ตอนที่1
“หนูแต่งงานไม่ได้หรอกค่ะ!” จบเสียงนั้นสิ่งที่ได้ตอบรับกลับมาคือเสียงตบโต๊ะดังตึง ทำเอาอีกสามชีวิตที่นั่งสถิตอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านสะดุ้งเฮือกไม่เว้นแม้แต่เจ้าของเสียงแว้ดๆ ก่อนหน้านี้
หลังจากที่ลงทุนตบโต๊ะกระจกหรูหราตรงหน้าแล้ว คุณประสิทธิ์ก่อนหดมือเข้าไปกอดอก จดจ้องสายตาไปยังใบหน้าของลูกสาวคนโตของบ้านที่กำลังคอแข็งเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์ปุดๆ ของตัวเอง
อยากจะโวยวายอีกสักยก แต่ติดที่ว่าพ่อผู้ซึ่งใจดีกับเธอนักหนา ไม่เคยแม้แต่จะเสียงดังใส่คราวนี้ถึงกับตบโต๊ะขู่เลยทำให้เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าจะทำตัวเกเรใส่ได้ไหม น้องชายของตนก็สะกิดยิกๆ เหมือนจะคอยห้ามไม่ให้เธออาละวาดแต่มันกลับทำให้เธอยิ่งรำคาญหนักกว่าเดิมเลยหันไปจิกตาเข้าใส่
“บอกมาสิว่าทำไมถึงแต่งไม่ได้” เสียงของพ่อประสิทธิ์เรียบนิ่ง แต่กิริยาตบโต๊ะขู่เมื่อสักครู่ก่อนหน้าไม่สามารถทำให้หญิงสาววางใจ ไหนเสียงจะกดหนักเรียกชื่อเป็นเชิงบังคับให้เธอปริปากอีก “จ๊ะเอ๋...อธิบายกับพ่อ”
หญิงสาวเม้มปาก ขยับกายอย่างอึดอัด พยายามนึกหาเหตุผลดีๆ สักสองสามข้อ แต่ก็ดูเหมือนจะนึกไม่ออก
อรกัญญา อึดอัดใจ เหลือบมองใบหน้าของพ่อ เสมองไปสบตากับมารดาที่ทุกทีคอยช่วยเหลือเธอแต่คราวนี้กลับหลบตาเธอเสียอย่างนั้น ส่วนน้องชายของเธอไม่ต้องคิดจะให้ช่วยแค่บิดาตวัดสายตาใส่อัฐกรก็พร้อมจะเด้งตัวออกจากข้อพิพาทนี้
“เอ๋ไม่อยากแต่งกับเขา”
“เพราะ?” หญิงสาวฮึดฮัด ก็เพราะเธอไม่มีเหตุผลน่ะสิเธอถึงไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกมา “ทำไมจ๊ะเอ๋ถึงไม่อยากแต่งงานกับคุณต้อมเขา”
จะให้เธอแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นขี้หน้าค่าตาน่ะนะ... โอ้ยยย ไม่มีทาง ยิ่งฟังจากที่ผู้เป็นแม่เคยเล่าให้ฟังว่า คุณตงคุณต้อมอะไรเนี่ยเป็นวิศวกรคอมพิเตอร์อะไรสักอย่างก็ไม่รู้ทำงานอยู่ต่างประเทศหลายปีเธอก็ขอลาขาดแล้ว จากประสบการณ์ที่เห็นเพื่อนสาวในกลุ่มมีแฟนเป็นหนุ่มอาชีพนี้ทุกคนส่ายหน้ากันหมด บอกว่าคุยภาษามนุษย์ด้วยไม่รู้เรื่อง เธอไม่เอาหรอกนะ
แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเธอถึงสามปีด้วย
“เอ๋ไม่ชอบผู้ชายอ่อนกว่า”
“แค่สามปี”
“ไม่ล่ะค่ะ...เดี๋ยวเขาหาว่าเอ๋เลี้ยงต้อยเพื่อนเอ๋ปากร้ายกันจะตาย” หญิงสาวบอกปัด ทำเมินเหมือนหัวข้อสนทนานั้นแสนหน้าเบื่อ แต่จริงๆ แล้วเธอพยายามอย่างยิ่งที่จะคิดหาวิธีหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณต้อมเขาเป็นคนดี ถึงจะอ่อนกว่าลูกไปสองสามปี แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ ทำงานการมั่นคง ฐานะก็ไม่ได้ลำบากอะไร แถมยังรู้จักกันดีกับพ่อ”
“รู้จักกับพ่อแต่เอ๋ไม่รู้ด้วยนี่คะ อีกอย่างเอ๋อคติกับผู้ชายอายุน้อยกว่า ต่อให้แค่วันเดียวเอ๋ก็ไม่เอา ที่สำคัญ...ผู้ชายที่ไม่มีปัญญาหาแม่ของลูกเองได้ต้องอาศัยบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตพ่อของผู้หญิงเพื่อแต่งงาน ไม่ว่ายังไงเอ๋ก็ไม่เอาด้วยหรอก” คุณอุบลถึงกับยกมือขึ้นทาบอกเมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจนั้นของหญิงสาว
