สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
***
กำลังทหารของสหรัฐที่ถูกส่งเข้ามาประจำการอยู่ในดินแดนซาอุดิอาระเบีย อันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ แห่งหรือถูกถือเป็น ”แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์” ของชาวอิสลาม มีจำนวนนับเป็นแสนๆ คนในระหว่างสงคราม และยังคงกำลังทหารจำนวนถึง ๒๐,๐๐๐ คนเอาไว้หลังสงครามสิ้นสุดลง ได้สร้างความไม่พอใจให้กับ ”โอซามา บิน ลาเดน” ยิ่งขึ้นไปอีก แต่จากการโจษจันกันในระยะนั้น…ว่ากันว่า ”โอซามา” ได้ยอมรับข้อเสนอของราชวงศ์ซาอุฯ ว่าจะไม่ต่อต้านกองทัพสหรัฐในซาอุดิอาระเบีย แลกกับการให้การสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดตั้งกองกำลังนักรบอิสลามขึ้นในประเทศซูดาน…
ในปี ค.ศ.๑๙๙๒ ประธานาธิบดี ”บุชผู้พ่อ” ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง แต่ก็ได้พ่ายแพ้ต่อ ”บิล คลินตัน” กลุ่มอภิมหาเศรษฐีอเมริกันในนามของ ”กลุ่มคาร์ไลย์”(Carlye Group) ซึ่งมีบทบาทในธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาเสนอตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจบริษัทให้กับ ”บุชผู้พ่อ” ซึ่งอดีตประธานาธิบดีผู้นี้ ก็ได้มอบสายสัมพันธ์ที่เขาเคยมีต่อบรรดานักธุรกิจชาวอาหรับให้กับกลุ่มคาร์ไลย์โดยทันที นอกจากจะดึงกลุ่มคาร์ไลย์ให้เข้าไปเทคโอเวอร์ซื้อกิจการบริษัท ”วินเนล คอร์โปเรชั่น” อันเป็นบริษัทที่ทำการฝึกอบรมหน่วยองครักษ์ของราชวงศ์ซาอุฯ โดยตรงแล้ว เขายังชักชวนสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ นักธุรกิจอาหรับรวมไปถึงครอบครัว ”บิน ลาเดน” ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใน “คาร์ไลย์ กรุ๊ป” อีกต่างหาก….
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ได้เกิดการวางระเบิดตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างความเสียหายอะไรมากมายนัก หน่วยข่าวกรองสหรัฐเริ่มรายงานแสดงความสงสัยว่าการก่อวินาศกรรมครั้งนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อการร้ายชาวอิสลามที่มีชื่อเรียกกันว่า ”อัล-กออิดะห์” ที่เชื่อกันว่าอยู่ภายใต้การนำของ ”โอซามา บิน ลาเดน”!!!
และหลังจากที่ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ที่เคยได้รับการอุ้มชูจากครอบครัวบิน ลาเดนมาโดยตลอดได้ออกจากเส้นทางธุรกิจไปสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสไปเรียบร้อยแล้วประมาณ ๑ ปี หรือในปี ค.ศ. ๑๙๙๕ ทหารสหรัฐในซาอุฯ ๕ราย ก็เสียชีวิตจากการถูกลอบวางระเบิดโดยกลุ่มก่อการร้าย ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยกับ ”อัล-กออิดะห์” อีกครั้ง…. แต่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกทางการซาอุฯ จับกุมตัวไว้ได้ ก็ถูกประหารชีวิตทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐร่วมทำการสอบสวน…
ปีค.ศ.๑๙๙๖ กลุ่มก่อการร้ายได้วางระเบิดในรถบรรทุกที่ค่ายทหารสหรัฐในซาอุดิอาระเบียที่มีชื่อว่า ”อัล-โคบาร์” ทำให้ทหารสหรัฐตายไป ๑๙ ราย ในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกันหน่วยงานข่าวกรองของฝรั่งเศสรายงานว่าได้มีการจัดการพบปะระหว่างนาย ”เทอร์กิ บิน ไฟซาล” หัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ กับตัวแทนระดับสูงของ ”อัล-กออิดะห์” ที่ปารีส โฮเต็ล เนื้อหาการพบปะเจรจาก็เพื่อตกลงไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายปฏิบัติการโจมตีทหารสหรัฐในซาอุฯ แลกกับการให้เงินสนับสนุนผ่านเครือข่ายองค์การการกุศลของซาอุดิอาระเบีย…
อีก ๒ ปีต่อมา…สถานทูตสหรัฐในเคนยา และแทนซาเนียก็ถูกก่อวินาศกรรม ในปี ค.ศ. ๑๙๙๘ จำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึง ๒๒๔ คน และต่อมาในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ หน่วยตำรวจสากลของมาเลเซียก็ได้รายงานถึงการพบปะระหว่างผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในบรรดาผู้เข้าร่วมพบปะกันในครั้งนี้ประกอบไปด้วย ”คาลิด ชีค โมฮัมหมัด” ผู้เชื่อกันว่าเป็น ๑ ใน ๓ ของผู้อยู่เบื้องหลังแผนการวางระเบิดโจมตีสถานทูตสหรัฐในเคนยา แทนซาเนีย และโจมตีเรือยูเอสเอส โคล ในเวลาต่อมา และยังมี ”คาลิด อัล มิห์ดาร์” กับ ”นาวาฟ อัล ฮาซมี” ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาเชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ควบคุมเครื่องบินไฟลท์ที่ ๗๗ พุ่งชนอาคารเพนตากอน ในเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ !!!
ร่องรอยความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนกลุ่มดังกล่าว คาดกันว่าน่าจะได้รับการจับตาต่อเนื่องกันมาโดยตลอด…นับตั้งแต่หน่วยงานซีไอเอ.ได้รับรายงานข่าวกรองจากมาเลเซีย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม…ทั้ง ”อัล มิห์ดาร์” และ ”อัล ฮาซมี” ก็สามารถเดินทางเข้ามายังสนามบิน ลอสแอนเจลิสและไปพำนักอาศัยกับ ”โอมาร์ อัล บายูมี” ชาวซาอุดิอาระเบียที่เป็นพนักงานสายการบินพลเรือนของซาอุฯ ในสหรัฐได้ไม่ยากนัก และในระหว่างที่พักอาศัยอยู่ในสหรัฐเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนการบิน ค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของคนทั้งสองก็ว่ากันว่าได้รับการช่วยเหลือโดยเจ้าหญิง ”ไฮฟา” ภรรยาของเจ้าชาย ”บันดาร์” เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำสหรัฐ ที่มีความสนิทสนมกับครอบครัวอดีตประธานาธิบดี ”บุช” ในชนิดแทบจะเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันก็ว่าได้…
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๐ “บุชผู้ลูก” หรือ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยการสนับสนุนของกลุ่มธุรกิจคาร์ไลย์ และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างเต็มที่ ว่ากันว่าในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.๒๐๐๑ หรือหลังจากเพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็ได้รับรายงานจากทั้งหน่วยงานซีไอเอ.และเอฟบีไอ. ถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบมาพากลของบรรดาผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งอาจจะดำเนินการโจมตีสหรัฐในวันใดวันหนึ่ง…
ในเดือนพฤษภาคม…ซีไอเอ. ได้รับรายงานชิ้นหนึ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า ”คาลิด ชีค โมฮัมหมัด” จอมวางแผนวินาศกรรมครั้งสำคัญๆ ได้ลอบเข้ามาในสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงเดือนสิงหาคมทั้งซีไอเอ. และเอฟบีไอ. ต่างยืนยันต่อประธานาธิบดีอเมริกันถึงความเป็นไปได้ว่า การโจมตีสหรัฐด้วยการวินาศกรรมอาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และมีการระบุเอาไว้ชัดเจนว่ากลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้น่าจะมีความเกี่ยวพันกับ ”โอซามาบิน ลาเดน”ผู้นำองค์กร ”อัล-กออิดะห์”!!!
