ภายในห้องบรรทมสีขาวสว่างตา พระวิสูตรสีฟ้าราวหยิบยืมท้องนภา ถักทอพลิ้วไหวดั่งระลอกคลื่น ชายผ้าถูกปล่อยทิ้งยาวจนเกือบละพื้น
แสงแห่งราตรีสาดผ่านทวารกระจกบานใหญ่ ลอดเส้นใยละเอียดของม่านฟ้าสู่ภายในห้องกว้าง เปลวไฟจากพระชวาลาภายใน ทอนความสว่างไสวลงด้วยต้องเงาแห่งรัตติกาล ขับบรรยากาศรอบด้านให้นุ่มนวลอ่อนหวาน เหมาะสมกับห้วงนิทรากาล
พระแท่นขนาดใหญ่สีขาว มุมเสาทั้งสี่ด้านสลักเสลาลวดลายวิจิตรงดงาม เสาสูงทั้งสี่ผูกพระวิสูตรสีครีมคลุมรอบสี่ด้านสูงเกือบติดเพดาน ชายผ้าปักดิ้นเลื่อมทองวับวาว ทิ้งน้ำหนักละขอบพระแท่น
โต๊ะทรงพระสำอางสลักเสลางดงามไม่แพ้กัน ตั้งเยื้องพระบัญชรกว้างด้านข้าง เบื้องหน้าโต๊ะงามตั้งพระฉายบานใหญ่ ตระหง่านด้วยความสูงเกินกว่าพระวรกายเจ้าของห้องเสียอีก
ณ โต๊ะทรงพระสำอาง หญิงวัยกลางคนร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนโยน ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม ภาคภูมิกับสิ่งที่ตนกำลังกระทำยิ่ง มือเหี่ยวย่นแต่ละมุนละไมทั้งคู่ค่อยๆ สางพระเกศาสีดำสลวยให้เจ้าฟ้าหญิง ผู้กำลังประทับนิ่งเบื้องหน้า
พระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงสีดำสนิทราวรัตติกาล ยาวสลวยเลยกึ่งกลางพระปฤษฎางค์ ทว่าพระพักตร์นั้นขมวดมุ่นครุ่นคิด วงพักตร์พริ้มเพรายามแย้มสรวล ยามนี้กลับหม่นหมองลงถนัดตา ดั่งจมอยู่ในห้วงปัญหาอันมิอาจหาทางออก
ทว่าแม้จะทรงเบิกบานหรือหมองหม่น สิ่งหนึ่งซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คือพักตร์พริ้มนั้น ‘กลม’ จนรูปลักษณ์ไม่ต่างจากจันทราคืนเพ็ญ เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับพระวรกายที่ค่อนข้าง ‘พี’
สุรเสียงวิตกกังวล รับสั่งถามหญิงวัยกลางคน
“นี่นมจ๋า...นมว่าวันงานพิธี ฉันจะแต่งชุดอะไรดีล่ะ”
คุณพระนมยิ้มตอบอย่างรักใคร่
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลหรอกเพคะ วันนั้นพระองค์ต้องงามที่สุดแน่นอนเพคะ”
สีพระพักตร์เจ้าฟ้าหญิงกลับยิ่งฉายแววแง่งอน ไม่พอพระทัยคำตอบที่ได้รับ
“นั่นก็ต้องแล้วแต่ ‘เรวตี’ นั่นแหละ ว่าเธอจะแต่งชุดอะไร”
คุณพระนมส่ายหน้าอ่อนใจ ฝ่าบาทของนางทรงอิจฉาพระขนิษฐาได้ทุกเรื่องจริงๆ
“‘เจ้าฟ้าหญิงเรวตี’ จะทรงฉลองพระองค์ชุดไหนก็ไม่สำคัญหรอกเพคะ เพราะงานพระราชพิธีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อ ‘เจ้าฟ้าหญิงลักษิกา’ ของนมน่ะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มโอษฐ์ในทันที
“นั่นสินะ...ในงานพิธี สายตาทุกคู่ต้องจับจ้องอยู่ที่เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งพุทธินครา ไม่ใช่เจ้าฟ้าหญิงเรวตี!”