ไม่ผิดเลยที่ว่าคุณต้อมเคยช่วยชีวิตของคุณประสิทธิ์ เหตุการณ์มันเกิดเมื่อห้าปีที่แล้วตอนที่คุณประสิทธิ์เดินทางไปอเมริกาเพื่อติดต่องานแต่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำระหว่างขับเดินทางไปอีกรัฐใกล้ๆ ตอนกลางดึก โชคดีที่ภูมิดนัยหรือคุณต้อมขับรถผ่านมาและได้ช่วยเหลือแถมยังให้เลือดกับเขาเมื่อถึงโรงพยาบาลอีก
คุณประสิทธิ์ถือว่าคือบุญคุณยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะยกลูกสาวให้เป็นการตอบแทน หลังจากที่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันก็ถูกชะตา รู้จักกันมานานปี นิสัยใจคอของภูมิดนัยก็เป็นที่ถูกอกถูกใจเขาและภรรยา
แต่ถึงขั้นอยากให้แต่งงานกับลูกสาวคนโตนั้น เขาต้องยอมรับว่ามีเหตุผลจริงๆ ที่สำคัญกว่าเรื่องหนี้บุญคุณ
“เอ๋...ถ้าไม่มีเขา วันนี้ก็ไม่มีพ่อมานั่งฟังเอ๋พูดจาร้ายกาจอย่างนี้หรอกนะ ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอ เตรียมตัวแต่งงานได้เลย อีกหกเดือนคุณต้อมจะย้ายมาทำงานที่เมืองไทย ถึงตอนนั้นไม่ว่ายังไงเอ๋ก็ต้องแต่ง”
“ไม่แต่ง... ยังไงเอ๋ก็ไม่แต่ง!” หญิงสาวโววาย ลุกพรวดขึ้นทำท่าจะเดินหนีออกไปจริงๆ เธอไม่ใช่คนที่จะมานั่งทนอะไรกับเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่เพราะว่าอีกฝ่ายคือผู้บังเกิดเกล้าและเธอก็รักและเคารพ เธอจะกรี๊ดให้หูแตกหูดับกันไปเลย
“งั้นเพราะอะไรเอ๋ถึงไม่แต่ง เอ๋คิดว่าปีนี้เอ๋อายุเท่าไหร่กัน!”
“คุณพ่อ!” เรื่องอายุเป็นเรื่องที่อรกัญญาเกลียดที่สุด เพื่อนกลุ่มเดียวกันต่างอายุน้อยกว่าเธอถึงสองปี เพราะในเมื่อครั้งยังเด็กเธอร่างกายของเธออ่อนแอจนต้องหยุดเรียนไปสองปีเพื่อรักษาอาการป่วยทำให้เธอต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ในเมื่อภารดีเพื่อนในกลุ่มที่เพิ่งแต่งงานไปด้วยอายุยี่สิบแปด นั่นก็แปลว่าเมื่อสามวันก่อนเธอเพิ่งฉลองครบรอบวันเกิดปีที่สามสิบ!
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ สามสิบแล้วเอ๋ กว่าจะมีหลานให้พ่อกับแม่อีก มีลูกตอนแก่มากไม่ดีหรอกนะลูก”
“คุณพ๊อ!” ยิ่งพูดก็เหมือนราดน้ำมันลงกลางใจที่กำลังมีไฟลุกของอรกัญญา เธอสั่นเทิ่มไปทั้งร่าง
อีตาเด็กต้อมนี่มีดีอะไรไม่ทราบถึงทำให้เธอโดนบิดาบังเกิดเกล้าฮุกจนจุกด้วยคำว่าแก่!
“เอ๋ไม่แต่ง... เอ๋มีแฟนแล้ว แล้วเอ๋...ก็จะแต่งงานกับเขา เรารักกันค่ะพ่อ”
“ใคร? ทำไมพ่อแม่ไม่รู้ คุณรู้หรือเปล่าคุณอุบล” มารดาของเธอสายหน้า ยิ่งอัฐกรด้วยแล้วยิ่งส่ายหน้าจนคอแทบเคล็ด
“พ่อไม่รู้จักเขาหรอก”
“เอ๋เห็นพ่อแม่เป็นอะไร ทำไมไม่พาแฟนมาให้รู้จักมักจี๋ เฮอะ? ลูกเต้าเหล่าใคร ชื่อแซ่อะไร ทำงานอะไร? เป็นคนดีไหม?” หญิงสาวเม้มปาก เชิดหน้าอย่างที่ชอบทำเวลาที่ไม่พอใจ
“เรารักกันก็พอค่ะ แล้วเอ๋จะพามากราบคุณพ่อคุณแม่ เราคุยกันแค่นี้เถอะค่ะ เอ๋ทำงานมาเหนื่อยอยากพัก” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ปล่อยให้ บิดามารดาและน้องชายนั่งมองตามหลัง
.....................................................
“วี่! ฉันจะทำยังไงดี!” อรกัญญาทรุดตัวลงนั่งกับเตียงนุ่ม เธอเสยผมยาวประบ่าของตัวเองลวกๆ หมดอารมณ์จะปล่อยให้มันเป็นทรงสวย ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับพ่อแม่ด้วยแล้วสติของเธอเห็นจะแตกกระจุย
“ทำยังไงล่ะ ฉันจะทำอะไรได้เล่า” เสียงเพื่อนสาวดังมาตามสายทำเอาหญิงสาวกรอกสายตาค้อนลมค้อนเพดาน เธอเม้มปากแน่นกัดมันจนเกือบได้แผล “ลองหาแฟนสักคนไหม?”