แต่นอกเหนือไปจากที่มีการสรุปถึงท่าทีของประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ในระยะนั้นว่าไม่ได้แสดงปฏิกิริยากระตือรือร้นใดๆ กับรายงานและคำยืนยันเหล่านี้แล้ว…ในวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ระหว่างที่เครื่องบิน ๒ ลำกำลังพุ่งหัวดิ่งเข้าชนตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ มีการรายงานสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์สหรัฐแบบนาทีต่อนาทีในช่วงเวลาเดียวกันนั้นนั่นแหละ…ที่โรงแรมริตช์-คาร์ลตัน ในกรุงวอชิงตัน อดีตประธานาธิบดี ”บุชผู้พ่อ” และผู้บริหารกลุ่มบริษัทคาร์ไลย์ ก็กำลังยืนดูที.วี. ร่วมกับ ”ชาฟิก บิน ลาเดน” พี่ชายต่างมารดาอีกรายของโอซามา และบรรดาสมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย…เนื่องในโอกาสการพบปะประชุมของบรรดาผู้บริหารกลุ่มธุรกิจคาร์ไลย์ที่ดันมาตรงกับวันนั้น…และวินาทีนั้นพอดิบพอดี….
กำลังทหารของสหรัฐที่ถูกส่งเข้ามาประจำการอยู่ในดินแดนซาอุดิอาระเบีย อันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ถึง ๒ แห่งหรือถูกถือเป็น ”แผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์” ของชาวอิสลาม มีจำนวนนับเป็นแสนๆ คนในระหว่างสงคราม และยังคงกำลังทหารจำนวนถึง ๒๐,๐๐๐ คนเอาไว้หลังสงครามสิ้นสุดลง ได้สร้างความไม่พอใจให้กับ ”โอซามา บิน ลาเดน” ยิ่งขึ้นไปอีก แต่จากการโจษจันกันในระยะนั้น…ว่ากันว่า ”โอซามา” ได้ยอมรับข้อเสนอของราชวงศ์ซาอุฯ ว่าจะไม่ต่อต้านกองทัพสหรัฐในซาอุดิอาระเบีย แลกกับการให้การสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารซาอุดิอาระเบียเพื่อจัดตั้งกองกำลังนักรบอิสลามขึ้นในประเทศซูดาน…
ในปี ค.ศ.๑๙๙๒ ประธานาธิบดี ”บุชผู้พ่อ” ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง แต่ก็ได้พ่ายแพ้ต่อ ”บิล คลินตัน” กลุ่มอภิมหาเศรษฐีอเมริกันในนามของ ”กลุ่มคาร์ไลย์”(Carlye Group) ซึ่งมีบทบาทในธุรกิจอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ก็ได้ยื่นมือเข้ามาเสนอตำแหน่งที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจบริษัทให้กับ ”บุชผู้พ่อ” ซึ่งอดีตประธานาธิบดีผู้นี้ ก็ได้มอบสายสัมพันธ์ที่เขาเคยมีต่อบรรดานักธุรกิจชาวอาหรับให้กับกลุ่มคาร์ไลย์โดยทันที นอกจากจะดึงกลุ่มคาร์ไลย์ให้เข้าไปเทคโอเวอร์ซื้อกิจการบริษัท ”วินเนล คอร์โปเรชั่น” อันเป็นบริษัทที่ทำการฝึกอบรมหน่วยองครักษ์ของราชวงศ์ซาอุฯ โดยตรงแล้ว เขายังชักชวนสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ นักธุรกิจอาหรับรวมไปถึงครอบครัว ”บิน ลาเดน” ให้เข้ามาเป็นหุ้นส่วนใน “คาร์ไลย์ กรุ๊ป” อีกต่างหาก….
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๓ ได้เกิดการวางระเบิดตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์เป็นครั้งแรก แต่ก็ไม่ถึงกับสร้างความเสียหายอะไรมากมายนัก หน่วยข่าวกรองสหรัฐเริ่มรายงานแสดงความสงสัยว่าการก่อวินาศกรรมครั้งนี้อาจจะเกี่ยวโยงกับกลุ่มก่อการร้ายชาวอิสลามที่มีชื่อเรียกกันว่า ”อัล-กออิดะห์” ที่เชื่อกันว่าอยู่ภายใต้การนำของ ”โอซามา บิน ลาเดน”!!!
และหลังจากที่ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ที่เคยได้รับการอุ้มชูจากครอบครัวบิน ลาเดนมาโดยตลอดได้ออกจากเส้นทางธุรกิจไปสมัครรับเลือกตั้งได้เป็นผู้ว่าการรัฐเท็กซัสไปเรียบร้อยแล้วประมาณ ๑ ปี หรือในปี ค.ศ. ๑๙๙๕ ทหารสหรัฐในซาอุฯ ๕ราย ก็เสียชีวิตจากการถูกลอบวางระเบิดโดยกลุ่มก่อการร้าย ที่เชื่อว่ามีสายสัมพันธ์โยงใยกับ ”อัล-กออิดะห์” อีกครั้ง…. แต่ผู้ต้องสงสัยที่ถูกทางการซาอุฯ จับกุมตัวไว้ได้ ก็ถูกประหารชีวิตทันที โดยไม่เปิดโอกาสให้หน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐร่วมทำการสอบสวน…
ปีค.ศ.๑๙๙๖ กลุ่มก่อการร้ายได้วางระเบิดในรถบรรทุกที่ค่ายทหารสหรัฐในซาอุดิอาระเบียที่มีชื่อว่า ”อัล-โคบาร์” ทำให้ทหารสหรัฐตายไป ๑๙ ราย ในช่วงฤดูร้อนของปีเดียวกันหน่วยงานข่าวกรองของฝรั่งเศสรายงานว่าได้มีการจัดการพบปะระหว่างนาย ”เทอร์กิ บิน ไฟซาล” หัวหน้าหน่วยข่าวกรองซาอุฯ กับตัวแทนระดับสูงของ ”อัล-กออิดะห์” ที่ปารีส โฮเต็ล เนื้อหาการพบปะเจรจาก็เพื่อตกลงไม่ให้กลุ่มก่อการร้ายปฏิบัติการโจมตีทหารสหรัฐในซาอุฯ แลกกับการให้เงินสนับสนุนผ่านเครือข่ายองค์การการกุศลของซาอุดิอาระเบีย…
อีก ๒ ปีต่อมา…สถานทูตสหรัฐในเคนยา และแทนซาเนียก็ถูกก่อวินาศกรรม ในปี ค.ศ. ๑๙๙๘ จำนวนผู้เสียชีวิตสูงถึง ๒๒๔ คน และต่อมาในปี ค.ศ. ๒๐๐๐ หน่วยตำรวจสากลของมาเลเซียก็ได้รายงานถึงการพบปะระหว่างผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นสมาชิกกลุ่มก่อการร้ายในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งในกรุงกัวลาลัมเปอร์ ในบรรดาผู้เข้าร่วมพบปะกันในครั้งนี้ประกอบไปด้วย ”คาลิด ชีค โมฮัมหมัด” ผู้เชื่อกันว่าเป็น ๑ ใน ๓ ของผู้อยู่เบื้องหลังแผนการวางระเบิดโจมตีสถานทูตสหรัฐในเคนยา แทนซาเนีย และโจมตีเรือยูเอสเอส โคล ในเวลาต่อมา และยังมี ”คาลิด อัล มิห์ดาร์” กับ ”นาวาฟ อัล ฮาซมี” ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาเชื่อกันว่าเป็นผู้ที่ควบคุมเครื่องบินไฟลท์ที่ ๗๗ พุ่งชนอาคารเพนตากอน ในเหตุการณ์ ๑๑ กันยายน ๒๐๐๑ !!!
