ชีวิตที่เรียบง่าย/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

Credit : http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=54982
ขอบคุณ คุณ Thai VI Article    และ ดร.นิเวศน์ครับ
__________________________________________________

โลกในมุมมองของ Value Investor      26 มกราคม 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ชีวิตที่เรียบง่าย

เม่ากิจกรรม

   วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกคนหนึ่งติดต่อกันมานาน  นอกจากนั้นเขายังเป็นผู้บริหารของ เบิร์กไชร์ แฮทธาเวย์ ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนที่ติดอันดับต้น ๆ  ของอเมริกาและของโลก  ดูจากโปรไฟล์แบบนี้คนก็ต้องคิดว่าชีวิตของเขาในแต่ละวันคงจะยุ่งเหยิงมากจนหาเวลาที่เป็นส่วนตัวได้ยาก  แต่เปล่าเลย  ในแต่ละวันเขาเดินทางไปทำงานอย่างสบาย ๆ  ขับรถเองออกจากบ้านถึงที่ทำงานก็กินเวลาไม่กี่นาที  เวลาทำงานของเขาส่วนใหญ่ก็คือการนั่งอ่านหนังสือซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นเรื่องของบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ  เช่นหนังสือรายงานประจำปี  หรือไม่ก็อาจจะเป็นข้อเสนอขายหุ้นหรือกิจการให้เบิร์กไชร์  เวลาอีกส่วนหนึ่งก็คือการพูดคุยทางโทรศัพท์ที่น่าจะรวมถึงการสั่งซื้อหรือขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์  ซึ่งก็ไม่ได้บ่อยหรือใช้เวลามากนัก  ที่น่าทึ่งก็คือ  เขาไม่นั่งดูจอคอมพิวเตอร์เพื่อติดตามราคาหุ้นหรือทำงานกับคอมพิวเตอร์เลย  ว่าที่จริงเขาไม่มีคอมพิวเตอร์บนโต๊ะทำงาน  พูดกันว่าเขาไม่ใช้โทรศัพท์มือถือด้วย  แต่เรื่องนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจริงไหม  ครั้งหนึ่ง ลูกชายของ นางแคทเธอรีน เกรแฮม เจ้าของบริษัทวอชิงตันโพสต์ที่บัฟเฟตต์ร่วมถือหุ้นและสนิทสนมด้วยต้องการมาพบบัฟเฟตต์และขอนัดเวลา  บัฟเฟตต์ตอบว่า  “มาได้เลย  ผมไม่มีตารางเวลานัด”

   บัฟเฟตต์ไม่อยู่ในที่ทำงานจนดึกดื่น  เขากลับบ้านตามเวลาปกติ  ช่วงหัวค่ำเขาอาจจะนั่งดูทีวีพร้อมกับข้าวโพดคั่ว  บางวันก็เล่นบริดจ์ผ่านอินเตอร์เน็ตกับคู่ขา  ลูกของบัฟเฟตต์เคยเล่าว่า  ในช่วงวัยเด็กเขาไม่เคยเห็นพ่อทำงานบ้านอะไรเลย  วัน ๆ  เอาแต่อ่านหนังสือ  เวลาที่บัฟเฟตต์กินอาหารนอกบ้าน  เขาก็มักจะไปกินที่ร้านเดิม ๆ  และอาหารก็น่าจะ  “เดิม ๆ”  เขาบอกว่า  “ไม่รู้จะเสี่ยงไปทำไม  อาหารร้านนี้อร่อยอยู่แล้ว”  เวลาที่บัฟเฟตต์เดินทางโดยเครื่องบินนั้น  เขาไปของเขาเองโดยไม่มีคนติดตาม  ครั้งหนึ่งมีเรื่องเล่าว่ามีคนไปเจอบัฟเฟตต์ในสนามบิน  อาจจะในร้านแม็คโดนัลด์  เขาเข้าไปทักและพูดทำนองว่า  “คุณคือ วอเร็น บัฟเฟตต์ หรือเปล่า”  ซึ่งบัฟเฟตต์ตอบว่า “ใช่”  แต่เขากลับอุทานว่า  “เป็นไปไม่ได้”  เขาคงคิดว่าบัฟเฟตต์ที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้จะมาเดินลากกระเป๋าแบบนี้ได้อย่างไร   ข้อสรุปของผมก็คือ  ชีวิตของวอเร็น บัฟเฟตต์  นั้น  เป็นชีวิตที่เรียบง่ายที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะของเขาในสังคม  และนั่นนอกจากเป็นเพราะอาชีพนักลงทุนนั้น  ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีความซับซ้อนที่จะทำให้ประสบความสำเร็จแล้ว  ชีวิตที่เรียบง่ายยังเป็นสิ่งที่เขาเลือก  ครั้งหนึ่ง  เขาได้รับเชิญให้ไปร่วมรับประทานอาหารกับประธานาธิบดีของสหรัฐซึ่งในทางสังคมแล้วถือว่าเป็นเรื่องที่มีเกียรติอย่างสูงและทุกคนต่างแสวงหา  แต่บัฟเฟตต์ปฏิเสธ  เขาคงคิดว่า  “ไม่รู้ไปทำไม”