“แก๊!!! แฟนนะยะไม่ใช่เครื่องซักผ้าที่จะหาได้ตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อราคากันเสร็จก็ซื้อกลับบ้านน่ะ ฉันจะไปหาผู้ชายมาจากไหน!” อรกัญญาแผดเสียงแว๊ดๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าเพื่อนสาวปลายสายจะหูหนวกหรือเปล่า ณ เวลานี้เธอคิดแค่เพียงว่าต้องหาผู้ชายมาสักคนมาแอ๊บเป็นแฟนหนุ่ม
ยังไงเธอก็ไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ที่รู้จักแค่ชื่อ หน้าตาก็ไม่เคยเห็น แถมยังเด็กกว่าเธอตั้งสามปี...
“ฉันอยากได้ผู้ชายราวๆ สามสิบสองสามสิบสาม หน้าที่การงานมั่นคง หน้าตาท่าทางใช้ได้ไม่ต้องหล่อมากก็ได้ มันหายาก การศึกษาดี ทุกอย่างดีหมดน่ะมีไหม?”
“แต่งงานมีลูกมีเมียหมดแล้วยัยเอ๋ สเปกขนาดนี้”
“นี่คือระดับพอดีเอามาแก้ขัด” เธอแก้ อรกัญญาไม่คิดสักหน่อยว่าจะเอามาทำแฟนจริงๆ “ฉันรู้หรอกน่า ดีๆ แบบนี้ถ้าไม่มีเมียมีลูกก็เป็นเกย์หมด”
“รู้ก็ดีย่ะ จะได้เลิกคิดฟุ้งซ่าน ฉันว่าแกน่ะไปบอกพ่อกับแม่อีกที คุยกับเขาดีกว่าแกไม่เห็นด้วย อย่างน้อยๆ ถ้าท่านไม่สงสารแกจะจับแต่งให้ได้ ก็ประวิงเวลาว่าขอทำความรู้จักกันก่อน ระหว่างนั้นก็หาเรื่องเฉดหัวไปทีหลังดีกว่าไหม? ฉันว่าแบบนี้โอกว่านะ”
“มันเสียเวลา”
“งั้นก็เสียใจฉันช่วยอะไรไม่ได้ อ่อ...ฉันต้องวางแล้ว ไม่ว่าง ตอนนี้ตามข่าวผู้ชายเกาหลีอยู่เสียเวลาไล่ทวิตจริงๆ” ไม่รั้งรอให้เธอเอ่ยอะไรอีก เพื่อนสนิทที่ยังโสดคนสุดท้ายในกลุ่มก็ชิงตัดสาย เธอไม่ได้โทรไปเซ้าซี้อีกเพราะรู้ดีว่า กวีณาคงปิดเครื่อง ดึงสายโทรศัพท์ในห้องออก และใช้หมายเลขลับอีกหมายเลขในการติดต่อผู้คนในสังคมออนโลน์ แน่นอนว่าเพื่อนซี้ของเธอไม่ยอมบอกหมายเลขนั้น เดายากที่ไหน เพื่อความสงบสุขของตัวเองน่ะสิ
อรกัญญาคิดแล้วคิดอีก วนไปวนมาสรุปก็มาจบตรงที่ทั้งหมดเป็นความผิดของภูมิดนัยที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ขนาดไม่เคยเห็นหน้ากันยังทำเธอเดือดร้อนขนาดนี้...