ร่องรอยความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนกลุ่มดังกล่าว คาดกันว่าน่าจะได้รับการจับตาต่อเนื่องกันมาโดยตลอด…นับตั้งแต่หน่วยงานซีไอเอ.ได้รับรายงานข่าวกรองจากมาเลเซีย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม…ทั้ง ”อัล มิห์ดาร์” และ ”อัล ฮาซมี” ก็สามารถเดินทางเข้ามายังสนามบิน ลอสแอนเจลิสและไปพำนักอาศัยกับ ”โอมาร์ อัล บายูมี” ชาวซาอุดิอาระเบียที่เป็นพนักงานสายการบินพลเรือนของซาอุฯ ในสหรัฐได้ไม่ยากนัก และในระหว่างที่พักอาศัยอยู่ในสหรัฐเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนการบิน ค่าใช้จ่ายและค่าเล่าเรียนของคนทั้งสองก็ว่ากันว่าได้รับการช่วยเหลือโดยเจ้าหญิง ”ไฮฟา” ภรรยาของเจ้าชาย ”บันดาร์” เอกอัครราชทูตซาอุดิอาระเบียประจำสหรัฐ ที่มีความสนิทสนมกับครอบครัวอดีตประธานาธิบดี ”บุช” ในชนิดแทบจะเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันก็ว่าได้…
ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. ๒๐๐๐ “บุชผู้ลูก” หรือ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีด้วยการสนับสนุนของกลุ่มธุรกิจคาร์ไลย์ และกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรมน้ำมันอย่างเต็มที่ ว่ากันว่าในเดือนมกราคม ปี ค.ศ.๒๐๐๑ หรือหลังจากเพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้ไม่เท่าไหร่ เขาก็ได้รับรายงานจากทั้งหน่วยงานซีไอเอ.และเอฟบีไอ. ถึงความเคลื่อนไหวที่ไม่ชอบมาพากลของบรรดาผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ซึ่งอาจจะดำเนินการโจมตีสหรัฐในวันใดวันหนึ่ง…
ในเดือนพฤษภาคม…ซีไอเอ. ได้รับรายงานชิ้นหนึ่งที่ทำให้เชื่อได้ว่า ”คาลิด ชีค โมฮัมหมัด” จอมวางแผนวินาศกรรมครั้งสำคัญๆ ได้ลอบเข้ามาในสหรัฐเรียบร้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อถึงเดือนสิงหาคมทั้งซีไอเอ. และเอฟบีไอ. ต่างยืนยันต่อประธานาธิบดีอเมริกันถึงความเป็นไปได้ว่า การโจมตีสหรัฐด้วยการวินาศกรรมอาจจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ และมีการระบุเอาไว้ชัดเจนว่ากลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้น่าจะมีความเกี่ยวพันกับ ”โอซามาบิน ลาเดน”ผู้นำองค์กร ”อัล-กออิดะห์”!!!
แต่นอกเหนือไปจากที่มีการสรุปถึงท่าทีของประธานาธิบดี ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ในระยะนั้นว่าไม่ได้แสดงปฏิกิริยากระตือรือร้นใดๆ กับรายงานและคำยืนยันเหล่านี้แล้ว…ในวันที่ ๑๑ กันยายน ค.ศ. ๒๐๐๑ ระหว่างที่เครื่องบิน ๒ ลำกำลังพุ่งหัวดิ่งเข้าชนตึกเวิลด์ เทรด เซ็นเตอร์ มีการรายงานสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์สหรัฐแบบนาทีต่อนาทีในช่วงเวลาเดียวกันนั้นนั่นแหละ…ที่โรงแรมริตช์-คาร์ลตัน ในกรุงวอชิงตัน อดีตประธานาธิบดี ”บุชผู้พ่อ” และผู้บริหารกลุ่มบริษัทคาร์ไลย์ ก็กำลังยืนดูที.วี. ร่วมกับ ”ชาฟิก บิน ลาเดน” พี่ชายต่างมารดาอีกรายของโอซามา และบรรดาสมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย…เนื่องในโอกาสการพบปะประชุมของบรรดาผู้บริหารกลุ่มธุรกิจคาร์ไลย์ที่ดันมาตรงกับวันนั้น…และวินาทีนั้นพอดิบพอดี….
ความคิดเห็นที่ 1
***มีบทความเก่าๆอยู่ชิ้นหนึ่งที่คุณน่าจะสนใจครับ ลองอ่านตั้งแต่ต้นจนจบแล้วจะเข้าใจเรื่องต่างๆมากขึ้น สุดท้ายแล้วการวางมวยระหว่างมะริกันและกลุ่มก่อการร้าย ก็มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งกันเองในเรื่องผลประโยชน์ของกลุ่มผู้มีอำนาจนั่นแล***
**ขอขอบคุณเครดิตของบทความดีๆชิ้นนี้จากเว็บ "onopen.com" มา ณ ที่นี้ด้วยครับ**
"โอซามา บินลาเดน และการเปิดฉากสงครามก่อการร้าย"
ในบรรดาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอิสลาม…นอกเหนือไปจากสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์หรือ "โดมแห่งศิลา” อันเป็นที่ฝังร่างของบุคคลสำคัญๆ ในศาสนาอิสลามจำนวนมากมาย และถูกสร้างขึ้นมาซ้อนทับ "วิหารพระเจ้า” ของชาวยิวมานานนับเป็นพันๆ ปีในพื้นที่ที่เรียกกันว่า "เวลลิ่ง วอลล์” ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็ยังมีศาสนสถานที่สำคัญอีก ๒ แห่งที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชาวอิสลามนั่นก็คือ มหานคร "เมกกะ” (มักกะฮ์) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานของหินศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่า "อัล-กะอ์บะห์” หรือเป็นสถานที่ที่มุสลิมทั่วโลกต่างก็ต้องพยายามหาทางไปแสวงบุญยังสถานที่แห่งนี้ให้ได้ซักครั้งในชีวิต ในฐานะผู้ที่ยอมรับความเป็นอิสลามกันในแต่ละราย อีกสถานที่หนึ่งก็คือนคร "เมดินา” อันเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้อพยพหลบหนีผู้ปองร้ายจากนครเมกกะไปปักหลักตั้งมั่นวางรากฐานศาสนาอิสลามขึ้นมาได้อย่างมั่นคง จนถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "ศักราชฮิจเราะห์” นับตั้งแต่นั้นมา….
พื้นที่อันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ๒ แห่งที่ว่านี้…เผอิญได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองผู้นำชาวอาหรับเผ่า ”อานิซาห์” รายหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ”อับดุล อาซิซ อิบน์ อับดุล ราห์มาน อัล-ซาอุด” ตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ.๑๙๐๒ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และแปรสภาพพื้นที่เหล่านี้ให้กลายเป็น ”ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย” ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ ”อัล-ซาอุด” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้….