   ผมเองเคยผ่านชีวิตของการเป็นผู้บริหารของธุรกิจมานาน  แม้ว่าจะไม่เคยเป็นผู้บริหารสูงสุดแต่ก็เป็นผู้บริหารระดับสูงในบริษัทที่ค่อนข้างใหญ่และเกี่ยวข้องกับสังคมในตลาดหลักทรัพย์  หลังจากลาออกมาเป็นนักลงทุนเต็มตัวประมาณสิบปีมาแล้วผมก็พบความแตกต่างระหว่างการเป็นพนักงานหรือผู้บริหารธุรกิจกับการเป็นนักลงทุนในด้านของการใช้ชีวิตและสังคมอย่างชัดเจน

   ข้อแรกก็คือ  ชีวิตของการเป็นผู้บริหารโดยเฉพาะในงานที่ต้องเกี่ยวข้องกับสังคมหรือราชการนั้น  เป็นชีวิตที่มีความเครียดสูงมาก  ประเด็นก็คือ   การที่เราต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกน้องและจ้าวนายจำนวนมากนั้น  ทำให้ชีวิตเรา “ซับซ้อน” มาก  แต่ละวันเราจะมีเรื่องที่ต้องคิดและตัดสินใจแตกต่างกันออกไป  เรื่องส่วนใหญ่ก็ไม่สำคัญอะไรนักต่อความสำเร็จขององค์กร  แต่การตัดสินใจอะไรที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ถูกใจคนอื่นก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งต่อหน้าและลับหลังทำให้เราเครียด  เรื่องที่สำคัญมากจริง ๆ  บางครั้งหรือบ่อยครั้งเราก็ไม่สามารถทำตามที่เราคิดได้เพราะเป็นเรื่องที่ต้องอาศัย  “เสียงส่วนใหญ่”  ที่คิดไปอีกทางหนึ่งหรือมี  “แรงจูงใจ”  บางอย่างที่ทำให้ตัดสินใจไปอย่างนั้น  ประเด็นสำคัญก็คือ  แม้ว่าเราจะคิดและตัดสินใจในทางตรงกันข้ามแต่เราก็ต้อง “รับผิดชอบ” กับการตัดสินใจของเสียงส่วนใหญ่นั้น  และนี่ก็ทำให้เกิดความเครียด  เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดในอนาคต  เราอาจจะต้องรับผิดไปด้วย

   ในเมืองไทยเรานั้น   ประเด็นที่ทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้นอีกก็คือ  กฎเกณฑ์และระบบกฎหมายและความยุติธรรมของเรานั้นยังไม่ได้พัฒนาเท่าที่ควร  ดังนั้น  ถ้าเราอยู่ในธุรกิจหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับสังคมหรือรัฐมาก  เช่น  บริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจหรือธุรกิจการเงินอย่างที่ผมเคยทำ  “ความเสี่ยง” ของผู้บริหารก็จะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ  ประเด็นก็คือ  ในระบบของบ้านเรานั้น  การ “กล่าวโทษ” ทำได้ง่าย  และความผิดนั้น  อาจจะไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องของการทุจริตหรือความผิดพลาดของการตัดสินใจแต่เป็นเรื่องของการทำผิด “กฎระเบียบ”  ที่สุดจะ  “ซับซ้อน”  ซึ่งนั่นก็เพียงพอที่จะทำให้คุณต้องตกเข้าไปสู่ “วังวน”  ของปัญหาที่จะทำให้ชีวิตของเราเครียดไปอีกนานถ้าถูกกล่าวโทษ