อย่าให้เจอ...แม่จะ...สับให้แหลก
เสียงเคาะประตูเบาๆ ด้านนอกทำเธอพ่นลมหายใจฟึดฟัด ตวัดเสียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวถามออกไป พอได้คำตอบว่าเป็นน้องชายเธอก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ ก่อนจะหมุนตัวเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ถ้าไม่มีความคิดอะไรดีๆ ก็ออกไปจากห้องเลยนะ พี่ไม่อยากปวดสมองมากกว่าที่เป็นอยู่” เธออัดคำพูดประโยคแรกใส่น้องชายแบบไม่ไว้หน้า
นี่แหละ อรกัญญา เธอไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ยิ่งถ้าหงอต่อหน้าเธอเมื่อไหร่ เธอจะซัดคุณให้อ่วมทันที
“ปากร้ายอย่างนี้สิถึงไม่มีแฟนสักที อ๊ะๆ อย่าทำร้ายผมนะ นี่ผมมาช่วยนะ” อัฎกรร้องเมื่อเห็นพี่สาวทำท่าจะใช้น้ำหอมราคาค่อนแสนปาใส่ตัวเอง เขาไม่ได้สนใจราคาหูฉี่นั่นหรอก แต่ไม่อยากตัวฉุนกึก
“จะพูดอะไรก็พูดมาเลย” จากประสบการณ์การเกิดเป็นน้องชายของอรกัญญามายี่สิบเจ็ดปี เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรกวนใจเวลาที่พี่สาวพูดแบบนี้ เพราะไม่งั้นจะได้โดนอะไรสักอย่างแพ่นกะบาลแน่ๆ
“เรื่องแฟนที่พี่พูดกับพ่อแม่น่ะ ผมรู้นะว่าไม่มีหรอก”
“โอ๋!” น้องชายยกสองมือขึ้นข้างลำตัว
“ฟังก่อนสิพี่” อรกัญญาจ้องหน้าน้องชายด้วยสายตาหงุดหงิดเป็นที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นทำให้เธอเครียดจนเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีแล้ว “ผมช่วยพี่ได้นะ”
“ช่วยอะไร แค่โดนพ่อดุนายก็กลัวจนไม่คิดจะช่วยพี่พูดอะไรแล้ว” เธอไม่ได้จะดูถูกหรอกนะ แต่อัฎกรมีนิสัยไม่ชอบเรื่องวุ่นวายต่างๆ ร่วมไปถึงการทะเลาะเบาะแว้งทุกอย่าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะอยู่เงียบๆ เฉยๆ มากกว่า
“เรื่องแฟนไงพี่” หญิงสาวตวัดสายตามองน้องชาย ขยับกายให้นั่งสบายอีกนิด จิกสายตามองอย่างคาดเดา แต่อัฎกรก็วางตัวได้แนบเนียนอย่างไร้ที่ติ
“ทำไม”
“พี่คิดจะเอาใครมาแอบอ้างล่ะ อ๊ะ! อย่าพูดเชียวว่ามีแฟนจริงๆ พี่ก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าผมรู้เรื่องของพี่ดี” จนใจจะว่าอะไร หญิงสาวเลยได้แต่จิกสายตาหนักๆ เข้าใส่ น้องชายรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่สายตาของเธอไม่ใช่มีดไม่อย่างนั้นเขาคงพรุนไปแล้ว
“แล้วยังไง”
“ผมช่วยพี่ได้”
“นายบอกพี่มาสองสามครั้งแล้ว รีบพูดมาเร็วๆ” ข้อเสียของอรกัญญาก็คือ เธอไว้ใจคนใกล้ชิดของเธอจนไม่ระวังตัว แม้จะเก่งแสนเก่งแค่ไหน แต่เธอไม่เคยระแวงคนรอบข้างโดยเฉพาะกับ อัฎกร!
“ผมหาคนที่จะมาเป็นแฟนหลอกๆ ให้พี่ได้...แต่มีข้อแม้หลายข้อไม่น้อยเลย” ยิ่งน้องชายพูดเธอยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แม้จะเห็นหนทางแก้ไขปัญหาอยู่บ้างแต่เธอไม่ชอบมานั่งคอยลุ้น
“พูดมาให้จบๆ สักทีโอ๋ พี่ใจร้อน” น้องชายยิ้ม เดินไปทรุดนั่งที่เตียงของพี่สาว นั่งมองหน้ากันและกัน
“ผมว่าเพื่อนผมช่วยพี่เรื่องนี้ได้ เสียตรงที่หมอนี่อายุเท่าผม หน้าตาก็ดี การเรียนก็ดี” อรกัญญาพยักหน้า คิดตามที่น้องชายพูด
“หน้าตาเป็นยังไง พี่รู้จักหรือเปล่า? ที่สำคัญพ่อกับแม่รู้จักไหม?” อัฏกรยิ้มแป้น
“ไม่รู้จัก หมอนี่กำลังว่างงาน ถ้าพี่สนใจ...” คราวนี้หญิงสาวขมวดคิ้ว จ้องหน้าน้องชายอย่างสงสัย
“หมายความว่า?”
“ไอ้หมอนี่น่ะอะไรมันก็ดีอยู่หรอกครับ เสียตรงที่ว่าไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่คนเลวร้าย ตอนนี้มันไม่มีที่พัก งานก็ไม่มีทำ ถ้าเกิดว่าพี่จะใจป้ำสักหน่อย ผมมั่นใจนะครับว่ามันหลุดสเปกพี่ข้อเดียวคือเรื่องอายุ”
อรกัญญาพ่นลมหายใจออกมา กรอกสายตาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของน้องชายอีกครั้ง และยิ้มออกมา แต่...ไม่ใช่รอยยิ้มที่ควรจดจำเท่าไหร่
“ประโยคสุดท้ายของนายทำให้พี่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ของนายหลุดเสปกของพี่ทุกอย่าง...เจ้าโอ๋!”
............................................................................