ในช่วงประมาณสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขณะที่กษัตริย์อับดุล อาซิซ มีพระราชประสงค์ที่จะปรับปรุงบูรณะพระราชวัง รวมทั้งทำการปฏิสังขรณ์วิหารศักดิ์สิทธิ์ในมหานครเมกกะ ว่ากันว่า…พระองค์ได้พบกับช่างก่อสร้างชาวมุสลิมนิกายซุนหนี่ ผู้ยากจนรายหนึ่ง ที่อพยพมาจากตอนใต้ของเมืองเยเมน เข้ามาอาศัยอยู่ในซาอุดิอาระเบีย แต่มีฝีไม้ลายมือในการก่อสร้างเป็นที่เลื่องลือ… ช่างก่อสร้างรายนี้มีชื่อเรียกกันว่า ”ชีค โมฮัมหมัด บิน ลาเดน”
และจะด้วยเหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากความโปรดปราน หรือความไว้วางพระราชหฤทัยในฝีมือการก่อสร้างก็ยังเป็นสิ่งที่ใครต่อใครยังไม่สามารถหาคำตอบได้ชัดเจนอยู่จนทุกวันนี้ แต่ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ”อัล-ซาอุด” กับครอบครัว ”บิน ลาเดน” ก็เจริญเติบโตงอกงาม ไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงฐานะของตระกูลช่างก่อสร้างตระกูลนี้ ให้กลายมาเป็นอภิมหาเศรษฐีในประเทศซาอุดิอาระเบียในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจาก ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ได้กลายเป็นผู้ผูกขาดสัมปทานงานก่อสร้างสำคัญๆ จากราชวงศ์อัล-ซาอุดอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงแต่งานก่อสร้างในประเทศซาอุดิอาระเบียเท่านั้น…แต่แม้กระทั่งงานฟื้นฟูบูรณะวิหารอิสลามในนครเยรูซาเล็ม ก็ถูกมอบหมายให้อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทก่อสร้างของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ด้วยเช่นกัน…
นอกเหนือไปจากธุรกิจก่อสร้างของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” จะเติบโตขยายตัวจนมีปริมาณทรัพย์สินนับเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์ มีเครือข่ายการลงทุนในธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจอื่นๆ อยู่ในทั่วทั้งตะวันออกกลางไปจนถึงยุโรปและอเมริกาแล้ว บุตรหลานของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ในแต่ละรุ่นแต่ละวัยจำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐ คน ที่เกิดจากภรรยาหลายต่อหลายเชื้อชาติจำนวนกว่า ๒๐ราย ไม่ว่าภรรยาที่เป็นชาวเยเมน ชาวซาอุดิอาระเบีย ชาวซีเรีย ชาวเลบานอน หรือชาวอียิปต์ ฯลฯ ต่างก็ได้กลายเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงที่เติบโตคลุกคลีมากับสมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด…
บทพิสูจน์ความสัมพันธ์ที่แน่นเหนียวใกล้ชิดเช่นนี้ได้ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในหลายครั้งหลายครา อาทิ ในกรณีหนึ่งที่…สมาชิกในตระกูล ”บิน ลาดิน”บางรายอย่าง ”มาห์รัส บิน ลาเดน” เคยถูกกล่าวหาในข้อหาที่ร้ายแรงฉกาจฉกรรจ์ ว่าได้ร่วมมือกับลูกชายสุลต่านแห่งเยเมนสนับสนุนกลุ่มอิสลามฝ่ายนิยมอิหร่าน ให้ก่อการยึดวิหารเมกกะ ในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ โดยใช้รถบรรทุกของบริษัทก่อสร้างของตระกูล ลอบขนอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการ แต่หลังจากรัฐบาลซาอุฯ ได้ทำกวาดล้างจับกุมกลุ่มผู้ก่อการได้ทั้งหมด และนำไปประหารชีวิตอย่างเปิดเผยเป็นจำนวนถึง ๖๐ กว่าคน แต่สำหรับ ”มาห์รัส บิน ลาเดน” กลับได้รับการปล่อยตัว และกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักธุรกิจดูแลบริษัทสาขาของครอบครัวในนครริยาดห์ได้ตามปกติ…
อย่างไรก็ตาม…นอกเหนือไปจากเรื่องราวของ ”มาห์รัส บิน ลาเดน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบารมีของตระกูล ”บิน ลาเดน” อันเนื่องมาจากสายสัมพันธ์ที่แน่นเหนียวกับราชวงศ์อัล-ซาอุดดังที่กล่าวไปแล้ว บารมีของผู้คนในตระกูล ”บิน ลาเดน” ก็ยังไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในขอบเขตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียแต่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องราวของทายาทอีก ๒ รายที่ถูกนำไปโจษจันกันในระดับโลกจนแม้กระทั่งทุกวันนี้ รายหนึ่งนั้นมีชื่อว่า ”ซาเล็ม บิน ลาเดน” ลูกชายที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหลังจากที่ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ส่วนอีกรายก็คือลูกชายที่เกิดจากภรรยาคนที่ ๑๐ ซึ่งเป็นชาวซีเรีย ผู้มีชื่อเรียกขานกันว่า ”โอซามา บิน ลาเดน”…นั่นเอง!!!
สำหรับ ”ซาเล็ม บิน ลาเดน” นั้น…ถึงแม้นชื่อของเขาจะไม่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางมากนัก แต่ในแง่บทบาทและความเชื่อมโยงระหว่างตัวของเขากับน้องชายต่างมารดาอย่าง ”โอซามา บิน ลาเดน”…ก็กลายเป็นเรื่องราวที่ก่อให้เกิดปมปริศนากับใครต่อใครอยู่ไม่น้อย จากอดีตนักกีตาร์วงร็อคในยุคซิกซ์ตี้ เมื่อผู้เป็นบิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ”ซาเล็ม” ก็ได้เข้ามาดูแลกิจการธุรกิจของครอบครัวแทนพ่อ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือการดูแลเงินลงทุนของครอบครัวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๑๖,๐๐๐ล้านเหรียญสหรัฐ
ในปี ค.ศ. ๑๙๗๖ “ซาเล็ม บิน ลาเดน” และ ”คาลิบ บิน มาห์ฟูซ” นายธนาคารชาวอาหรับผู้ดูแลกิจการธนาคารในเครือของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดสินใจที่จะจ้างอดีตนักบินในกองทัพอากาศอเมริกันรายหนึ่งที่ออกมาทำธุรกิจก่อสร้างให้เป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์และการลงทุนของตระกูลบิน ลาเดน และของราชวงศ์ซาอุฯ ในสหรัฐ อดีตนักบินรายนั้นมีชื่อว่า ”จิม บาธ” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ลูกชายนักการเมืองรายนั้นถูกเกณฑ์เป็นให้เป็นอาสาสมัครในหน่วย ”Texas Air National Guard” แทนการถูกส่งไปรบในสมรภูมิเวียดนาม ซึ่งลูกชายนักการเมืองรายนั้นก็คือ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ผู้ซึ่งกลายมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปัจจุบันนั่นเอง….
