คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
เอาละตรงนี้ ขอพูดถึงสิ่งตกค้างเล็กๆน้อยที่อยากจะบอกที่เหลือจากคอมเม้นข้างบนนะครับ
0.คือหลายคนคงสงสัยว่าเอาข้อมุลมาจากไหนเยอะแยะ ผมก้แค่เดินไปถามกับรถเสริมสุข เวลาเห็นเขาจอดอยู่ ไปถามเซลล์ สอบถามถึงเร่ืองต่างๆถ้าเขามีเวลาจะพอคุยด้วย เช่นเดียวกันกับ พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงรถส่งเป๊ปซี่ เซลล์เป๊ปซี่ รวมถึง นสพ และรายงานประจำปีต่างๆของทั้ง เป๊ปซี่โค เสริมสุข ไทยเบฟ เท่านี้คงเพียงพอตอบความสงสัยได้นะครับว่าไม่ใช่คนในแล้วรุ็ได้อย่างไร ทุกสิ่งมันก็มีร่องรอยของมัน ถ้าคุณเห็นผลก้ตามเหตุไปเรื่อยๆก้จะรู็ในสิ่งที่ต้องการรู้ เองแหละครับ
1.คือผมไม่ใช่ ฝ่ายการตลาด ไม่ได้เป็นพนักงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสริมสุข แล้วผมก้อยู่ในฐานะที่ทาง บริษัทเสริมสุขคงจะปฏิเสธที่จะร่วมงานด้วยในทุกกรณี
2.คือผมยอมรับว่าไม่ชอบเป๊ปซี่ ตั้งแต่ที่ได้เล่าไปข้างต้น ดังนั้น ข้อเขียนของผมยอมรับตรงๆว่า อคติ ผมคนไทยรักชาติไทย ผมจำอะไรต่างๆได้ดีลืมไม่ลงนะสิครับ จริงๆ ควรจะปล่อยวางทำไมาได้สักทีแย่เลย
3.คือถ้าอยากรู้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ยินดีให้ PM มาถามนะครับ ผมยินดีบอก เท่าที่จะสามารถเปิดเผยได้
แล้วกรุณาอย่าคาดเดา สันนิษฐานไปกันเอง ถ้าเป็นความจริงผมจะไม่เสียใจ คิดถึงความไม่จริงที่ทำร้ายนํ้าใจคนอื่นบ้างนะครับ ผมเขียนกระทู้นี่แต่ละครั้งก้เหนื่อยมาก ค่าแรงค่าจ้างอะไรก็ไม่มี แค่ต้องการแบ่งปันความรู้ เท่าที่จะมี และกระทู้นี้คงเป้นเรื่องท้ายสุดสุดท้าย ที่จะเขียน ผมคงไม่เขียนอะไรยาวๆให้อ่านแล้วหงุดหงิดใจ แล้วนะครับ
0.คือหลายคนคงสงสัยว่าเอาข้อมุลมาจากไหนเยอะแยะ ผมก้แค่เดินไปถามกับรถเสริมสุข เวลาเห็นเขาจอดอยู่ ไปถามเซลล์ สอบถามถึงเร่ืองต่างๆถ้าเขามีเวลาจะพอคุยด้วย เช่นเดียวกันกับ พ่อค้าแม่ค้า รวมถึงรถส่งเป๊ปซี่ เซลล์เป๊ปซี่ รวมถึง นสพ และรายงานประจำปีต่างๆของทั้ง เป๊ปซี่โค เสริมสุข ไทยเบฟ เท่านี้คงเพียงพอตอบความสงสัยได้นะครับว่าไม่ใช่คนในแล้วรุ็ได้อย่างไร ทุกสิ่งมันก็มีร่องรอยของมัน ถ้าคุณเห็นผลก้ตามเหตุไปเรื่อยๆก้จะรู็ในสิ่งที่ต้องการรู้ เองแหละครับ
1.คือผมไม่ใช่ ฝ่ายการตลาด ไม่ได้เป็นพนักงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเสริมสุข แล้วผมก้อยู่ในฐานะที่ทาง บริษัทเสริมสุขคงจะปฏิเสธที่จะร่วมงานด้วยในทุกกรณี
2.คือผมยอมรับว่าไม่ชอบเป๊ปซี่ ตั้งแต่ที่ได้เล่าไปข้างต้น ดังนั้น ข้อเขียนของผมยอมรับตรงๆว่า อคติ ผมคนไทยรักชาติไทย ผมจำอะไรต่างๆได้ดีลืมไม่ลงนะสิครับ จริงๆ ควรจะปล่อยวางทำไมาได้สักทีแย่เลย
3.คือถ้าอยากรู้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติม ยินดีให้ PM มาถามนะครับ ผมยินดีบอก เท่าที่จะสามารถเปิดเผยได้
แล้วกรุณาอย่าคาดเดา สันนิษฐานไปกันเอง ถ้าเป็นความจริงผมจะไม่เสียใจ คิดถึงความไม่จริงที่ทำร้ายนํ้าใจคนอื่นบ้างนะครับ ผมเขียนกระทู้นี่แต่ละครั้งก้เหนื่อยมาก ค่าแรงค่าจ้างอะไรก็ไม่มี แค่ต้องการแบ่งปันความรู้ เท่าที่จะมี และกระทู้นี้คงเป้นเรื่องท้ายสุดสุดท้าย ที่จะเขียน ผมคงไม่เขียนอะไรยาวๆให้อ่านแล้วหงุดหงิดใจ แล้วนะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
เทียนมิ่ง กับพันทิพ
ก่อนจะเล่าเรื่องอะไร ผมขอบอกที่มาของผมกับพันทิพก่อนละกันนะครับ
จริงปกติผมก้คงเหมือนกันเพื่อนๆหลายๆคน ที่เข้ามาพันทิพไม่ได้อยากจะมาตั้งกระทู้เขียน หรือว่าบอกกล่าวอะไร
แค่ต้องการมาตามอ่านเรื่องราวดีๆ มีสาระบ้าง สนุกๆบ้าง ก้มาตามอ่านอย่างเดียวแหละครับ
อยู่ตามห้องก้นครัว ศาลา สีลม ชานเรือน สวนลุม ไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยคิดจะมาตั้งกระทู้ หรือแสดงความเห็นอะไรเลยครับ
แล้วทำไมต้องเขียนกระทู้เกี่ยวกับ est ?, แรงบันดาลใจมาจากไหน มีอะไรแอบแฝงหรือปล่าว ?????
จุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาเขียนกระทู้ และต้องกระทู้ est
ถ้าจะให้ตอบเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไป
ตั้งแต่เมื่อสัก 2-3 ปี ที่แล้วละครับ ปกติ ผมก้เป็นคนไทยธรรมดาคนนึง ผมก้ชอบติดตามข่าวสาร ชอบอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจ
อ่านเป้นประจำทุกวันหน่ะครับสมัยตอนนั้น ไม่ได้อะไรมากกับตลาดนํ้าอัดลม ใครจะอยู่ ใครจะไป ก็ช่าง
จะว่าเล่าเรื่องซํ้าก้ได้ครับ แต่แรงบันดาลใจของผมมาจากที่ได้ติดตามข่าว ตอนที่ มีข่าวลงตามหน้า หนังสือพิมพ์ว่า
เสริมสุข กำลังจะถูกทำ hostile takeover หรือการครอบครองแบบไม่เป็นมิตร โดย pepsi แน
ตอนแรกที่คิดนะครับ เสริมสุข ก้ผลิต pepsi มานาน เป๊ปซี่เขาคงอยากได้ไปดูแลเองทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ นี่ก้คงเป้นเรื่องธุรกิจของเค้า
แต่พอได้อ่านรายละเอียด ดูกลับพบว่า เป็นการแถลงข่าวซื้อแต่เพียงฝั่งเดียว และมีการเสนอ บวกกับช้อนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในราคาตํ่า
จำได้ว่าประมาณหุ้นละ 27 บาทในตอนแรก และต่อมาขยับให้เป็น 29 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าที่เปปซี่ให้ตอนนั้น ก็ประมาณ 4.5 พันล้านบาทครับ
ผมได้อ่านตัวเลขก้ตั้ง 4.5พันล้านบาท คงจะไม่มีอะไร แต่ในแนบท้ายข่าวตอนนั้นได้มีการบอกว่า ด้วยมูลค่านี้ เป้นสิ่งที่ เจ้าของเสริมสุข หรือกรรมการบริหารเสริมสุขตอนนั้นยอมไม่ได้
ด้วยความอยากรู้สิครับว่าเป๊ปซี่เค้าให้เงินตั้ง 4.5 พันล้านบาททำไมถึงบอกว่าไม่ได้ เป็นคนไทยหรือป่าวที่โลภ อยากได้ราคาสูงกันแน่
ก้ลองไปหาข้อมุลดูสิครับ ข้อมูลตอนนั้นก้หาไม่ยาก ตาม หนังสือพิมพ์ เขาก้สรุปมาให้เสร็จ แล้วก้หาอ่านจากรายงานประจำปี
ใน website ของเขานะครับ
ได้ความจำได้ในตอนนั้นว่า
โอ้โหในประเทศไทยนี่เป็นประเทศ1ใน2ของโลกนะที่ เป๊ปซี่ขายดีกว่าโค้ก บทเรียนที่ทุกคนสรุปมาแล้วว่าสำคัญคือการกระจายสินค้า โดยเสริมสุข
ซึ่งเสริมสุข ใช้เวลา 58 ปี สร้างเครือข่ายกระจายสินค้า และสร้างแบรนด์ให้ในช่วงแรก ตั้งแต่ที่คนไทยไม่รุ้จักเป๊ปซี่ ตอนยุคแรกๆที่ออกมาขายก้ลำบากมากคนแอนตี้ว่าไม่อร่อยบ้าง สู้โค้กไม่ได้บ้างโค้กเข้ามาทำตลาดก่อนนะครับ จนถึงกินพวกเก๊กอวย จับเลี้ยงดีกว่า สมัยตอนนั้น คนไทยส่วนใหญ่ไม่รุ้จักหรือว่าชอบหรอกครับโคล่าส่วนใหญ่ก้นํ้าโบราณๆข้างต้น บางช่วงก้เกือบจะเจ๊ง บางช่วงก้ล่อแล่บ้างแต่ก้ช่วยกันสร้างและ ผ่านมาได้ตั้งแต่ยุคคุณ ทรง บูลสุข มาถึงคุณสมชายจนถึงตอนนั้นก้มีพนักงานกว่า 8,000 คน โรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่ง คลังสินค้า 46 แห่งกระจาย อยู่ทั่วประเทศ ใน 40 จังหวัด กระจายสู่ร้านค้าทั่วประเทศกว่า 300,000 แห่ง แถมยังมีอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมาย
ผมก้เริ่มคิดแล้วนะครับว่าถ้าเป็นผมซื้อทั้งหมดนี่ในราคา 4.5 พันล้านบาทได้ คงรีบซื้อ
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมได้เข้าใจนะครับว่า 4.5 พันล้าน บาทถูกอย่างไร ก้เมื่อลอง มาไล่ดูทรัพย์สิน ในรายงานประจำปีครับ