เพิ่งลองเขียนแนวนี้ค่ะ... ฝากติดชมด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ^^
[!!!] รักต้มตุ๋น
ตอนที่1
“หนูแต่งงานไม่ได้หรอกค่ะ!” จบเสียงนั้นสิ่งที่ได้ตอบรับกลับมาคือเสียงตบโต๊ะดังตึง ทำเอาอีกสามชีวิตที่นั่งสถิตอยู่ในห้องนั่งเล่นของบ้านสะดุ้งเฮือกไม่เว้นแม้แต่เจ้าของเสียงแว้ดๆ ก่อนหน้านี้
หลังจากที่ลงทุนตบโต๊ะกระจกหรูหราตรงหน้าแล้ว คุณประสิทธิ์ก่อนหดมือเข้าไปกอดอก จดจ้องสายตาไปยังใบหน้าของลูกสาวคนโตของบ้านที่กำลังคอแข็งเม้มปากสะกดกลั้นอารมณ์ปุดๆ ของตัวเอง
อยากจะโวยวายอีกสักยก แต่ติดที่ว่าพ่อผู้ซึ่งใจดีกับเธอนักหนา ไม่เคยแม้แต่จะเสียงดังใส่คราวนี้ถึงกับตบโต๊ะขู่เลยทำให้เธอชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่าจะทำตัวเกเรใส่ได้ไหม น้องชายของตนก็สะกิดยิกๆ เหมือนจะคอยห้ามไม่ให้เธออาละวาดแต่มันกลับทำให้เธอยิ่งรำคาญหนักกว่าเดิมเลยหันไปจิกตาเข้าใส่
“บอกมาสิว่าทำไมถึงแต่งไม่ได้” เสียงของพ่อประสิทธิ์เรียบนิ่ง แต่กิริยาตบโต๊ะขู่เมื่อสักครู่ก่อนหน้าไม่สามารถทำให้หญิงสาววางใจ ไหนเสียงจะกดหนักเรียกชื่อเป็นเชิงบังคับให้เธอปริปากอีก “จ๊ะเอ๋...อธิบายกับพ่อ”
หญิงสาวเม้มปาก ขยับกายอย่างอึดอัด พยายามนึกหาเหตุผลดีๆ สักสองสามข้อ แต่ก็ดูเหมือนจะนึกไม่ออก
อรกัญญา อึดอัดใจ เหลือบมองใบหน้าของพ่อ เสมองไปสบตากับมารดาที่ทุกทีคอยช่วยเหลือเธอแต่คราวนี้กลับหลบตาเธอเสียอย่างนั้น ส่วนน้องชายของเธอไม่ต้องคิดจะให้ช่วยแค่บิดาตวัดสายตาใส่อัฐกรก็พร้อมจะเด้งตัวออกจากข้อพิพาทนี้
“เอ๋ไม่อยากแต่งกับเขา”
“เพราะ?” หญิงสาวฮึดฮัด ก็เพราะเธอไม่มีเหตุผลน่ะสิเธอถึงไม่อยากจะเอ่ยอะไรออกมา “ทำไมจ๊ะเอ๋ถึงไม่อยากแต่งงานกับคุณต้อมเขา”
จะให้เธอแต่งงานกับผู้ชายที่ไม่เคยเห็นขี้หน้าค่าตาน่ะนะ... โอ้ยยย ไม่มีทาง ยิ่งฟังจากที่ผู้เป็นแม่เคยเล่าให้ฟังว่า คุณตงคุณต้อมอะไรเนี่ยเป็นวิศวกรคอมพิเตอร์อะไรสักอย่างก็ไม่รู้ทำงานอยู่ต่างประเทศหลายปีเธอก็ขอลาขาดแล้ว จากประสบการณ์ที่เห็นเพื่อนสาวในกลุ่มมีแฟนเป็นหนุ่มอาชีพนี้ทุกคนส่ายหน้ากันหมด บอกว่าคุยภาษามนุษย์ด้วยไม่รู้เรื่อง เธอไม่เอาหรอกนะ
แถมอีกฝ่ายก็เป็นผู้ชายที่อายุน้อยกว่าเธอถึงสามปีด้วย
“เอ๋ไม่ชอบผู้ชายอ่อนกว่า”
“แค่สามปี”
“ไม่ล่ะค่ะ...เดี๋ยวเขาหาว่าเอ๋เลี้ยงต้อยเพื่อนเอ๋ปากร้ายกันจะตาย” หญิงสาวบอกปัด ทำเมินเหมือนหัวข้อสนทนานั้นแสนหน้าเบื่อ แต่จริงๆ แล้วเธอพยายามอย่างยิ่งที่จะคิดหาวิธีหนีออกไปจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
“คุณต้อมเขาเป็นคนดี ถึงจะอ่อนกว่าลูกไปสองสามปี แต่เขาก็เป็นผู้ใหญ่ ทำงานการมั่นคง ฐานะก็ไม่ได้ลำบากอะไร แถมยังรู้จักกันดีกับพ่อ”
“รู้จักกับพ่อแต่เอ๋ไม่รู้ด้วยนี่คะ อีกอย่างเอ๋อคติกับผู้ชายอายุน้อยกว่า ต่อให้แค่วันเดียวเอ๋ก็ไม่เอา ที่สำคัญ...ผู้ชายที่ไม่มีปัญญาหาแม่ของลูกเองได้ต้องอาศัยบุญคุณที่เคยช่วยชีวิตพ่อของผู้หญิงเพื่อแต่งงาน ไม่ว่ายังไงเอ๋ก็ไม่เอาด้วยหรอก” คุณอุบลถึงกับยกมือขึ้นทาบอกเมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจนั้นของหญิงสาว
