ออกตัววว่านี่เป็นหนังโนเนมมากสำหรับเรา
ไม่เคยคิดดูมาก่อน
และเชื่อว่าหลายคนที่รู้จักก็เพราะ เป็นหนัง เจ.ลอว์เลนซ์ หรือไม่ก็ มันเป็นหนังของ เดวิด โอ รัซเซล
จนกระทั่งมันมาชิงออสการ์ 8 สาขาในปีนี้
รางวัลใหญ่สุด คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แบรดลีย์ คูเปอร์ กับการชิงรางวัลดารานำชาย
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับการชิงรางวัลดารานำหญิง
เดวิด โอ รัซเซล กับรางวัลผู้กำกับ/เขียนบทยอดเยี่ยม
โรเบิร์ต เดอ นิโร กับรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม
แจคกี้ วีฟเวอร์ กับสมทบหญิงยอดเยี่ยม
หนังฟอร์มธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง ทำได้ขนาดนี้ได้อย่างไร (แม้จะแค่เข้าชิงก็ตาม)
หลังจากดูจบแล้วเราถึงเข้าใจ และ ทึ่ง
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการแสดงที่พีคขั้นสุด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความลุ่มลึกของบทประพันธ์มากมายอะไรนัก
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีดราม่าหนักหน่วงชวนอึดอัด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากบีบน้ำตาอะไรเลย
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการตีความซับซ้อน สะท้อนสภาพสังคม หรือ ล้วงลึกจิตวิญาณ อันน่าค้นหา
กลับกันหนังเต็มไปด้วยความโกลาหล วุ่นวาย อเมริกันจ๋า
และ เป็นหนังโรแมนติคที่ฮอลลีวูดสไตล์มากอีกเรื่องหนึ่ง
แต่วิธีการดำเนินเรื่องนั้น แยบยล มาก
มันเป็นหนังที่ หากคุณไปเทียบกับ หนังที่เข้าชิงออสการ์ปีนี้คุณอาจจะรู้สึกว่า "เห้ย ไม่น่าเป็นไปได้นะ"
และอาจบอกว่า "หนังแบบนี้มาชิงออสการ์ได้ยังไง?"
พลอตมีอยู่ว่า ครูคนหนึ่งสติหลุดหลังพบว่าภรรยานอกใจ เขาไปบำบัดอยู่นาน
จนออกมาพบเจอกับหญิงสาวบุคลิกแตกต่างคนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างมีบาดแผลจิตใจกันทั้งคู่
พวกเขาเลยช่วยกันรักษาแผล ซึ่งกันและกัน
พลอตน้ำเน่า เนื้อเรื่องก็น้ำเน่า แต่เนื้อหากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ทุกตัวละครจะ
พูด พูด พูด พูด สิ่งที่ตัวเองคิด
ทำ ทำ ทำ ทำ สิ่งที่ตัวเองอยากทำ
เมื่อความโกลาหลเกิดขึ้น จะตามมาด้วยความโกลาหลยิ่งกว่า
ที่แม้คุณจะรำคาณ แต่คุณจะอยากรู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน
ตัวละครทั้ง 4 ตัว ทั้งแบรดลีย์,เจน ลอว์เลนซ์,โรเบิร์ต และ แจ็คกี้
อาจเป็นตัวละครที่ธรรมดาสุดๆ
แต่กลับกัน ความธรรมดาสุดๆนั้นเองที่ทำให้มันกลายเป็นความ เหมาะสมลงตัว
ตอนเราเห็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ในหนัง เราคิดว่า มีคนที่เหมาะสมกับบทแบบนี้มากกว่า
อย่าง คีนูรีฟก็โอเค ยวนแม็คเกรเกอร์ก็ได้
แต่พอดูไปเรื่อยๆถึงรู้ว่าไม่ได้ ต้องเป็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ เท่านั้น