   ข้อที่สองก็คือ  การเป็นพนักงานหรือผู้บริหารขององค์กรที่ใหญ่โตนั้นทำให้เรามีสถานะทางสังคมสูงกว่าคนที่เป็นนักลงทุนในสายตาของคนทั่วไป  นี่ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะชัดเจนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมไทยที่ยังยึดถือในเรื่องของขนบธรรมเนียมประเพณีเก่าค่อนข้างมากแม้ว่าจะค่อย ๆ  ลดลงในช่วงหลังนี้   การมี  “หัวโขน”  นั้น  แม้ว่าจะทำให้คนที่  “สวม”  อยู่รู้สึกดี  แต่มันก็ทำให้ชีวิตของเราซับซ้อนขึ้น  เราถูกทำให้ต้องคิดคำนึงถึงการ  “วางตัว”  ให้เหมาะสมกับ  “ชั้น”  หรือสถานะที่เราอยู่อย่างเคร่งครัด  เราจะทำตัว “มอซอ” หรือไม่ไปเคารพนบนอบ “ผู้ใหญ่”  ในโอกาสพิเศษต่าง ๆ  ไม่ได้   แม้แต่ชีวิตส่วนตัวของเราเอง   เราก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรแบบสบาย ๆ  ที่ดูแล้วอาจจะทำให้เรา  “เสียลุค”  ทำให้คน  “ขาดความนับถือ”  ได้    นอกจากนั้น  การเป็น  “คนสำคัญ”  ยังหมายความว่าคุณจะต้องมีหรือทำกิจกรรม  “เพื่อสังคม”  หรือต้อง  “เข้าสังคม”  กับคนกลุ่มต่าง ๆ  โดยเฉพาะที่อยู่ในระดับเดียวกันเป็นประจำซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ชีวิตค่อนข้างที่จะเครียดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีพื้นฐานนิสัยที่ค่อนข้างเป็นแบบ  “เสรีชน”

   ชีวิตของคนที่ทำงานหรือเป็นผู้บริหารในองค์กรขนาดใหญ่นั้นดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงการมีชีวิตที่ซับซ้อนไปได้ยากและหลายคนก็อาจจะชอบมัน  ว่าที่จริงการมีชีวิตที่เรียบง่ายนั้นอาจจะไม่เหมาะกับคนที่ทำงานในองค์กรด้วยซ้ำ  แต่ชีวิตของนักลงทุนนั้น  ผมคิดว่าเราต้องการความเรียบง่ายมากกว่า  เหตุผลก็คือ  ความเรียบง่ายนั้น  มักทำให้เราได้สัมผัสกับคนส่วนใหญ่ที่เป็นคนทั่วไปที่เป็นลูกค้าของบริษัทจดทะเบียนทั้งหลายได้มากกว่าความซับซ้อน  ว่าที่จริง  ปีเตอร์ ลินช์ เองเคยพูดไว้ว่า  “ถ้าคุณเป็นคนขับรถสิบล้อ  คุณจะได้เปรียบในการลงทุน”   ส่วนตัวผมเองนั้น  สมัยที่ยังเป็นผู้บริหารบริษัทนั้น  ผมเองก็ยังไม่ค่อยรู้สึกถึงความจำเป็นของการมีร้านสะดวกซื้อมากมายนัก  เหตุผลก็เพราะผมมีคนคอยจัดการเรื่องกาแฟและใบเสร็จค่าน้ำไฟรวมถึงเรื่องจิปาถะต่าง ๆ  แต่หลังจากออกมาเป็นนักลงทุนที่ต้องทำทุกอย่างเองเหมือนกับคนทั่วไป  ผมถึงได้ค้นพบว่านี่คือสิ่งที่คนเกือบทั้งประเทศต้องการแทบจะขาดไม่ได้

   ชีวิตที่เรียบง่ายนั้น  ไม่ได้ช่วยแต่ในเรื่องของการลงทุน  ส่วนตัวผมเองนั้น  สามารถลดความเครียดลงได้น่าจะ 80-90%  จากการที่เลิกทำงานที่มีความซับซ้อนและความเครียดสูงลง  การที่พูดเรื่องนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าผมคิดว่าเราควรลาออกจากงานมาลงทุนเต็มตัวเพื่อใช้ชีวิตที่เรียบง่าย  ผมเพียงแต่ต้องการบอกว่า  การทำชีวิตให้เรียบง่ายนั้น  เป็นสิ่งที่ดีและทำให้เรามีความสุขเพิ่มขึ้น  และการลงทุนก็เป็นช่องทางหนึ่งที่อาจจะทำให้เราสามารถเลือกใช้ชีวิตที่เรียบง่ายได้


แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่