ไม่ผิดเลยที่ว่าคุณต้อมเคยช่วยชีวิตของคุณประสิทธิ์ เหตุการณ์มันเกิดเมื่อห้าปีที่แล้วตอนที่คุณประสิทธิ์เดินทางไปอเมริกาเพื่อติดต่องานแต่เกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำระหว่างขับเดินทางไปอีกรัฐใกล้ๆ ตอนกลางดึก โชคดีที่ภูมิดนัยหรือคุณต้อมขับรถผ่านมาและได้ช่วยเหลือแถมยังให้เลือดกับเขาเมื่อถึงโรงพยาบาลอีก
คุณประสิทธิ์ถือว่าคือบุญคุณยิ่งใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นจะยกลูกสาวให้เป็นการตอบแทน หลังจากที่ได้พูดคุยทำความรู้จักกันก็ถูกชะตา รู้จักกันมานานปี นิสัยใจคอของภูมิดนัยก็เป็นที่ถูกอกถูกใจเขาและภรรยา
แต่ถึงขั้นอยากให้แต่งงานกับลูกสาวคนโตนั้น เขาต้องยอมรับว่ามีเหตุผลจริงๆ ที่สำคัญกว่าเรื่องหนี้บุญคุณ
“เอ๋...ถ้าไม่มีเขา วันนี้ก็ไม่มีพ่อมานั่งฟังเอ๋พูดจาร้ายกาจอย่างนี้หรอกนะ ถ้าไม่มีเหตุผลเพียงพอ เตรียมตัวแต่งงานได้เลย อีกหกเดือนคุณต้อมจะย้ายมาทำงานที่เมืองไทย ถึงตอนนั้นไม่ว่ายังไงเอ๋ก็ต้องแต่ง”
“ไม่แต่ง... ยังไงเอ๋ก็ไม่แต่ง!” หญิงสาวโววาย ลุกพรวดขึ้นทำท่าจะเดินหนีออกไปจริงๆ เธอไม่ใช่คนที่จะมานั่งทนอะไรกับเรื่องแบบนี้ ถ้าไม่เพราะว่าอีกฝ่ายคือผู้บังเกิดเกล้าและเธอก็รักและเคารพ เธอจะกรี๊ดให้หูแตกหูดับกันไปเลย
“งั้นเพราะอะไรเอ๋ถึงไม่แต่ง เอ๋คิดว่าปีนี้เอ๋อายุเท่าไหร่กัน!”
“คุณพ่อ!” เรื่องอายุเป็นเรื่องที่อรกัญญาเกลียดที่สุด เพื่อนกลุ่มเดียวกันต่างอายุน้อยกว่าเธอถึงสองปี เพราะในเมื่อครั้งยังเด็กเธอร่างกายของเธออ่อนแอจนต้องหยุดเรียนไปสองปีเพื่อรักษาอาการป่วยทำให้เธอต้องเรียนช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
ในเมื่อภารดีเพื่อนในกลุ่มที่เพิ่งแต่งงานไปด้วยอายุยี่สิบแปด นั่นก็แปลว่าเมื่อสามวันก่อนเธอเพิ่งฉลองครบรอบวันเกิดปีที่สามสิบ!
“ไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ สามสิบแล้วเอ๋ กว่าจะมีหลานให้พ่อกับแม่อีก มีลูกตอนแก่มากไม่ดีหรอกนะลูก”
“คุณพ๊อ!” ยิ่งพูดก็เหมือนราดน้ำมันลงกลางใจที่กำลังมีไฟลุกของอรกัญญา เธอสั่นเทิ่มไปทั้งร่าง
อีตาเด็กต้อมนี่มีดีอะไรไม่ทราบถึงทำให้เธอโดนบิดาบังเกิดเกล้าฮุกจนจุกด้วยคำว่าแก่!
“เอ๋ไม่แต่ง... เอ๋มีแฟนแล้ว แล้วเอ๋...ก็จะแต่งงานกับเขา เรารักกันค่ะพ่อ”
“ใคร? ทำไมพ่อแม่ไม่รู้ คุณรู้หรือเปล่าคุณอุบล” มารดาของเธอสายหน้า ยิ่งอัฐกรด้วยแล้วยิ่งส่ายหน้าจนคอแทบเคล็ด
“พ่อไม่รู้จักเขาหรอก”
“เอ๋เห็นพ่อแม่เป็นอะไร ทำไมไม่พาแฟนมาให้รู้จักมักจี๋ เฮอะ? ลูกเต้าเหล่าใคร ชื่อแซ่อะไร ทำงานอะไร? เป็นคนดีไหม?” หญิงสาวเม้มปาก เชิดหน้าอย่างที่ชอบทำเวลาที่ไม่พอใจ
“เรารักกันก็พอค่ะ แล้วเอ๋จะพามากราบคุณพ่อคุณแม่ เราคุยกันแค่นี้เถอะค่ะ เอ๋ทำงานมาเหนื่อยอยากพัก” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกจากห้องนั่งเล่นไป ปล่อยให้ บิดามารดาและน้องชายนั่งมองตามหลัง
.....................................................