พบว่ายังมี รถบรรทุกอีกกว่า 1200 คัน ตู้เย็นตามร้านค้าอีก แสนกว่าตู้ แล้วก้มีที่ดิน เนื่องจากทั้งโรงงานและคลังสินค้าต้องใช้ที่ดินจำนวนมาก สิ่งนี้เป้นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงนะสิครับว่าจริงๆแล้วทรัพย์สินที่มีค่ามากของเสริมสุขอีกชิ้นคือที่ดิน ที่กระจายตามที่ตั้งคลังสินค้าต่างๆทั่วประเทศ
และทำเลดีๆเป้นส่วนใหญ่ซะด้วยเนื่องจากบางแห่งได้ซื้อมาเพื่อดำเนินงานนานแล้ว และต่อมามีการพัฒนาขึ้น เช่น
ที่ดินตรง เชิงสะพานสาธร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าตากสินเลยครับแค่ข้ามเรือข้ามฟากมาท่าเรือก้ชื่อว่า ท่าเรือเป๊ปซี่ แล้วที่ดินติดกันตอนนั้น ก้มีโครงการคอนโดครับของไรม่อนแลนด์ โครงการเดอะริเวอ ราคาขาย ตารางเมตรละเกือบ สองแสนบาท แค่ได้ที่ดินตรงสะพานสาธร แล้วเอามาทำคอนโดขายกำไรที่ได้ ก้น่าจะคืนทุนหมดแล้ว พวกรถ ตุ้เยน โกดังโรงงานที่เหลือนี่มันกำไรแบบมหาศาลเลยนี่นา
ถ้าอย่างนั้นคนไทยก้อย่าขายสิ ก็คงจบ ?
ณ วินาทีนั้น ผมก้คิดเช่นนั้นครับ ก้ไม่ขายก็จบ
ผมก้ติดตามต่อมานะครับว่าจะเป้นอย่างไร
ต่อมานะครับทางเป๊ปซี่ ได้เข้ามาซื้อหุ้นได้ถึง 40 กว่าเปอเซน อีกไม่มากก้จะเกินกึ่งนึง
แล้วก้มีการเดิมเกมส์ คู่ขนานจากทางเป๊ปซี่ครับ
คือการเลิกสัญญา EBA หรือ exclusive bottling agreement หรือสัญญาให้ผลิตและจำหน่ายนํ้าอัดลม
ถ้าเลิกสัญญาแล้วจะเกิดอะไร ทางเสริมสุขก็ตายนะสิครับ เพราะว่ารายได้ของเสริมสุขหลักๆ ก้มาจากการขายเป๊ปซี่ แม้จะกำไรไม่ได้มากแต่ก้สามารถเลี้ยงพนักงานได้
หากเลิกสัญญา EBA หรือทำสัญญาใหม่ที่ยิ่งต้องจ่ายค่าหัวเชื้อแพงกว่าเดิมจนการดำเนินงานขาดทุนเนื่องจากเสริมสุขต้องดุแลร้านค้าและทำตลาดด้วย เสริมสุขก้ตายนะสิครับ
แล้วทางเป๊ปซี่ก้มีหุ้นเกือบจะถึงกึ่งนึงแล้วด้วยจากที่แอบมาเก็บไว้
ทางเลือกตอนนั้นฝั่งคนไทยมีไม่มาก
ถ้าไม่ขายราคาตํ่าให้เค้ากดราคา เค้าก้ทำสัญญาขึ้นราคาหัวเชื้อใหม่จนทำไปก้อาจจะอยู่ไม่ได้ (ตอนนั้นต้นทุนก้สูงขึ้นทุกวันนะครับค่านํ้าตาล ค่าคน ค่าซ่อมค่าซื้อตู้เย็น)
แล้วทรัพย์สินที่ดินในประเทศไทย ตั้งมากมาย รถบรรทุกอีก คนงานอีก ทำไมทั้งที่ทางเสริมสุขเจ้าของก็ยินดีจะขาย แต่ให้ราคาที่สมเหตุสมผลก็ได้
แค่เพิ่มให้สมกับมูลค่าสินทรัพย์ เป๊ปซี่ ก้มีเงินมากมาย ทำอย่างนี้ต่างอะไรจากการบังคับขายในราคาถูก เป็นการบอกลายๆนะครับว่า ถ้าคุณไม่ขาย บริษัทเสริมสุข บริษัทเสริมสุขก้อย่าได้มีกำไรจากการขายเป๊ปซี่หรือไม่ก็ไม่ต้องมีเป๊ปซี่ขายอีกเลย
ถึงตรงนี้ใครหลายคนอาจจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไร มันก็แค่วิถีทางธุรกิจ เค้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ไม่ถูกจริยธรรม
แต่ผมรุ้สึกนะครับ เราคนไทย เป็นคนเหมือนกัน เท่ากันในศักศรี ยอมรับว่าด้อยกว่าในความรุ้ ด้อยกว่าในการพัฒนา แต่นี่เราก็ทำงานหนัก และสมควรจะได้รับในสิ่งที่ควรจะได้รับ
ถ้าเราคิดให้ดี ผมจะขอถามว่า
แบรนด์ ที่สามารถใช้ในการให้ได้มาซึ่งทรัพยากรต่างๆในราคาถูก
แล้วการใช้อำนาจของแบรนด์ในลักษณะนี้แตกต่างอะไรจากการใช้อำนาจของปืนในการล่าอาณานิคม
เพียงแต่เป็นการใช้แบรนด์แทนกระบอกปืน ให้คนภักดีต่อแบรนด์แทนความกลัว
มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงบอกออกมาดังๆว่า แล้วไง ?
