติดตั้งไว้นะ)
ตอนนี้เราก็แค่คิดว่า อยากเป็นคนสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัว ต่อไปไม่อยากให้เกิดกับใคร อะไรที่ทำได้ ก็อยากจะทำให้ดีที่สุด จึงบอกเล่าไว้เป็นวิทยาทานแก่เพื่อนๆ ทุกคน หากใครมีส่วนที่สามารถแก้ไขปรับปรุงมาตรการตามหน่วยงานต่างๆ ได้ก็จะดีมากเลยค่ะ ฝากไว้ด้วยนะคะ