“วี่! ฉันจะทำยังไงดี!” อรกัญญาทรุดตัวลงนั่งกับเตียงนุ่ม เธอเสยผมยาวประบ่าของตัวเองลวกๆ หมดอารมณ์จะปล่อยให้มันเป็นทรงสวย ยิ่งเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งคุยกับพ่อแม่ด้วยแล้วสติของเธอเห็นจะแตกกระจุย
“ทำยังไงล่ะ ฉันจะทำอะไรได้เล่า” เสียงเพื่อนสาวดังมาตามสายทำเอาหญิงสาวกรอกสายตาค้อนลมค้อนเพดาน เธอเม้มปากแน่นกัดมันจนเกือบได้แผล “ลองหาแฟนสักคนไหม?”
“แก๊!!! แฟนนะยะไม่ใช่เครื่องซักผ้าที่จะหาได้ตามร้านเครื่องใช้ไฟฟ้า ต่อราคากันเสร็จก็ซื้อกลับบ้านน่ะ ฉันจะไปหาผู้ชายมาจากไหน!” อรกัญญาแผดเสียงแว๊ดๆ ไม่ได้สนใจเลยว่าเพื่อนสาวปลายสายจะหูหนวกหรือเปล่า ณ เวลานี้เธอคิดแค่เพียงว่าต้องหาผู้ชายมาสักคนมาแอ๊บเป็นแฟนหนุ่ม
ยังไงเธอก็ไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ที่รู้จักแค่ชื่อ หน้าตาก็ไม่เคยเห็น แถมยังเด็กกว่าเธอตั้งสามปี...
“ฉันอยากได้ผู้ชายราวๆ สามสิบสองสามสิบสาม หน้าที่การงานมั่นคง หน้าตาท่าทางใช้ได้ไม่ต้องหล่อมากก็ได้ มันหายาก การศึกษาดี ทุกอย่างดีหมดน่ะมีไหม?”
“แต่งงานมีลูกมีเมียหมดแล้วยัยเอ๋ สเปกขนาดนี้”
“นี่คือระดับพอดีเอามาแก้ขัด” เธอแก้ อรกัญญาไม่คิดสักหน่อยว่าจะเอามาทำแฟนจริงๆ “ฉันรู้หรอกน่า ดีๆ แบบนี้ถ้าไม่มีเมียมีลูกก็เป็นเกย์หมด”
“รู้ก็ดีย่ะ จะได้เลิกคิดฟุ้งซ่าน ฉันว่าแกน่ะไปบอกพ่อกับแม่อีกที คุยกับเขาดีกว่าแกไม่เห็นด้วย อย่างน้อยๆ ถ้าท่านไม่สงสารแกจะจับแต่งให้ได้ ก็ประวิงเวลาว่าขอทำความรู้จักกันก่อน ระหว่างนั้นก็หาเรื่องเฉดหัวไปทีหลังดีกว่าไหม? ฉันว่าแบบนี้โอกว่านะ”
“มันเสียเวลา”
“งั้นก็เสียใจฉันช่วยอะไรไม่ได้ อ่อ...ฉันต้องวางแล้ว ไม่ว่าง ตอนนี้ตามข่าวผู้ชายเกาหลีอยู่เสียเวลาไล่ทวิตจริงๆ” ไม่รั้งรอให้เธอเอ่ยอะไรอีก เพื่อนสนิทที่ยังโสดคนสุดท้ายในกลุ่มก็ชิงตัดสาย เธอไม่ได้โทรไปเซ้าซี้อีกเพราะรู้ดีว่า กวีณาคงปิดเครื่อง ดึงสายโทรศัพท์ในห้องออก และใช้หมายเลขลับอีกหมายเลขในการติดต่อผู้คนในสังคมออนโลน์ แน่นอนว่าเพื่อนซี้ของเธอไม่ยอมบอกหมายเลขนั้น เดายากที่ไหน เพื่อความสงบสุขของตัวเองน่ะสิ
อรกัญญาคิดแล้วคิดอีก วนไปวนมาสรุปก็มาจบตรงที่ทั้งหมดเป็นความผิดของภูมิดนัยที่เป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด ขนาดไม่เคยเห็นหน้ากันยังทำเธอเดือดร้อนขนาดนี้...