สิ่งที่ต้องการสื่อคือไม่ได้จะสื่อว่าแบรนด์คือสิ่งเลวร้าย
การสร้างแบรนด์ขึ้นมาแบรนด์นึง ก้เหมือนกับอาวุธ จะดีจะร้าย อยู่วิธีการที่เราเลือกใช้มัน
อำนาจของแบรนด์จะเกินขอบเขตของตัวแบรนด์ส่วนนึงอยู่กับจริยธรรมของเจ้าของแบรนด์ และอีกส่วนนึงมันอยู่ที่สติของตัวเรา
ถ้าเรารับรู้แบรนด์อย่างมี สติ แบรนด์ก้จะทำหน้าที่ของแบรนด์ บอกคุณภาพ ชนิด และคุณภาพของตัวสินค้า ขอบเขตของแบรนด์ก้จะถูกควบคุมด้วยตัวของเรา
ถ้าเราไม่มีสติ ในการรับรู้แบรนด์ อำนาจของการใช้ประโยชน์ ก็จะขึ้นกับการใช้มันของเจ้าของแบรนด์
ถ้าเจ้าของแบรนด์ยังมีจริยธรรม มีสติในการใช้แบรนด์ แบรนด์นั้นอาจจะครองตลาดสินค้า แต่จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในแง่มุมใดตามมา
แต่ถ้าเรา ไม่มีสติ ในการรับรู้แบรนด์ เจ้าของแบรนด์ ใช้อำนาจของตัวเองอย่างไร้สติ อำนาจของแบรนด์ก้เหมือนกับปืน ที่สามารถใช้ควบคนด้วยความภักดีไปทั่ว และก่อให้เกิดความบิดเบือนของสิ่งต่างๆในสังคมตามมาอย่างมากมาย
สิ่งที่สำคัญคือในทุกวันนี้ แต่ละวันเราต้องรับรุ้สิ่งต่างๆแบรนด์ต่างๆเยอะมาก แค่เดินไปรถไฟฟ้าอาจจะต้องเจอไปไม่น้อยกว่า 100 แบรนด์
เข้ามาพันทิพก้อาจจะต้องเจอ ผมที่อาจจะถือเป็นแบรนด์ไปแล้วเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญคือ สติ 2 กระทู้ที่เขียนไปคือแง่มุมต่างๆของแบรนด์ที่ส่งผลกระทบถึงสิ่งต่างๆในชีวิตเรา และความสำคัญของการรับรุ้แบรนดือย่างมีสติของตัวเราเอง
ในกระทู้แรก จากเวียดนาม สู่ switzerland ข้อเท็จจริง ด้านรสชาติ ยอดขาย ราคา และกลยุทธ์ทางการตลาด ของ est โคล่า :
http://ppantip.com/topic/30067835 จุดประสงค์หลักที่ต้องการบอกคือ
การสร้างแบรนด์ มีผลและเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความอยุ่ดีกินดีของคนในสังคมในประเทศนั้นๆ ไม่มีประเทศไหนหรอกครับ ที่สามารถพัฒนาได้จากการรับจ้างผลิตสินค้า แล้วไม่มีแบรนด์เป้นของตัวเอง
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องมีความพร้อมและองค์ประกอบหลายอย่าง โดยยกตัวอย่างจากกรณีของประเทศเกาหลี และญี่ปุ่นที่กว่าแบรนด์จะเกิดได้คนในสังคมต้องช่วยกันสนับสนุนอย่างมาก สำหรับประเทศไทยในครั้งนี้ น่าจะพร้อมที่สุดครั้งนึงที่จะทำให้แบรนด์ไทยได้เกิด ถ้าคนไทยเรายอมเปิดใจกว้างยอมรับและศรัทธาในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งก้าวเล็กๆของ est ถ้าล้มยักษ์ อย่างเป๊ปซี่ได้ จะเป้นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนไทยที่ต้องการทำแบรนด์อื่นๆมั่นใจว่า ถ้าสามารถทำสินค้าที่มีคุณภาพดี และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ความเป็นคนไทยไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้สำคัญถ้าจะทำให้ประเทศเราซึ่งมาถึงเกือบสุดทางของการรับจ้างผลิตสามารถมีแนวทางในการพัฒนาการผลิตสินค้าต่อไป
