ความเห็นหลังชม Zero Dark Thirty
***เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ***
Zero Dark Thirty เป็นหนังสงคราม และ หนังปฏิบัติการณ์ที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง
แต่เรากลับรู้สึกว่ามันสนุกแบบแมสๆมากเลย หรือเป็นเพราะมีการเล่าเรื่องที่ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป แบบที่เราดูตามแล้วไม่ต้องคิดอะไรต่อ แค่ติดตามเรื่องราวในหนังไปก็พอ ไม่มีการคิดย้อนกลับอะไรทั้งสิ้น
(มาร์ค โบลให้สัมภาษณ์เอง ว่าเขาไม่ชอบตัวละครที่มีปูมหลัง เขาเลยเลือกเล่าเรื่้อง "ปัจจุบัน" ของทุกคนแทน)
นั่นทำให้เรากลับชอบงานเนิบๆเบื่อๆแบบ The Hurt Locker ของเธอมากกว่า
และชอบ เฉิ่มๆเชยๆเบื่อๆยืดยาด แบบ Argo มากกว่า เพราะเรารู้สึกสมจริงกับเรื่องที่มัน น่าเบื่อบ้าง ลุ้นบ้าง สนุึกบ้าง เครียดบ้าง มากกว่า (Argo นีพอเข้าช่วงเบื่อก็ น่าเบื่อจริงๆ 555)
สิ่งที่ชอบใน Zero Dark Thirty
คือไอเดียของ บิเกโลว์ในการเลือกหยิบ No Easy Day ที่โดยเนื้อหาหนังสือมีตัวละครเจ๋งๆแบบ CIA สาวเตรียมรอให้บิเกโลว์และมาร์คไปตะครุบไว้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้ Zero Dark Thirty มันเจ๋งเป็นบ้า..
งานภาพ .. คือสิ่งที่มองหาเป็นอันดับ 2 สำหรับ ZDT
ตอนดู Contagion ของ โซเดอร์เบิร์ก เราประทับใจกับงานภาพถึงขั้นอยากก้มกราบ *เว่อร์*
โซเดอร์เบิร์กเลือกตั้งกล้องเหมือนละครทีวี คือ กล้องนิ่งอยู่กับที่ แล้วตัวละครจะเดินเข้ามาอยู่ในมุมที่ โคตรเพอร์เฟคเอง (ใน Magic Mike ก็เช่นกัน)
แต่สำหรับหนังสงครามของบิเกโลว์ เธอเองก็มีสเน่ห์ของเธอ ด้วยการถ่ายผ่าน Foreground (หลาย scene หลาย shot) ที่มีให้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่อง จุดที่เรามาตายจริงๆ สำหรับงานภาพของ บิเกโลว์ที่ทำให้เราคิดถึง โซเดอร์เบิร์กสุดๆ คือ ภาพ มายา หลังจอคอมพิวเตอร์
รู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่กับมายาขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย..
ช่วงที่อึดอัดของเรา แบบที่ใจเต้นตุบๆจริงๆ คือ ตอนที่ซีลนั่งอยู่บนฮ.ตอนไปปฏิบัติการ
เราไม่เคยอ่าน No Easy Day (แบบแปลไทยกำลังจะมาในเร็วๆนี้ สำนักพิมพ์ Earnest หยิบมาแปล)
แต่เราเคยอ่านเรื่องราวทำนองเดียวกันนั่นคือ Not A Good Day To Die ที่เล่าถึงปฏิบัติการณ์ อนาคอนดา
ในปี 2002 ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ที่ "ล้มเหลว" ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในการล่าบิน ลาเดน (เพราะทหารตายเยอะมาก)
ช่วงที่เครียดที่สุดคือ ภาวะจิตใจของทหารก่อนประตูเครื่องเปิด ..
สำหรับช่วงเจ๋งที่สุดของหนัง คงหนีไม่พ้น ช่วง zero dark thirty ตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ให้ความรู้สึกสมจริงมาก
แทบจะต้องนับวินาที ต่อ วินาทีกันเลยทีเดียว (ตรงนี้เราชอบมากกว่า ช่วงลุ้นขี้ปริบของ Argo เยอะเลย) เพราะช่วงนี้ดูจริงมากๆ
แต่สำหรับการเล่าเรื่องโดยรวม เรายังคงชอบการถ่ายทอด Bese On Real Event แบบ Argo ของ Ben Affeck มากกว่าค่ะ
แล้วแต่คนชอบเนอะ ..