อย่าให้เจอ...แม่จะ...สับให้แหลก
เสียงเคาะประตูเบาๆ ด้านนอกทำเธอพ่นลมหายใจฟึดฟัด ตวัดเสียงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวถามออกไป พอได้คำตอบว่าเป็นน้องชายเธอก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูให้ ก่อนจะหมุนตัวเดินมานั่งที่เก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง
“ถ้าไม่มีความคิดอะไรดีๆ ก็ออกไปจากห้องเลยนะ พี่ไม่อยากปวดสมองมากกว่าที่เป็นอยู่” เธออัดคำพูดประโยคแรกใส่น้องชายแบบไม่ไว้หน้า
นี่แหละ อรกัญญา เธอไม่เห็นหัวใครทั้งนั้น ยิ่งถ้าหงอต่อหน้าเธอเมื่อไหร่ เธอจะซัดคุณให้อ่วมทันที
“ปากร้ายอย่างนี้สิถึงไม่มีแฟนสักที อ๊ะๆ อย่าทำร้ายผมนะ นี่ผมมาช่วยนะ” อัฎกรร้องเมื่อเห็นพี่สาวทำท่าจะใช้น้ำหอมราคาค่อนแสนปาใส่ตัวเอง เขาไม่ได้สนใจราคาหูฉี่นั่นหรอก แต่ไม่อยากตัวฉุนกึก
“จะพูดอะไรก็พูดมาเลย” จากประสบการณ์การเกิดเป็นน้องชายของอรกัญญามายี่สิบเจ็ดปี เขารู้ตัวดีว่าไม่ควรกวนใจเวลาที่พี่สาวพูดแบบนี้ เพราะไม่งั้นจะได้โดนอะไรสักอย่างแพ่นกะบาลแน่ๆ
“เรื่องแฟนที่พี่พูดกับพ่อแม่น่ะ ผมรู้นะว่าไม่มีหรอก”
“โอ๋!” น้องชายยกสองมือขึ้นข้างลำตัว
“ฟังก่อนสิพี่” อรกัญญาจ้องหน้าน้องชายด้วยสายตาหงุดหงิดเป็นที่สุด แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นทำให้เธอเครียดจนเหมือนจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีแล้ว “ผมช่วยพี่ได้นะ”
“ช่วยอะไร แค่โดนพ่อดุนายก็กลัวจนไม่คิดจะช่วยพี่พูดอะไรแล้ว” เธอไม่ได้จะดูถูกหรอกนะ แต่อัฎกรมีนิสัยไม่ชอบเรื่องวุ่นวายต่างๆ ร่วมไปถึงการทะเลาะเบาะแว้งทุกอย่าง ดังนั้นชายหนุ่มจึงเลือกที่จะอยู่เงียบๆ เฉยๆ มากกว่า
“เรื่องแฟนไงพี่” หญิงสาวตวัดสายตามองน้องชาย ขยับกายให้นั่งสบายอีกนิด จิกสายตามองอย่างคาดเดา แต่อัฎกรก็วางตัวได้แนบเนียนอย่างไร้ที่ติ
“ทำไม”
“พี่คิดจะเอาใครมาแอบอ้างล่ะ อ๊ะ! อย่าพูดเชียวว่ามีแฟนจริงๆ พี่ก็รู้ใช่ไหมล่ะว่าผมรู้เรื่องของพี่ดี” จนใจจะว่าอะไร หญิงสาวเลยได้แต่จิกสายตาหนักๆ เข้าใส่ น้องชายรู้สึกโชคดีจริงๆ ที่สายตาของเธอไม่ใช่มีดไม่อย่างนั้นเขาคงพรุนไปแล้ว
“แล้วยังไง”
“ผมช่วยพี่ได้”
“นายบอกพี่มาสองสามครั้งแล้ว รีบพูดมาเร็วๆ” ข้อเสียของอรกัญญาก็คือ เธอไว้ใจคนใกล้ชิดของเธอจนไม่ระวังตัว แม้จะเก่งแสนเก่งแค่ไหน แต่เธอไม่เคยระแวงคนรอบข้างโดยเฉพาะกับ อัฎกร!
“ผมหาคนที่จะมาเป็นแฟนหลอกๆ ให้พี่ได้...แต่มีข้อแม้หลายข้อไม่น้อยเลย” ยิ่งน้องชายพูดเธอยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แม้จะเห็นหนทางแก้ไขปัญหาอยู่บ้างแต่เธอไม่ชอบมานั่งคอยลุ้น
“พูดมาให้จบๆ สักทีโอ๋ พี่ใจร้อน” น้องชายยิ้ม เดินไปทรุดนั่งที่เตียงของพี่สาว นั่งมองหน้ากันและกัน
“ผมว่าเพื่อนผมช่วยพี่เรื่องนี้ได้ เสียตรงที่หมอนี่อายุเท่าผม หน้าตาก็ดี การเรียนก็ดี” อรกัญญาพยักหน้า คิดตามที่น้องชายพูด
“หน้าตาเป็นยังไง พี่รู้จักหรือเปล่า? ที่สำคัญพ่อกับแม่รู้จักไหม?” อัฏกรยิ้มแป้น
“ไม่รู้จัก หมอนี่กำลังว่างงาน ถ้าพี่สนใจ...” คราวนี้หญิงสาวขมวดคิ้ว จ้องหน้าน้องชายอย่างสงสัย
“หมายความว่า?”
“ไอ้หมอนี่น่ะอะไรมันก็ดีอยู่หรอกครับ เสียตรงที่ว่าไม่เป็นโล้เป็นพายเท่าไหร่ แต่ไม่ใช่คนเลวร้าย ตอนนี้มันไม่มีที่พัก งานก็ไม่มีทำ ถ้าเกิดว่าพี่จะใจป้ำสักหน่อย ผมมั่นใจนะครับว่ามันหลุดสเปกพี่ข้อเดียวคือเรื่องอายุ”
อรกัญญาพ่นลมหายใจออกมา กรอกสายตาอย่างเหนื่อยใจ ก่อนจะมาหยุดที่หน้าของน้องชายอีกครั้ง และยิ้มออกมา แต่...ไม่ใช่รอยยิ้มที่ควรจดจำเท่าไหร่
“ประโยคสุดท้ายของนายทำให้พี่รู้ว่าเพื่อนคนนี้ของนายหลุดเสปกของพี่ทุกอย่าง...เจ้าโอ๋!”
............................................................................
เพิ่งลองเขียนแนวนี้ค่ะ... ฝากติดชมด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ^^