ส่วนในกระทู้ที่ สอง Where is my Pepsi ? : บทเรียนที่ pepsi co ต้องเรียนรู้จากประเทศไทย http://ppantip.com/topic/30103242
จุดประสงค์หลักที่ต้องการบอกคือ
ต้องการสื่อให้เห็นถึงผลของการใช้แบรนด์ ที่เกินขอบเขต ที่มั่นใจในแบรนด์จนหลงลืมคุณค่าขององค์ประกอบอื่นๆในการทำธุรกิจไป และยังต้องการสื่อถึงผลกระทบของการรับรุ้แบรนด์ อย่างไร้สติ ซึ่งสิ่งนี้ยังพบเห็นได้มากในสังคม ว่าทำให้เกิดผลตามมาอย่างไร
โดยสรุปถ้ามองในมุมมองของประเทศชาติ การเปิดใจรับรุ้แบรนด์อย่างมีสติ อย่างที่มันเป็น สามารถทำให้เกิดการพัฒนาของสังคมและเศรษฐกิจ ในขณะที่อีกแง่มุม การไร้สติในการรับรู้แบรนด์ ทำให้เกิดผลกระทบต่างๆตามมาที่เราคาดไม่ถึงอีกมากมาย
ถ้าจะสรุปก้คงอยากบอกว่า
แบรนด์ ก้เป็นเหมือนอาวุธ จะให้ผลดีผลร้าย บางทีอยู่ที่วิธีที่เรารับมือกับมัน
รู้ให้เท่าทัน และอย่าตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาสร้างแบรนด์นะครับ
ปล.ข้อเท็จจริงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆขอตอบในความเห็นข้างล่างละกันครับ
ก่อนจะเล่าเรื่องอะไร ผมขอบอกที่มาของผมกับพันทิพก่อนละกันนะครับ
จริงปกติผมก้คงเหมือนกันเพื่อนๆหลายๆคน ที่เข้ามาพันทิพไม่ได้อยากจะมาตั้งกระทู้เขียน หรือว่าบอกกล่าวอะไร
แค่ต้องการมาตามอ่านเรื่องราวดีๆ มีสาระบ้าง สนุกๆบ้าง ก้มาตามอ่านอย่างเดียวแหละครับ
อยู่ตามห้องก้นครัว ศาลา สีลม ชานเรือน สวนลุม ไปเรื่อยเปื่อย ไม่เคยคิดจะมาตั้งกระทู้ หรือแสดงความเห็นอะไรเลยครับ
แล้วทำไมต้องเขียนกระทู้เกี่ยวกับ est ?, แรงบันดาลใจมาจากไหน มีอะไรแอบแฝงหรือปล่าว ?????
จุดเริ่มต้นของการลุกขึ้นมาเขียนกระทู้ และต้องกระทู้ est
ถ้าจะให้ตอบเรื่องนี้ คงต้องย้อนกลับไป
ตั้งแต่เมื่อสัก 2-3 ปี ที่แล้วละครับ ปกติ ผมก้เป็นคนไทยธรรมดาคนนึง ผมก้ชอบติดตามข่าวสาร ชอบอ่านหนังสือพิมพ์แนวธุรกิจ
อ่านเป้นประจำทุกวันหน่ะครับสมัยตอนนั้น ไม่ได้อะไรมากกับตลาดนํ้าอัดลม ใครจะอยู่ ใครจะไป ก็ช่าง
จะว่าเล่าเรื่องซํ้าก้ได้ครับ แต่แรงบันดาลใจของผมมาจากที่ได้ติดตามข่าว ตอนที่ มีข่าวลงตามหน้า หนังสือพิมพ์ว่า
เสริมสุข กำลังจะถูกทำ hostile takeover หรือการครอบครองแบบไม่เป็นมิตร โดย pepsi แน
ตอนแรกที่คิดนะครับ เสริมสุข ก้ผลิต pepsi มานาน เป๊ปซี่เขาคงอยากได้ไปดูแลเองทั้งหมดเพื่อความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ นี่ก้คงเป้นเรื่องธุรกิจของเค้า
แต่พอได้อ่านรายละเอียด ดูกลับพบว่า เป็นการแถลงข่าวซื้อแต่เพียงฝั่งเดียว และมีการเสนอ บวกกับช้อนซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในราคาตํ่า