ทุกอย่างใน Silver Lining Playbook หรือ คู่มือฟ้าหลังฝนอันสดใส มันช่างดูธรรมดา
แม้ตัวละครและพลอต จะแอ๊บนอร์มอลมากๆก็ตาม
กลับกัน มันเป็นการแอ๊บนอร์มอลที่ ธรรมชาติสุดๆ
สำหรับ เจ ลอว์เรนซ์ เราเฉยๆกับเธอมาตลอด แต่พอดูจบ
ทำให้เราคิดไปถึง เจสสิกา เชสเทน ขึ้นมาทันที
หาก เจสสิกา เชสเทน แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ... เธอแค่ปล่อยให้หนังพลิ้วผ่านเธอไป
และเธอก็เวียนว่ายกับมันด้วยความสุขสม แค่นั้นเอง
ใช่.. มันคือ ความสุขสม
10 นาทีแรกตอนดู เราคิดไว้ว่าจะนิยามหนังเรื่องนี้เป็น คอกเทล สักแก้ว
(และไม่น่าเชื่อที่มันบังเอิญไปลิงค์กับเรื่องราวในหนังด้วย)
หลังจากดูจบ ด้วยอาการสะอึก ก็ยังคงคิดเหมือนเดิม
Silver Lining Playbook เหมือน Vodka Lime Soda
ขื่นขม อย่างรวดร้าว แบบ Vodka
เริ่งร่า พร่าพราย แบบ Soda
เปรี้ยวซ่า แบบ Lime
เข้าฉายในไทยเดือนหน้า จะกลับมารีวิวอีกรอบ
เพราะฉบับภาษาอังกฤษยังมีประโยคที่ไม่เกทอยู่พอควร
(เพราะทุกคนพูดกันเร็วมาก เหมือนกินยา Limitless กันมา)
หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จ ในรางวัลใหญ่สักรางวัลนึง
คิดแบบนั้นจริงๆ
**ความเห็นหลังชม** Silver Lining Playbook
ไม่เคยคิดดูมาก่อน
และเชื่อว่าหลายคนที่รู้จักก็เพราะ เป็นหนัง เจ.ลอว์เลนซ์ หรือไม่ก็ มันเป็นหนังของ เดวิด โอ รัซเซล
จนกระทั่งมันมาชิงออสการ์ 8 สาขาในปีนี้
รางวัลใหญ่สุด คือ ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม
แบรดลีย์ คูเปอร์ กับการชิงรางวัลดารานำชาย
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ กับการชิงรางวัลดารานำหญิง
เดวิด โอ รัซเซล กับรางวัลผู้กำกับ/เขียนบทยอดเยี่ยม
โรเบิร์ต เดอ นิโร กับรางวัลสมทบชายยอดเยี่ยม
แจคกี้ วีฟเวอร์ กับสมทบหญิงยอดเยี่ยม
หนังฟอร์มธรรมดาๆเรื่องหนึ่ง ทำได้ขนาดนี้ได้อย่างไร (แม้จะแค่เข้าชิงก็ตาม)
หลังจากดูจบแล้วเราถึงเข้าใจ และ ทึ่ง
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการแสดงที่พีคขั้นสุด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีความลุ่มลึกของบทประพันธ์มากมายอะไรนัก
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีดราม่าหนักหน่วงชวนอึดอัด
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีฉากบีบน้ำตาอะไรเลย
หนังเรื่องนี้ไม่ได้มีการตีความซับซ้อน สะท้อนสภาพสังคม หรือ ล้วงลึกจิตวิญาณ อันน่าค้นหา
กลับกันหนังเต็มไปด้วยความโกลาหล วุ่นวาย อเมริกันจ๋า
และ เป็นหนังโรแมนติคที่ฮอลลีวูดสไตล์มากอีกเรื่องหนึ่ง
แต่วิธีการดำเนินเรื่องนั้น แยบยล มาก
มันเป็นหนังที่ หากคุณไปเทียบกับ หนังที่เข้าชิงออสการ์ปีนี้คุณอาจจะรู้สึกว่า "เห้ย ไม่น่าเป็นไปได้นะ"
และอาจบอกว่า "หนังแบบนี้มาชิงออสการ์ได้ยังไง?"
