Liberal Arts เป็นหนังที่น่ารักมากๆเรื่องหนึ่งค่ะ
ตอนนี้เข้าโรงฉายที่ House RCA รอบ 12.30 / 14.30 / 19.15 / 21.15
เป็นหนังที่หนอนหนังสือ คนรักการอ่าน และคนที่กำลังเหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีิวิต ควรดูอย่างยิ่งค่ะ

อันนี้เป็นข้อคิดที่เก็บมาได้จากหนังเรื่องนี้ค่ะ

++Liberal Arts++
...หาสิ่งเล็กๆให้เจอ เพื่อมองโลกใบเดิมให้สวยงาม...

ในตอนที่เรายังเรียนหนังสืออยู่ในรั้วโรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย บางเวลาเรามักจะขบคิดว่าชีวิตนี้มันช่างหนักหนา ไหนจะเรื่องเรียนที่เต็มไปด้วยการบ้าน รายงาน ข้อสอบ กฎข้อห้ามสารพัด ไหนจะเรื่องเพื่อน เรื่องความรัก และเรื่องชีวิตว่าจบแล้วจะไปไหน (ซึ่งดูเป็นประเด็นสำคัญพอๆกับ "ตายแล้วไปไหน" ในช่วงเวลานั้น) อนาคตจะทำมาหากินอะไร หรือจะเรียนต่อที่ไหน สาขาอะไร อื่นๆมากมาย แต่เมื่อก้าวเดินออกมาสู่โลกใบที่กว้างกว่านอกรั้วการศึกษาแล้ว พวกเราหลายคนล้วนแล้วแต่อยากจะกลับไปฝังตัวอยู่ในรั้วรอบโรงเรียนที่ครั้งหนึ่งดูจะสร้างปัญหาให้เราได้ขบคิดกันไม่เว้นแต่ละวัน

แม้โลกใบเล็กๆในสถานศึกษานั้นจะสร้างความน่าปวดหัว และหลอกลวงเด็กๆเหล่านั้นให้เข้าใจว่า สิ่งที่เผชิญอยู่เป็นปัญหาเสียเหลือเกิน ซึ่งพอเติบโตจบจากรั้วการศึกษาแล้วจึงพบว่า ปัญหาในโลกข้างนอกนั้นต่างหากที่เป็นของจริง แต่ในขณะเดียวกัน โลกเล็กๆใบนั้นกลับหยิบยื่นสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่โลกใบใหญ่ข้างนอกนั้นจะให้ได้ นั่นคือ "โอกาสและความหวังว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้ และเป็นอะไรก็ได้ตามที่ใจอยากเป็น" ซึ่งน้อยคนนักจะได้พบกับสิ่งนั้นในโลกแห่งความเป็นจริง

Liberal Arts เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มอายุ 35 ซึ่งทำงานอยู่ในสถาบันการศึกษาในเมือง New York City เจสซี่เป็นคนที่รักการอ่านหนังสือมาก และหนังสือที่เค้าเลือกอ่านนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นหนังสือวรรณกรรมที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนังสือที่ดี อยู่มาวันหนึ่ง เจสซี่ได้รับเชิญจาก Professor Peter ให้กลับไปมหาวิทยาลัยอีกครั้งเพื่อร่วมฉลองงานเกษียณ และ ณ ที่แห่งนั้น เจสซี่ได้พบกับผู้คนหลายคนที่เข้ามามีบทบาทและเปลี่ยนแปลงตัวของเค้าเอง

เจสซี่ก็เหมือนคนในวัยสามสิบส่วนใหญ่ที่ค้นพบว่าโลกใบนี้ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา หลายสิ่งที่เราอยากจะทำ และหลายอย่างที่เราอยากจะเป็น บางทีชีวิตเราก็เดินไปไม่ถึงจุดนั้น รั้วรอบขอบ Ohio University เลยกลายเป็นสถานที่โปรดของเค้าเมื่อได้กลับไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง เพราะที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความหวัง ซึ่งคอยบอกกับนักเรียนทุกคนว่า เราอยากจะเป็นอะไรก็ได้ นักเขียน กวี นักดนตรี นักแสดง โดยที่ไม่มีใครหัวเราะ เย้ยหยัน หรือผลักไส เหมือนอย่างที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดมากมายในโลกแห่งความจริง

สำหรับหนอนหนังสือหรือนักอ่าน อาจจะดูเรื่องนี้แล้วอมยิ้มไป จนถึงกลับหัวเราะออกมาดังๆกับหนังเรื่องนี้ Liberal Arts น่ารักเพียงพอที่ทำให้เราดูไปยิ้มไปตลอดทั้งเรื่อง และบางฉากก็ถึงกับเป็นหนังที่ Laugh-out loud เลยทีเดียว ความน่ารักของหนังเรื่องนี้อยู่ที่ความสำคัญระหว่างคนที่รักการอ่านกับหนังสือ เราจะได้เห็นพฤติกรรมของนักอ่าน ความรู้สึกเวลาที่เจอะเจอคนที่อ่านหนังสือที่ชอบเล่มเดียวกัน หรือนักเขียนที่ชอบคนเดียวกัน การพบเจอคนที่รักวรรณกรรมเหมือนๆกัน ซึ่งทำให้เกิดอาการ "พูดภาษาเดียวกัน" อาการต้องหยิบหนังสือขึ้นมาดูชื่อเรื่องหนังสือ ซึ่งบางครั้งหมายความไปถึงการตัดสินคนว่าเป็นคนแบบไหน รวมไปถึง การเลือกที่รักมักที่ชังหนังสือบางประเภท (ซึ่งในเรื่องนี้ขอบอกว่าจิกกัดหนังสือเรื่องดังได้ฮามากๆ) ซึ่งแน่นอนว่า ความเห็นของนักอ่านในสายเลือด ย่อมแตกต่างจาก คนที่บังเอิญอ่านหนังสือทั่วไป

มีหลายฉาก และหลายประโยคที่ประทับใจมากๆในหนังเรื่องนี้ และนี่คงเป็นหนัง Feel-good อีกหนึ่งเรื่อง สำหรับพวกเราหลายคนที่เริ่มอ่อนล้ากับการต่อสู้บนทางเดินชีวิตสายนี้ จะสามารถหยิบจับ "แง่คิด" อะไรบางอย่างให้ก้าวเดินต่อไปบนทางเดินขรุขระสายเดิมได้อย่างรู้สึกดีมากขึ้น

หนังไม่ได้บอกวิธีที่จะทำให้ชีวิตดีกว่าเดิม ชีวิตมันก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม มีสุขมีทุกข์ปะปนกันไป บางวันแย่ แต่เราก็มีบางวันที่ดี และนั่นก็ทำให้เราอยู่กับมันได้

จริงๆแล้ว ความสวยงาม มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานที่ หรือเวลา หากเมื่อยืนอยู่ท่ามกลางรถแท็กซี่ ไฟจราจรกลางสี่แยก ก็ยังคงรู้สึกสวยงามได้เหมือนกำลังยืนอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ทั้งหมดนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการที่เราจะมองโลก เราเพียงต้องการอะไรเล็กๆน้อยๆบางอย่างที่ทำให้เรามองโลกรอบตัวได้สวยงามมากขึ้น หาสิ่งเล็กๆนั้นให้เจอ และมองโลกใบเดิมให้สวยงาม

"Grace is neither time-nor-place dependent.  All we need is the right soundtrack"