จำได้ว่าประมาณหุ้นละ 27 บาทในตอนแรก และต่อมาขยับให้เป็น 29 บาท หรือคิดเป็นมูลค่าที่เปปซี่ให้ตอนนั้น ก็ประมาณ 4.5 พันล้านบาทครับ
ผมได้อ่านตัวเลขก้ตั้ง 4.5พันล้านบาท คงจะไม่มีอะไร แต่ในแนบท้ายข่าวตอนนั้นได้มีการบอกว่า ด้วยมูลค่านี้ เป้นสิ่งที่ เจ้าของเสริมสุข หรือกรรมการบริหารเสริมสุขตอนนั้นยอมไม่ได้
ด้วยความอยากรู้สิครับว่าเป๊ปซี่เค้าให้เงินตั้ง 4.5 พันล้านบาททำไมถึงบอกว่าไม่ได้ เป็นคนไทยหรือป่าวที่โลภ อยากได้ราคาสูงกันแน่
ก้ลองไปหาข้อมุลดูสิครับ ข้อมูลตอนนั้นก้หาไม่ยาก ตาม หนังสือพิมพ์ เขาก้สรุปมาให้เสร็จ แล้วก้หาอ่านจากรายงานประจำปี
ใน website ของเขานะครับ
ได้ความจำได้ในตอนนั้นว่า
โอ้โหในประเทศไทยนี่เป็นประเทศ1ใน2ของโลกนะที่ เป๊ปซี่ขายดีกว่าโค้ก บทเรียนที่ทุกคนสรุปมาแล้วว่าสำคัญคือการกระจายสินค้า โดยเสริมสุข
ซึ่งเสริมสุข ใช้เวลา 58 ปี สร้างเครือข่ายกระจายสินค้า และสร้างแบรนด์ให้ในช่วงแรก ตั้งแต่ที่คนไทยไม่รุ้จักเป๊ปซี่ ตอนยุคแรกๆที่ออกมาขายก้ลำบากมากคนแอนตี้ว่าไม่อร่อยบ้าง สู้โค้กไม่ได้บ้างโค้กเข้ามาทำตลาดก่อนนะครับ จนถึงกินพวกเก๊กอวย จับเลี้ยงดีกว่า สมัยตอนนั้น คนไทยส่วนใหญ่ไม่รุ้จักหรือว่าชอบหรอกครับโคล่าส่วนใหญ่ก้นํ้าโบราณๆข้างต้น บางช่วงก้เกือบจะเจ๊ง บางช่วงก้ล่อแล่บ้างแต่ก้ช่วยกันสร้างและ ผ่านมาได้ตั้งแต่ยุคคุณ ทรง บูลสุข มาถึงคุณสมชายจนถึงตอนนั้นก้มีพนักงานกว่า 8,000 คน โรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่ง คลังสินค้า 46 แห่งกระจาย อยู่ทั่วประเทศ ใน 40 จังหวัด กระจายสู่ร้านค้าทั่วประเทศกว่า 300,000 แห่ง แถมยังมีอุปกรณ์อื่นๆอีกมากมาย
ผมก้เริ่มคิดแล้วนะครับว่าถ้าเป็นผมซื้อทั้งหมดนี่ในราคา 4.5 พันล้านบาทได้ คงรีบซื้อ
แล้วสิ่งที่ทำให้ผมได้เข้าใจนะครับว่า 4.5 พันล้าน บาทถูกอย่างไร ก้เมื่อลอง มาไล่ดูทรัพย์สิน ในรายงานประจำปีครับ
พบว่ายังมี รถบรรทุกอีกกว่า 1200 คัน ตู้เย็นตามร้านค้าอีก แสนกว่าตู้ แล้วก้มีที่ดิน เนื่องจากทั้งโรงงานและคลังสินค้าต้องใช้ที่ดินจำนวนมาก สิ่งนี้เป้นสิ่งที่ผมคิดไม่ถึงนะสิครับว่าจริงๆแล้วทรัพย์สินที่มีค่ามากของเสริมสุขอีกชิ้นคือที่ดิน ที่กระจายตามที่ตั้งคลังสินค้าต่างๆทั่วประเทศ
และทำเลดีๆเป้นส่วนใหญ่ซะด้วยเนื่องจากบางแห่งได้ซื้อมาเพื่อดำเนินงานนานแล้ว และต่อมามีการพัฒนาขึ้น เช่น
ที่ดินตรง เชิงสะพานสาธร ติดกับสถานีรถไฟฟ้าตากสินเลยครับแค่ข้ามเรือข้ามฟากมาท่าเรือก้ชื่อว่า ท่าเรือเป๊ปซี่ แล้วที่ดินติดกันตอนนั้น ก้มีโครงการคอนโดครับของไรม่อนแลนด์ โครงการเดอะริเวอ ราคาขาย ตารางเมตรละเกือบ สองแสนบาท แค่ได้ที่ดินตรงสะพานสาธร แล้วเอามาทำคอนโดขายกำไรที่ได้ ก้น่าจะคืนทุนหมดแล้ว พวกรถ ตุ้เยน โกดังโรงงานที่เหลือนี่มันกำไรแบบมหาศาลเลยนี่นา
ถ้าอย่างนั้นคนไทยก้อย่าขายสิ ก็คงจบ ?