พลอตมีอยู่ว่า ครูคนหนึ่งสติหลุดหลังพบว่าภรรยานอกใจ เขาไปบำบัดอยู่นาน
จนออกมาพบเจอกับหญิงสาวบุคลิกแตกต่างคนหนึ่ง ทั้งคู่ต่างมีบาดแผลจิตใจกันทั้งคู่
พวกเขาเลยช่วยกันรักษาแผล ซึ่งกันและกัน
พลอตน้ำเน่า เนื้อเรื่องก็น้ำเน่า แต่เนื้อหากลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ทุกตัวละครจะ
พูด พูด พูด พูด สิ่งที่ตัวเองคิด
ทำ ทำ ทำ ทำ สิ่งที่ตัวเองอยากทำ
เมื่อความโกลาหลเกิดขึ้น จะตามมาด้วยความโกลาหลยิ่งกว่า
ที่แม้คุณจะรำคาณ แต่คุณจะอยากรู้ว่ามันจะไปสิ้นสุดตรงไหน
ตัวละครทั้ง 4 ตัว ทั้งแบรดลีย์,เจน ลอว์เลนซ์,โรเบิร์ต และ แจ็คกี้
อาจเป็นตัวละครที่ธรรมดาสุดๆ
แต่กลับกัน ความธรรมดาสุดๆนั้นเองที่ทำให้มันกลายเป็นความ เหมาะสมลงตัว
ตอนเราเห็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ในหนัง เราคิดว่า มีคนที่เหมาะสมกับบทแบบนี้มากกว่า
อย่าง คีนูรีฟก็โอเค ยวนแม็คเกรเกอร์ก็ได้
แต่พอดูไปเรื่อยๆถึงรู้ว่าไม่ได้ ต้องเป็น แบรดลี่ย์ คูเปอร์ เท่านั้น
ทุกอย่างใน Silver Lining Playbook หรือ คู่มือฟ้าหลังฝนอันสดใส มันช่างดูธรรมดา
แม้ตัวละครและพลอต จะแอ๊บนอร์มอลมากๆก็ตาม
กลับกัน มันเป็นการแอ๊บนอร์มอลที่ ธรรมชาติสุดๆ
สำหรับ เจ ลอว์เรนซ์ เราเฉยๆกับเธอมาตลอด แต่พอดูจบ
ทำให้เราคิดไปถึง เจสสิกา เชสเทน ขึ้นมาทันที
หาก เจสสิกา เชสเทน แบกหนังไว้ทั้งเรื่อง
เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ... เธอแค่ปล่อยให้หนังพลิ้วผ่านเธอไป
และเธอก็เวียนว่ายกับมันด้วยความสุขสม แค่นั้นเอง
ใช่.. มันคือ ความสุขสม
10 นาทีแรกตอนดู เราคิดไว้ว่าจะนิยามหนังเรื่องนี้เป็น คอกเทล สักแก้ว
(และไม่น่าเชื่อที่มันบังเอิญไปลิงค์กับเรื่องราวในหนังด้วย)
หลังจากดูจบ ด้วยอาการสะอึก ก็ยังคงคิดเหมือนเดิม
Silver Lining Playbook เหมือน Vodka Lime Soda
ขื่นขม อย่างรวดร้าว แบบ Vodka
เริ่งร่า พร่าพราย แบบ Soda
เปรี้ยวซ่า แบบ Lime
เข้าฉายในไทยเดือนหน้า จะกลับมารีวิวอีกรอบ
เพราะฉบับภาษาอังกฤษยังมีประโยคที่ไม่เกทอยู่พอควร
(เพราะทุกคนพูดกันเร็วมาก เหมือนกินยา Limitless กันมา)
หวังว่าหนังจะประสบความสำเร็จ ในรางวัลใหญ่สักรางวัลนึง
คิดแบบนั้นจริงๆ