จะเป็นอย่างที่ ”จิม บาธ” ได้อ้างเอาไว้ว่า พ่อของเพื่อนคือ ”บุชผู้พ่อ” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเอ.ในระยะนั้น ต้องการให้เขาซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชายเข้าไปตีสนิทกับนักธุรกิจชาวอาหรับ หรือจะเป็นเพราะนักธุรกิจอย่าง ”ซาเล็ม” และ ”คาลิบ” มองเห็นช่องทางที่จะอาศัย ”บาธ” เข้าไปตีสนิทกับผู้มีอำนาจในวงการเมืองอเมริกันก็แล้วแต่…แต่ก็ได้ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง ”ตระกูลบิน ลาเดน” กับ ”ตระกูลบุช” เริ่มมีความผูกพันกันและกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หน่วยงานซีไอเอ. ในระยะนั้นได้กลายเป็นผู้รับจ้างฝึกหน่วยทหารองครักษ์ให้กับราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย พร้อมกับร่วมทำธุรกิจการบินกับนักธุรกิจอาหรับ ในขณะที่หลังจาก ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” พ้นกำหนดการเป็นอาสาสมัครรับใช้ชาติและเริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจของครอบครัวด้วยการจัดตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันชื่อว่า ”อาร์บัสโธ” ในปี ค.ศ. ๑๙๗๘ เงินลงทุนก้อนใหญ่ของบริษัทนับล้านดอลลาร์ ก็ได้มาจากครอบครัว ”บิน ลาเดน” ที่ลงทุนผ่าน ”จิม บาธ” นั่นเอง…
ในปี ค.ศ. ๑๙๗๙เมื่อรัฐบาลอเมริกันตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ”จิมมี่ คาร์เตอร์” วางโครงการที่จะให้เงินสนับสนุนแก่กลุ่มนักรบอิสลามที่เรียกกันว่า ”มูจาฮิดีน” ในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ต่อต้านกองกำลังของโซเวียตรัสเซียที่บุกเข้ายึดประเทศอัฟกานิสถานในขณะนั้น ด้วยเม็ดเงินในระดับ ”ไม่อั้น” หรือมากกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์การช่วยเหลือกองกำลังติดอาวุธนอกประเทศของอเมริกา เพื่อต้องการให้อัฟกานิสถานกลายเป็น ”เวียดนามของรัสเซีย” และนโยบายดังกล่าวก็ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปี ค.ศ. ๑๙๘๐ ในช่วงของรัฐบาลประธานาธิบดี ”โรนัลด์ เรแกน” ซึ่งมี ”บุชผู้พ่อ” ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในช่วงใกล้เคียงกันนั้น ”โอซามา บิน ลาเดน” น้องชายคนโปรดของ ”ซาเล็ม” ก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะไปร่วมทำสงครามญิฮาดเพื่อขับไล่รัสเซียร่วมกับพวกมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถานขึ้นมาทันที…
ในขณะที่ซีไอเอ. ราชวงศ์ซาอุฯ และปากีสถาน ผนึกกำลังกันช่วยเหลือนักรบมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถาน โดยมีลูกชายอภิมหาเศรษฐีของตระกูลบิน ลาเดน อย่าง ”โอซามา” ร่วมถือปืนเคียงบ่า-เคียงไหล่กับนักรบมูจาฮิดีนในแนวหน้าและก้าวขึ้นมามีบทบาทระดับนำในหมู่นักรบอิสลามนับตั้งแต่นั้นมา “ซาเล็ม” ก็ได้ขยายบทบาทของตัวเองใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนทางการเงินให้กับแผนการลับของรัฐบาลประธานาธิบดี ”เรแกน” เพื่อจัดตั้งกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลฝ่ายซ้ายของนิคารากัวที่รู้จักกันในนาม ”กบฎคอนทรา” เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า ๓-๔ ล้านดอลลาร์ (ตามรายงานของหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศส)…
ไม่เพียงเท่านั้น…ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๘๗ เมื่อบริษัทน้ำมันของ ”บุชจูเนียร์” เกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา “ซาเล็ม”และ ”คาลิด”ก็กลายเป็นผู้ยื่นมือเข้าประคับประคองพลิกฟื้นฐานะของกิจการน้ำมันแห่งนี้ ด้วยการทุ่มเงินลงทุนผ่าน ”บาธ” จำนวนถึง ๒๕ ล้านดอลลาร์ซื้อกิจการบริษัทโดยไม่ได้คำนึงถึงความย่ำแย่ในทางธุรกิจกันเลยแม้แต่น้อย… แต่ในอีกไม่นานนัก…เขาก็ต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันในลักษณะเกือบจะไม่ต่างไปจากผู้เป็นบิดาซักเท่าไหร่นัก นั่นก็คืออุบัติเหตุทางการบิน เนื่องจากเครื่องบินเล็กที่เขาและเพื่อน ได้ขับออกมาจากสนามบินในเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส ตกลงมาอย่างไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด ในปี ค.ศ. ๑๙๘๘
ในปี ค.ศ. ๑๙๘๙ เมื่อโซเวียตรัสเซีย จำต้องถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากที่ซีไอเอ.ได้ทุ่มเงินจำนวนมากถึง ๓ พันล้านดอลลาร์ให้กับกลุ่มมูจาฮิดีนเพื่อสร้างปัญหาให้กับกองทัพรัสเซีย “โอซามา บิน ลาเดน” ในฐานะผู้นำของบรรดานักรบอิสลามที่ได้รับการฝึกปรือโดยหน่วยงานซีไอเอ. มาอย่างช่ำชองแล้ว ก็ได้เดินทางกลับมายังซาอุดิอาระเบีย และจะด้วยความเสียใจจากข่าวคราวการเสียชีวิตของพี่ชายในสหรัฐ หรือจะเป็นเพราะความหงุดหงิดต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชาวอัฟกานิสถานอย่างเท่าที่ควรจะเป็นหลังจากที่กองกำลังโซเวียตได้ถอนตัวออกไปก็แล้วแต่ แต่ท่าทีของ ”โอซามา” ในระยะนั้นก็เริ่มสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลสหรัฐขึ้นมาบ้างแล้ว…
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ เมื่อกองทัพอิรักของ ”ซัดดัม ฮุสเซ็น” ที่เคยได้รับการหนุนช่วยจากรัฐบาลสหรัฐมาโดยตลอด โดยเฉพาะในการสนับสนุนให้เปิดศึกกับรัฐบาลอิสลามในอิหร่าน ที่โค่นล้มรัฐบาลหุ่นของสหรัฐ หรือรัฐบาล ”ชาห์ ปาเลวี” ลงไปได้สำเร็จ…เกิดยุติศึกกับอิหร่านแล้วหันมายึดประเทศคูเวตกันแทนที่ การแผ่ขยายอำนาจของ ”ซัดดัม ฮุสเซ็น” ในครั้งนั้นได้กลายเป็นการสร้างแรงกดดันลามไปถึงราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียควบคู่ไปด้วย…ว่ากันว่านักรบอิสลามอย่าง ”โอซามา บิน ลาเดน” ในขณะนั้นได้เสนอต่อสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ อาสาจะรวบรวมบรรดานักรบอิสลามต่อสู้กับกองทัพซัดดัม แทนที่จะเปิดโอกาสให้กองกำลังสหรัฐใช้ซาอุดิอาระเบียเป็นฐานทัพในการขับไล่ ”ซัดดัม” ให้ออกจากคูเวต…แต่ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธ
**มีต่อครับ**
**ขอขอบคุณเครดิตของบทความดีๆชิ้นนี้จากเว็บ "onopen.com" มา ณ ที่นี้ด้วยครับ**
"โอซามา บินลาเดน และการเปิดฉากสงครามก่อการร้าย"
ในบรรดาสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวอิสลาม…นอกเหนือไปจากสุเหร่าศักดิ์สิทธิ์หรือ "โดมแห่งศิลา” อันเป็นที่ฝังร่างของบุคคลสำคัญๆ ในศาสนาอิสลามจำนวนมากมาย และถูกสร้างขึ้นมาซ้อนทับ "วิหารพระเจ้า” ของชาวยิวมานานนับเป็นพันๆ ปีในพื้นที่ที่เรียกกันว่า "เวลลิ่ง วอลล์” ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ก็ยังมีศาสนสถานที่สำคัญอีก ๒ แห่งที่ถือเป็นจุดศูนย์กลางทางจิตวิญญาณของชาวอิสลามนั่นก็คือ มหานคร "เมกกะ” (มักกะฮ์) ซึ่งเป็นที่ตั้งของวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานของหินศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่า "อัล-กะอ์บะห์” หรือเป็นสถานที่ที่มุสลิมทั่วโลกต่างก็ต้องพยายามหาทางไปแสวงบุญยังสถานที่แห่งนี้ให้ได้ซักครั้งในชีวิต ในฐานะผู้ที่ยอมรับความเป็นอิสลามกันในแต่ละราย อีกสถานที่หนึ่งก็คือนคร "เมดินา” อันเป็นสถานที่ที่พระศาสดาโมฮัมหมัดได้อพยพหลบหนีผู้ปองร้ายจากนครเมกกะไปปักหลักตั้งมั่นวางรากฐานศาสนาอิสลามขึ้นมาได้อย่างมั่นคง จนถือเป็นจุดเริ่มต้นของ "ศักราชฮิจเราะห์” นับตั้งแต่นั้นมา….