ณ วินาทีนั้น ผมก้คิดเช่นนั้นครับ ก้ไม่ขายก็จบ
ผมก้ติดตามต่อมานะครับว่าจะเป้นอย่างไร
ต่อมานะครับทางเป๊ปซี่ ได้เข้ามาซื้อหุ้นได้ถึง 40 กว่าเปอเซน อีกไม่มากก้จะเกินกึ่งนึง
แล้วก้มีการเดิมเกมส์ คู่ขนานจากทางเป๊ปซี่ครับ
คือการเลิกสัญญา EBA หรือ exclusive bottling agreement หรือสัญญาให้ผลิตและจำหน่ายนํ้าอัดลม
ถ้าเลิกสัญญาแล้วจะเกิดอะไร ทางเสริมสุขก็ตายนะสิครับ เพราะว่ารายได้ของเสริมสุขหลักๆ ก้มาจากการขายเป๊ปซี่ แม้จะกำไรไม่ได้มากแต่ก้สามารถเลี้ยงพนักงานได้
หากเลิกสัญญา EBA หรือทำสัญญาใหม่ที่ยิ่งต้องจ่ายค่าหัวเชื้อแพงกว่าเดิมจนการดำเนินงานขาดทุนเนื่องจากเสริมสุขต้องดุแลร้านค้าและทำตลาดด้วย เสริมสุขก้ตายนะสิครับ
แล้วทางเป๊ปซี่ก้มีหุ้นเกือบจะถึงกึ่งนึงแล้วด้วยจากที่แอบมาเก็บไว้
ทางเลือกตอนนั้นฝั่งคนไทยมีไม่มาก
ถ้าไม่ขายราคาตํ่าให้เค้ากดราคา เค้าก้ทำสัญญาขึ้นราคาหัวเชื้อใหม่จนทำไปก้อาจจะอยู่ไม่ได้ (ตอนนั้นต้นทุนก้สูงขึ้นทุกวันนะครับค่านํ้าตาล ค่าคน ค่าซ่อมค่าซื้อตู้เย็น)
แล้วทรัพย์สินที่ดินในประเทศไทย ตั้งมากมาย รถบรรทุกอีก คนงานอีก ทำไมทั้งที่ทางเสริมสุขเจ้าของก็ยินดีจะขาย แต่ให้ราคาที่สมเหตุสมผลก็ได้
แค่เพิ่มให้สมกับมูลค่าสินทรัพย์ เป๊ปซี่ ก้มีเงินมากมาย ทำอย่างนี้ต่างอะไรจากการบังคับขายในราคาถูก เป็นการบอกลายๆนะครับว่า ถ้าคุณไม่ขาย บริษัทเสริมสุข บริษัทเสริมสุขก้อย่าได้มีกำไรจากการขายเป๊ปซี่หรือไม่ก็ไม่ต้องมีเป๊ปซี่ขายอีกเลย
ถึงตรงนี้ใครหลายคนอาจจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไร มันก็แค่วิถีทางธุรกิจ เค้าไม่ได้ทำผิดกฎหมาย แค่ไม่ถูกจริยธรรม
แต่ผมรุ้สึกนะครับ เราคนไทย เป็นคนเหมือนกัน เท่ากันในศักศรี ยอมรับว่าด้อยกว่าในความรุ้ ด้อยกว่าในการพัฒนา แต่นี่เราก็ทำงานหนัก และสมควรจะได้รับในสิ่งที่ควรจะได้รับ
ถ้าเราคิดให้ดี ผมจะขอถามว่า
แบรนด์ ที่สามารถใช้ในการให้ได้มาซึ่งทรัพยากรต่างๆในราคาถูก
แล้วการใช้อำนาจของแบรนด์ในลักษณะนี้แตกต่างอะไรจากการใช้อำนาจของปืนในการล่าอาณานิคม
เพียงแต่เป็นการใช้แบรนด์แทนกระบอกปืน ให้คนภักดีต่อแบรนด์แทนความกลัว
มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงบอกออกมาดังๆว่า แล้วไง ?
สิ่งที่ต้องการสื่อคือไม่ได้จะสื่อว่าแบรนด์คือสิ่งเลวร้าย
การสร้างแบรนด์ขึ้นมาแบรนด์นึง ก้เหมือนกับอาวุธ จะดีจะร้าย อยู่วิธีการที่เราเลือกใช้มัน
อำนาจของแบรนด์จะเกินขอบเขตของตัวแบรนด์ส่วนนึงอยู่กับจริยธรรมของเจ้าของแบรนด์ และอีกส่วนนึงมันอยู่ที่สติของตัวเรา
ถ้าเรารับรู้แบรนด์อย่างมี สติ แบรนด์ก้จะทำหน้าที่ของแบรนด์ บอกคุณภาพ ชนิด และคุณภาพของตัวสินค้า ขอบเขตของแบรนด์ก้จะถูกควบคุมด้วยตัวของเรา
ถ้าเราไม่มีสติ ในการรับรู้แบรนด์ อำนาจของการใช้ประโยชน์ ก็จะขึ้นกับการใช้มันของเจ้าของแบรนด์
ถ้าเจ้าของแบรนด์ยังมีจริยธรรม มีสติในการใช้แบรนด์ แบรนด์นั้นอาจจะครองตลาดสินค้า แต่จะไม่ทำให้เกิดความวุ่นวายในแง่มุมใดตามมา
แต่ถ้าเรา ไม่มีสติ ในการรับรู้แบรนด์ เจ้าของแบรนด์ ใช้อำนาจของตัวเองอย่างไร้สติ อำนาจของแบรนด์ก้เหมือนกับปืน ที่สามารถใช้ควบคนด้วยความภักดีไปทั่ว และก่อให้เกิดความบิดเบือนของสิ่งต่างๆในสังคมตามมาอย่างมากมาย
สิ่งที่สำคัญคือในทุกวันนี้ แต่ละวันเราต้องรับรุ้สิ่งต่างๆแบรนด์ต่างๆเยอะมาก แค่เดินไปรถไฟฟ้าอาจจะต้องเจอไปไม่น้อยกว่า 100 แบรนด์
เข้ามาพันทิพก้อาจจะต้องเจอ ผมที่อาจจะถือเป็นแบรนด์ไปแล้วเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญคือ สติ 2 กระทู้ที่เขียนไปคือแง่มุมต่างๆของแบรนด์ที่ส่งผลกระทบถึงสิ่งต่างๆในชีวิตเรา และความสำคัญของการรับรุ้แบรนดือย่างมีสติของตัวเราเอง