ปล. นี่ไม่ใช่รีวิวนะจ๊ะ
ความเห็นหลังชม Zero Dark Thirty
***เปิดเผยเนื้อหาสำคัญ***
Zero Dark Thirty เป็นหนังสงคราม และ หนังปฏิบัติการณ์ที่สนุกมากเรื่องหนึ่ง
แต่เรากลับรู้สึกว่ามันสนุกแบบแมสๆมากเลย หรือเป็นเพราะมีการเล่าเรื่องที่ "สมบูรณ์แบบ" เกินไป แบบที่เราดูตามแล้วไม่ต้องคิดอะไรต่อ แค่ติดตามเรื่องราวในหนังไปก็พอ ไม่มีการคิดย้อนกลับอะไรทั้งสิ้น
(มาร์ค โบลให้สัมภาษณ์เอง ว่าเขาไม่ชอบตัวละครที่มีปูมหลัง เขาเลยเลือกเล่าเรื่้อง "ปัจจุบัน" ของทุกคนแทน)
นั่นทำให้เรากลับชอบงานเนิบๆเบื่อๆแบบ The Hurt Locker ของเธอมากกว่า
และชอบ เฉิ่มๆเชยๆเบื่อๆยืดยาด แบบ Argo มากกว่า เพราะเรารู้สึกสมจริงกับเรื่องที่มัน น่าเบื่อบ้าง ลุ้นบ้าง สนุึกบ้าง เครียดบ้าง มากกว่า (Argo นีพอเข้าช่วงเบื่อก็ น่าเบื่อจริงๆ 555)
สิ่งที่ชอบใน Zero Dark Thirty
คือไอเดียของ บิเกโลว์ในการเลือกหยิบ No Easy Day ที่โดยเนื้อหาหนังสือมีตัวละครเจ๋งๆแบบ CIA สาวเตรียมรอให้บิเกโลว์และมาร์คไปตะครุบไว้อยู่แล้ว ซึ่งมันทำให้ Zero Dark Thirty มันเจ๋งเป็นบ้า..
งานภาพ .. คือสิ่งที่มองหาเป็นอันดับ 2 สำหรับ ZDT
ตอนดู Contagion ของ โซเดอร์เบิร์ก เราประทับใจกับงานภาพถึงขั้นอยากก้มกราบ *เว่อร์*
โซเดอร์เบิร์กเลือกตั้งกล้องเหมือนละครทีวี คือ กล้องนิ่งอยู่กับที่ แล้วตัวละครจะเดินเข้ามาอยู่ในมุมที่ โคตรเพอร์เฟคเอง (ใน Magic Mike ก็เช่นกัน)
แต่สำหรับหนังสงครามของบิเกโลว์ เธอเองก็มีสเน่ห์ของเธอ ด้วยการถ่ายผ่าน Foreground (หลาย scene หลาย shot) ที่มีให้เห็นเกือบตลอดทั้งเรื่อง จุดที่เรามาตายจริงๆ สำหรับงานภาพของ บิเกโลว์ที่ทำให้เราคิดถึง โซเดอร์เบิร์กสุดๆ คือ ภาพ มายา หลังจอคอมพิวเตอร์
รู้สึกเหมือนตัวเองนั่งอยู่กับมายาขึ้นมาเดี๋ยวนั้นเลย..
ช่วงที่อึดอัดของเรา แบบที่ใจเต้นตุบๆจริงๆ คือ ตอนที่ซีลนั่งอยู่บนฮ.ตอนไปปฏิบัติการ
เราไม่เคยอ่าน No Easy Day (แบบแปลไทยกำลังจะมาในเร็วๆนี้ สำนักพิมพ์ Earnest หยิบมาแปล)
แต่เราเคยอ่านเรื่องราวทำนองเดียวกันนั่นคือ Not A Good Day To Die ที่เล่าถึงปฏิบัติการณ์ อนาคอนดา
ในปี 2002 ซึ่งเป็นปฏิบัติการณ์ที่ "ล้มเหลว" ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในการล่าบิน ลาเดน (เพราะทหารตายเยอะมาก)
ช่วงที่เครียดที่สุดคือ ภาวะจิตใจของทหารก่อนประตูเครื่องเปิด ..
สำหรับช่วงเจ๋งที่สุดของหนัง คงหนีไม่พ้น ช่วง zero dark thirty ตอนท้ายเรื่องนั่นแหละ ให้ความรู้สึกสมจริงมาก
แทบจะต้องนับวินาที ต่อ วินาทีกันเลยทีเดียว (ตรงนี้เราชอบมากกว่า ช่วงลุ้นขี้ปริบของ Argo เยอะเลย) เพราะช่วงนี้ดูจริงมากๆ
แต่สำหรับการเล่าเรื่องโดยรวม เรายังคงชอบการถ่ายทอด Bese On Real Event แบบ Argo ของ Ben Affeck มากกว่าค่ะ
แล้วแต่คนชอบเนอะ ..
ปล. นี่ไม่ใช่รีวิวนะจ๊ะ