พื้นที่อันเป็นที่ตั้งของศาสนสถานอันศักดิ์สิทธิ์ ๒ แห่งที่ว่านี้…เผอิญได้ตกอยู่ภายใต้การครอบครองผู้นำชาวอาหรับเผ่า ”อานิซาห์” รายหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ”อับดุล อาซิซ อิบน์ อับดุล ราห์มาน อัล-ซาอุด” ตั้งแต่ในช่วงปี ค.ศ.๑๙๐๒ ผู้ซึ่งในเวลาต่อมาได้สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกษัตริย์ และแปรสภาพพื้นที่เหล่านี้ให้กลายเป็น ”ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบีย” ภายใต้การปกครองของราชวงศ์ ”อัล-ซาอุด” มาจนตราบเท่าทุกวันนี้….
ในช่วงประมาณสงครามโลกครั้งที่ ๑ ขณะที่กษัตริย์อับดุล อาซิซ มีพระราชประสงค์ที่จะปรับปรุงบูรณะพระราชวัง รวมทั้งทำการปฏิสังขรณ์วิหารศักดิ์สิทธิ์ในมหานครเมกกะ ว่ากันว่า…พระองค์ได้พบกับช่างก่อสร้างชาวมุสลิมนิกายซุนหนี่ ผู้ยากจนรายหนึ่ง ที่อพยพมาจากตอนใต้ของเมืองเยเมน เข้ามาอาศัยอยู่ในซาอุดิอาระเบีย แต่มีฝีไม้ลายมือในการก่อสร้างเป็นที่เลื่องลือ… ช่างก่อสร้างรายนี้มีชื่อเรียกกันว่า ”ชีค โมฮัมหมัด บิน ลาเดน”
และจะด้วยเหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจากความโปรดปราน หรือความไว้วางพระราชหฤทัยในฝีมือการก่อสร้างก็ยังเป็นสิ่งที่ใครต่อใครยังไม่สามารถหาคำตอบได้ชัดเจนอยู่จนทุกวันนี้ แต่ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกษัตริย์แห่งราชวงศ์ ”อัล-ซาอุด” กับครอบครัว ”บิน ลาเดน” ก็เจริญเติบโตงอกงาม ไปพร้อมๆ กับการเปลี่ยนแปลงฐานะของตระกูลช่างก่อสร้างตระกูลนี้ ให้กลายมาเป็นอภิมหาเศรษฐีในประเทศซาอุดิอาระเบียในเวลาอันรวดเร็ว เนื่องจาก ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ได้กลายเป็นผู้ผูกขาดสัมปทานงานก่อสร้างสำคัญๆ จากราชวงศ์อัล-ซาอุดอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงแต่งานก่อสร้างในประเทศซาอุดิอาระเบียเท่านั้น…แต่แม้กระทั่งงานฟื้นฟูบูรณะวิหารอิสลามในนครเยรูซาเล็ม ก็ถูกมอบหมายให้อยู่ภายใต้การจัดการของบริษัทก่อสร้างของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ด้วยเช่นกัน…
นอกเหนือไปจากธุรกิจก่อสร้างของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” จะเติบโตขยายตัวจนมีปริมาณทรัพย์สินนับเป็นพันๆ หมื่นๆ ล้านดอลลาร์ มีเครือข่ายการลงทุนในธุรกิจก่อสร้างและธุรกิจอื่นๆ อยู่ในทั่วทั้งตะวันออกกลางไปจนถึงยุโรปและอเมริกาแล้ว บุตรหลานของ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” ในแต่ละรุ่นแต่ละวัยจำนวนไม่น้อยกว่า ๕๐ คน ที่เกิดจากภรรยาหลายต่อหลายเชื้อชาติจำนวนกว่า ๒๐ราย ไม่ว่าภรรยาที่เป็นชาวเยเมน ชาวซาอุดิอาระเบีย ชาวซีเรีย ชาวเลบานอน หรือชาวอียิปต์ ฯลฯ ต่างก็ได้กลายเป็นลูกหลานของชนชั้นสูงที่เติบโตคลุกคลีมากับสมาชิกราชวงศ์ซาอุดิอาระเบียอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด…
บทพิสูจน์ความสัมพันธ์ที่แน่นเหนียวใกล้ชิดเช่นนี้ได้ถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนในหลายครั้งหลายครา อาทิ ในกรณีหนึ่งที่…สมาชิกในตระกูล ”บิน ลาดิน”บางรายอย่าง ”มาห์รัส บิน ลาเดน” เคยถูกกล่าวหาในข้อหาที่ร้ายแรงฉกาจฉกรรจ์ ว่าได้ร่วมมือกับลูกชายสุลต่านแห่งเยเมนสนับสนุนกลุ่มอิสลามฝ่ายนิยมอิหร่าน ให้ก่อการยึดวิหารเมกกะ ในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ โดยใช้รถบรรทุกของบริษัทก่อสร้างของตระกูล ลอบขนอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการ แต่หลังจากรัฐบาลซาอุฯ ได้ทำกวาดล้างจับกุมกลุ่มผู้ก่อการได้ทั้งหมด และนำไปประหารชีวิตอย่างเปิดเผยเป็นจำนวนถึง ๖๐ กว่าคน แต่สำหรับ ”มาห์รัส บิน ลาเดน” กลับได้รับการปล่อยตัว และกลับมาใช้ชีวิตเป็นนักธุรกิจดูแลบริษัทสาขาของครอบครัวในนครริยาดห์ได้ตามปกติ…
อย่างไรก็ตาม…นอกเหนือไปจากเรื่องราวของ ”มาห์รัส บิน ลาเดน” ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงบารมีของตระกูล ”บิน ลาเดน” อันเนื่องมาจากสายสัมพันธ์ที่แน่นเหนียวกับราชวงศ์อัล-ซาอุดดังที่กล่าวไปแล้ว บารมีของผู้คนในตระกูล ”บิน ลาเดน” ก็ยังไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในขอบเขตราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียแต่เพียงเท่านั้น ยังมีเรื่องราวของทายาทอีก ๒ รายที่ถูกนำไปโจษจันกันในระดับโลกจนแม้กระทั่งทุกวันนี้ รายหนึ่งนั้นมีชื่อว่า ”ซาเล็ม บิน ลาเดน” ลูกชายที่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ดูแลกิจการของตระกูลหลังจากที่ ”โมฮัมหมัด บิน ลาเดน” เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบินในปี ค.ศ. ๑๙๖๗ ส่วนอีกรายก็คือลูกชายที่เกิดจากภรรยาคนที่ ๑๐ ซึ่งเป็นชาวซีเรีย ผู้มีชื่อเรียกขานกันว่า ”โอซามา บิน ลาเดน”…นั่นเอง!!!