ในกระทู้แรก จากเวียดนาม สู่ switzerland ข้อเท็จจริง ด้านรสชาติ ยอดขาย ราคา และกลยุทธ์ทางการตลาด ของ est โคล่า :
http://ppantip.com/topic/30067835 จุดประสงค์หลักที่ต้องการบอกคือ
การสร้างแบรนด์ มีผลและเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและความอยุ่ดีกินดีของคนในสังคมในประเทศนั้นๆ ไม่มีประเทศไหนหรอกครับ ที่สามารถพัฒนาได้จากการรับจ้างผลิตสินค้า แล้วไม่มีแบรนด์เป้นของตัวเอง
การสร้างแบรนด์ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องมีความพร้อมและองค์ประกอบหลายอย่าง โดยยกตัวอย่างจากกรณีของประเทศเกาหลี และญี่ปุ่นที่กว่าแบรนด์จะเกิดได้คนในสังคมต้องช่วยกันสนับสนุนอย่างมาก สำหรับประเทศไทยในครั้งนี้ น่าจะพร้อมที่สุดครั้งนึงที่จะทำให้แบรนด์ไทยได้เกิด ถ้าคนไทยเรายอมเปิดใจกว้างยอมรับและศรัทธาในแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งก้าวเล็กๆของ est ถ้าล้มยักษ์ อย่างเป๊ปซี่ได้ จะเป้นก้าวที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้คนไทยที่ต้องการทำแบรนด์อื่นๆมั่นใจว่า ถ้าสามารถทำสินค้าที่มีคุณภาพดี และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ความเป็นคนไทยไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างแบรนด์ของตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้สำคัญถ้าจะทำให้ประเทศเราซึ่งมาถึงเกือบสุดทางของการรับจ้างผลิตสามารถมีแนวทางในการพัฒนาการผลิตสินค้าต่อไป
ส่วนในกระทู้ที่ สอง Where is my Pepsi ? : บทเรียนที่ pepsi co ต้องเรียนรู้จากประเทศไทย http://ppantip.com/topic/30103242
จุดประสงค์หลักที่ต้องการบอกคือ
ต้องการสื่อให้เห็นถึงผลของการใช้แบรนด์ ที่เกินขอบเขต ที่มั่นใจในแบรนด์จนหลงลืมคุณค่าขององค์ประกอบอื่นๆในการทำธุรกิจไป และยังต้องการสื่อถึงผลกระทบของการรับรุ้แบรนด์ อย่างไร้สติ ซึ่งสิ่งนี้ยังพบเห็นได้มากในสังคม ว่าทำให้เกิดผลตามมาอย่างไร
โดยสรุปถ้ามองในมุมมองของประเทศชาติ การเปิดใจรับรุ้แบรนด์อย่างมีสติ อย่างที่มันเป็น สามารถทำให้เกิดการพัฒนาของสังคมและเศรษฐกิจ ในขณะที่อีกแง่มุม การไร้สติในการรับรู้แบรนด์ ทำให้เกิดผลกระทบต่างๆตามมาที่เราคาดไม่ถึงอีกมากมาย
ถ้าจะสรุปก้คงอยากบอกว่า
แบรนด์ ก้เป็นเหมือนอาวุธ จะให้ผลดีผลร้าย บางทีอยู่ที่วิธีที่เรารับมือกับมัน
รู้ให้เท่าทัน และอย่าตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาสร้างแบรนด์นะครับ
ปล.ข้อเท็จจริงรายละเอียดส่วนตัวอื่นๆขอตอบในความเห็นข้างล่างละกันครับ
แสดงความคิดเห็น
เทียนมิ่ง คือใคร ? , ทำไมต้องเขียนกระทู้เกี่ยวกับ est ?, แรงบันดาลใจมาจากไหน มีอะไรแอบแฝงหรือปล่าว ?????
รวมถึงอันอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่สนใจเกี่ยวกับ est
จุดนี้บางคนก้คงจะเกิดข้อสงสัยบ้าง ตั้งข้อสังเกตุบ้าง บางคนก้ประชดประชันว่า ควรจะ SR
บางคนก้บอกว่า เป็น viral marketing หรือป่าว
ถ้าไม่ใช่คนข้างใน ทำไม มีข้อมูลบางอย่าง ที่ไม่น่าจะรุ้ได้
แล้วตกลงเทียนมิ่งคือใคร ฝ่ายการตลาด พนักงาน คนแบกเป๊ปซี่ที่อัดอั้นหรือป่าว?
แล้วถ้าไม่มีอะไรเลย จะมาเสียเวลาเขียนทำไม จะเขียนกระทู้ทีก้เสียเวลาและเหนื่อยมากในการสรุปรวบรวมข้อมูล
แรงบันดาลใจมาจากไหน จริงเวลาบอกเพื่อนว่าเขียนกระทู้ในนี้เพื่อนผมยังงง เลยครับว่าจะเขียนไปทำไมนะ
ผมจะค่อยๆบอกเล่าผ่านกระทู้นี้ละกันครับ ถ้าใครอยากรุ็อะไรที่ไม่ได้บอกไว้ในกระทู้ ก้ส่งPM มาถ้าตอบได้จะตอบนะครับ