สำหรับ ”ซาเล็ม บิน ลาเดน” นั้น…ถึงแม้นชื่อของเขาจะไม่ได้ถูกพูดถึงกันอย่างกว้างขวางมากนัก แต่ในแง่บทบาทและความเชื่อมโยงระหว่างตัวของเขากับน้องชายต่างมารดาอย่าง ”โอซามา บิน ลาเดน”…ก็กลายเป็นเรื่องราวที่ก่อให้เกิดปมปริศนากับใครต่อใครอยู่ไม่น้อย จากอดีตนักกีตาร์วงร็อคในยุคซิกซ์ตี้ เมื่อผู้เป็นบิดาเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางเครื่องบิน ”ซาเล็ม” ก็ได้เข้ามาดูแลกิจการธุรกิจของครอบครัวแทนพ่อ และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือการดูแลเงินลงทุนของครอบครัวในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า ๑๖,๐๐๐ล้านเหรียญสหรัฐ
ในปี ค.ศ. ๑๙๗๖ “ซาเล็ม บิน ลาเดน” และ ”คาลิบ บิน มาห์ฟูซ” นายธนาคารชาวอาหรับผู้ดูแลกิจการธนาคารในเครือของราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย ได้ตัดสินใจที่จะจ้างอดีตนักบินในกองทัพอากาศอเมริกันรายหนึ่งที่ออกมาทำธุรกิจก่อสร้างให้เป็นตัวแทนดูแลผลประโยชน์และการลงทุนของตระกูลบิน ลาเดน และของราชวงศ์ซาอุฯ ในสหรัฐ อดีตนักบินรายนั้นมีชื่อว่า ”จิม บาธ” ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกับลูกชายนักการเมืองผู้ทรงอิทธิพลรายหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ในระหว่างที่ลูกชายนักการเมืองรายนั้นถูกเกณฑ์เป็นให้เป็นอาสาสมัครในหน่วย ”Texas Air National Guard” แทนการถูกส่งไปรบในสมรภูมิเวียดนาม ซึ่งลูกชายนักการเมืองรายนั้นก็คือ ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” ผู้ซึ่งกลายมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐในปัจจุบันนั่นเอง….
จะเป็นอย่างที่ ”จิม บาธ” ได้อ้างเอาไว้ว่า พ่อของเพื่อนคือ ”บุชผู้พ่อ” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการซีไอเอ.ในระยะนั้น ต้องการให้เขาซึ่งเป็นเพื่อนของลูกชายเข้าไปตีสนิทกับนักธุรกิจชาวอาหรับ หรือจะเป็นเพราะนักธุรกิจอย่าง ”ซาเล็ม” และ ”คาลิบ” มองเห็นช่องทางที่จะอาศัย ”บาธ” เข้าไปตีสนิทกับผู้มีอำนาจในวงการเมืองอเมริกันก็แล้วแต่…แต่ก็ได้ทำให้สายสัมพันธ์ระหว่าง ”ตระกูลบิน ลาเดน” กับ ”ตระกูลบุช” เริ่มมีความผูกพันกันและกันนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หน่วยงานซีไอเอ. ในระยะนั้นได้กลายเป็นผู้รับจ้างฝึกหน่วยทหารองครักษ์ให้กับราชวงศ์ซาอุดิอาระเบีย พร้อมกับร่วมทำธุรกิจการบินกับนักธุรกิจอาหรับ ในขณะที่หลังจาก ”จอร์จ ดับเบิลยู บุช” พ้นกำหนดการเป็นอาสาสมัครรับใช้ชาติและเริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจของครอบครัวด้วยการจัดตั้งบริษัทขุดเจาะน้ำมันชื่อว่า ”อาร์บัสโธ” ในปี ค.ศ. ๑๙๗๘ เงินลงทุนก้อนใหญ่ของบริษัทนับล้านดอลลาร์ ก็ได้มาจากครอบครัว ”บิน ลาเดน” ที่ลงทุนผ่าน ”จิม บาธ” นั่นเอง…
ในปี ค.ศ. ๑๙๗๙เมื่อรัฐบาลอเมริกันตั้งแต่ยุคประธานาธิบดี ”จิมมี่ คาร์เตอร์” วางโครงการที่จะให้เงินสนับสนุนแก่กลุ่มนักรบอิสลามที่เรียกกันว่า ”มูจาฮิดีน” ในอัฟกานิสถาน เพื่อให้ต่อต้านกองกำลังของโซเวียตรัสเซียที่บุกเข้ายึดประเทศอัฟกานิสถานในขณะนั้น ด้วยเม็ดเงินในระดับ ”ไม่อั้น” หรือมากกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์การช่วยเหลือกองกำลังติดอาวุธนอกประเทศของอเมริกา เพื่อต้องการให้อัฟกานิสถานกลายเป็น ”เวียดนามของรัสเซีย” และนโยบายดังกล่าวก็ดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปี ค.ศ. ๑๙๘๐ ในช่วงของรัฐบาลประธานาธิบดี ”โรนัลด์ เรแกน” ซึ่งมี ”บุชผู้พ่อ” ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี ในช่วงใกล้เคียงกันนั้น ”โอซามา บิน ลาเดน” น้องชายคนโปรดของ ”ซาเล็ม” ก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะไปร่วมทำสงครามญิฮาดเพื่อขับไล่รัสเซียร่วมกับพวกมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถานขึ้นมาทันที…
ในขณะที่ซีไอเอ. ราชวงศ์ซาอุฯ และปากีสถาน ผนึกกำลังกันช่วยเหลือนักรบมูจาฮิดีนในอัฟกานิสถาน โดยมีลูกชายอภิมหาเศรษฐีของตระกูลบิน ลาเดน อย่าง ”โอซามา” ร่วมถือปืนเคียงบ่า-เคียงไหล่กับนักรบมูจาฮิดีนในแนวหน้าและก้าวขึ้นมามีบทบาทระดับนำในหมู่นักรบอิสลามนับตั้งแต่นั้นมา “ซาเล็ม” ก็ได้ขยายบทบาทของตัวเองใกล้ชิดกับรัฐบาลอเมริกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นกำลังสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการสนับสนุนทางการเงินให้กับแผนการลับของรัฐบาลประธานาธิบดี ”เรแกน” เพื่อจัดตั้งกลุ่มกบฏต่อต้านรัฐบาลฝ่ายซ้ายของนิคารากัวที่รู้จักกันในนาม ”กบฎคอนทรา” เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า ๓-๔ ล้านดอลลาร์ (ตามรายงานของหน่วยข่าวกรองฝรั่งเศส)…
ไม่เพียงเท่านั้น…ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๘๗ เมื่อบริษัทน้ำมันของ ”บุชจูเนียร์” เกิดปัญหาทางการเงินขึ้นมา “ซาเล็ม”และ ”คาลิด”ก็กลายเป็นผู้ยื่นมือเข้าประคับประคองพลิกฟื้นฐานะของกิจการน้ำมันแห่งนี้ ด้วยการทุ่มเงินลงทุนผ่าน ”บาธ” จำนวนถึง ๒๕ ล้านดอลลาร์ซื้อกิจการบริษัทโดยไม่ได้คำนึงถึงความย่ำแย่ในทางธุรกิจกันเลยแม้แต่น้อย… แต่ในอีกไม่นานนัก…เขาก็ต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหันในลักษณะเกือบจะไม่ต่างไปจากผู้เป็นบิดาซักเท่าไหร่นัก นั่นก็คืออุบัติเหตุทางการบิน เนื่องจากเครื่องบินเล็กที่เขาและเพื่อน ได้ขับออกมาจากสนามบินในเมืองซานอันโตนิโอ รัฐเท็กซัส ตกลงมาอย่างไม่มีการระบุสาเหตุที่แน่ชัด ในปี ค.ศ. ๑๙๘๘
ในปี ค.ศ. ๑๙๘๙ เมื่อโซเวียตรัสเซีย จำต้องถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน หลังจากที่ซีไอเอ.ได้ทุ่มเงินจำนวนมากถึง ๓ พันล้านดอลลาร์ให้กับกลุ่มมูจาฮิดีนเพื่อสร้างปัญหาให้กับกองทัพรัสเซีย “โอซามา บิน ลาเดน” ในฐานะผู้นำของบรรดานักรบอิสลามที่ได้รับการฝึกปรือโดยหน่วยงานซีไอเอ. มาอย่างช่ำชองแล้ว ก็ได้เดินทางกลับมายังซาอุดิอาระเบีย และจะด้วยความเสียใจจากข่าวคราวการเสียชีวิตของพี่ชายในสหรัฐ หรือจะเป็นเพราะความหงุดหงิดต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับชาวอัฟกานิสถานอย่างเท่าที่ควรจะเป็นหลังจากที่กองกำลังโซเวียตได้ถอนตัวออกไปก็แล้วแต่ แต่ท่าทีของ ”โอซามา” ในระยะนั้นก็เริ่มสะท้อนให้เห็นถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลสหรัฐขึ้นมาบ้างแล้ว…
ในปี ค.ศ. ๑๙๙๑ เมื่อกองทัพอิรักของ ”ซัดดัม ฮุสเซ็น” ที่เคยได้รับการหนุนช่วยจากรัฐบาลสหรัฐมาโดยตลอด โดยเฉพาะในการสนับสนุนให้เปิดศึกกับรัฐบาลอิสลามในอิหร่าน ที่โค่นล้มรัฐบาลหุ่นของสหรัฐ หรือรัฐบาล ”ชาห์ ปาเลวี” ลงไปได้สำเร็จ…เกิดยุติศึกกับอิหร่านแล้วหันมายึดประเทศคูเวตกันแทนที่ การแผ่ขยายอำนาจของ ”ซัดดัม ฮุสเซ็น” ในครั้งนั้นได้กลายเป็นการสร้างแรงกดดันลามไปถึงราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียควบคู่ไปด้วย…ว่ากันว่านักรบอิสลามอย่าง ”โอซามา บิน ลาเดน” ในขณะนั้นได้เสนอต่อสมาชิกราชวงศ์ซาอุฯ อาสาจะรวบรวมบรรดานักรบอิสลามต่อสู้กับกองทัพซัดดัม แทนที่จะเปิดโอกาสให้กองกำลังสหรัฐใช้ซาอุดิอาระเบียเป็นฐานทัพในการขับไล่ ”ซัดดัม” ให้ออกจากคูเวต…แต่ข้อเสนอนี้ได้รับการปฏิเสธ
**มีต่อครับ**
ความคิดเห็นที่ 22
เรื่องการลองสังหารบินลาเดนเนี่ย เป็นเรื่องที่คนอเมริกันทุกคนเห็นด้วย ร้อยเปอร์เซนต์ค่ะ มีทั้งหลักฐานเชื่อมโยงแน่นหนา ถึงการก่อวินาศกรรม ฆ่าคนอเมริกันที่ไม่รู้ที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย สามพันกว่าศพ ตอน 911 รวมทั้งวางแผนถล่มทหารอเมริกัน ด้วยวิธีลอบกัดไม่สู้กันซึ่งหน้า หลายต่อหลายครั้ง ส่วนตัวว่ามัน ขึ้ขลาดมากค่ะ ไม่มีความเป็นฮีโร่เลยแม้ซักกะนิดเดียว บินลาเดนเนี่ย เกิดมาเคยทำอะไรช่วยเหลือคนมุสลิมบ้าง? วันๆเอาแต่ตั้งกองโจร เอาลูกหลานมุสลิมมาระเบิดตัวเอง แต่ลูกเมียตัวเองไม่เคยให้เสียสละไปเป็นระเบิดเดินได้เลย ปลูกฝังความเกลียดชัง ในขณะที่ทั่วโลกเดินหน้า ประเทศน้ำมันเยอะๆอย่างในตะวันออกกลาง แทนที่จะร่ำรวย กลับแร้นแค้น ผู้คนอดๆหยากๆ เพราะพวกสุลต่าน นักบวชศาสนามันปกครองประเทศงัย มันไม่ต้องการเดินหน้าหรอก พวกมันก็แค่ cover ความล้มเหลวของมันเองโดยไปโยนให้อเมริกา และประเทศตะวันตก ตัวเองจะได้ครองอำนาจนานๆๆๆ ถ้าพวกนี้ดูญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง ญี่ปุ่นแพ้สงครามสะบักสะบอม แต่ลุกยืนได้โดยรับความช่วยเหลือจากตะวันตกนะ มันคงเป็น ดูไบ กันทั้งตะวันออกกลางไปแล้ว นี่อะไร ปล่อยให้คนของตัวเองอดๆหยากๆ และก็โทษคนอื่นอยู่นั่น แล้วก็ตั้งกองโจรฆ่าคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ไปวันๆ พวกผู้นำศาสนาในประเทศพวกนี้แหละค่ะ คือ ปํญหา ไม่ใช่เมริกง อเมริกา อะไรหรอก
แสดงความคิดเห็น
อเมริกา ทำอะไร บินลาเด็น เหรอคะถึงเกิดเรื่องราวทั้งหมด?
แต่ยังไม่ได้ศึกษาค้นคว้ามากเท่าไหร่ แล้วมาอ่านเจอในพันทิปว่า อเมริกา ไปรังแกเค้าก่อนเค้าเลยมาก่อการร้าย
อเมริกาไปทำอะไรเหรอคะ อยากทราบมากๆ แล้วจากที่ดูในหนัง ทางฝั่งอัลกออิดะห์
ไม่ได้ก่อการร้ายในเมการอบเดียว แต่ก่อการร้ายหลายรอบมากที่ยิ่งใหญ่สุดคือ 9 กันยาใช่มั้ยคะ