รับสั่งไปก็ทรงดำริถึงเรื่องที่ครุ่นคิดค้างไว้
“แต่ว่าที่ฉันถามน่ะ ไม่ได้หมายถึงชุดที่จะแต่งในวันงานหรอกนะจ๊ะ นมว่าวันนั้นฉันแต่งชุดนอนแบบไหนดีจ๊ะ”
คุณพระนมแม้มีท่าทางประหลาดใจ หากยังเกรงพระทัยจึงได้แต่นิ่งฟัง
“นมว่าฉันไว้ผมให้ยาวกว่านี้ดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมยิ่งแปลกใจมากขึ้น อดกล่าวแย้งไม่ได้
“พระเกศาของฝ่าบาทก็ยาวมากแล้วนะเพคะ ถ้าจะให้ยาวกว่านี้นมว่าจะไม่เหมาะนะเพคะ”
แวววิตกกังวลกลับฉายบนพระพักตร์กลมอีก
“แต่เวลาฉันปล่อยผมจากขอบระเบียง มันก็ยังไม่ถึงพื้นเลยนะจ๊ะ นมว่าขอบระเบียงห้องฉันสูงไปหรือเปล่าจ๊ะ”
คุณพระนมถึงกับขมวดคิ้วย่น
“แบบนี้ก็ดีแล้วนะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงทอดถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้ม
“แต่นมจ๋า...ฉันว่ามันสูงไปนะ เวลาเจ้าชายหรือท่านขุนพลปีนขึ้นมาหาฉัน เขาคงจะเหนื่อยแย่ หรือแม้แต่เวลาจะคุยกับฉัน เขาคงต้องเงยหน้าจนเมื่อยแน่”
สีหน้าคุณพระนมซีดเผือด ตระหนกตกใจแทบสิ้นสติ
“ตายแล้ว! ฝ่าบาทของนม ตรัสอะไรออกมาเพคะ ไม่งามนะเพคะ”
พระพักตร์กลมหันทอดพระเนตรคุณพระนม ดวงเนตรสีน้ำทะเลกลมโต เปี่ยมแววงงงวย
“ทำไมล่ะนม...ปกติเวลาเจ้าชาย หรือบรรดาขุนพลจะมาหาเจ้าหญิง เขาก็ต้องทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ...”
คุณพระนมเอามือตบหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ
“เจ้าชายที่ไหน! ขุนพลที่ไหน! ของฝ่าบาทล่ะเพคะจะทำแบบนี้!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตรสีหน้าคุณพระนมด้วยความสงสัย ไม่เข้าพระทัยว่ารับสั่งสิ่งใดผิดไปหรือ ทำไมคุณพระนมต้องแสดงท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น
“อ้าว...ก็ต้องเจ้าชายหรือขุนพลที่เป็นศัตรูกับแคว้นเราน่ะสิจ๊ะ ท่านผู้กล้าเหล่านั้นจะแอบเข้ามาร่วมในงานพิธีของเรา แต่ท่านเหล่านั้นไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าแท้จริงเป็นใคร พวกท่านจะหลงรักฉันตั้งแต่แรกเห็น แล้วตอนกลางคืนก็จะแอบเข้ามาคุยกับฉันที่หน้าต่างนี่ ฉันก็จะปล่อยผมยาวของฉันให้ท่านผู้กล้าปีนขึ้นมาข้างบน แต่นมจ๋าอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานพิธีผมฉันยังสั้นอยู่เลย...ทำยังไงดีล่ะจ๊ะ”
คุณพระนมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงทำอะไรหรอกเพคะ...”
ทว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท กลับมีท่าทีเหนื่อยหน่ายกว่า
“....แต่ถ้าเหล่าผู้กล้าไม่เกาะผมฉันไว้ก็เหนื่อยแย่สิ กว่าจะขึ้นมาถึงก็ไม่มีแรงทำอะไรแล้ว”
คุณพระนมตกใจจนโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
“ตายแล้ว! เหล่าเจ้าชายกับขุนพลจะทำอะไรฝ่าบาทเพคะ!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มสรวลเขินอาย
“พวกท่านก็ต้องพาฉันหนีไปยังแคว้นบ้านเกิดน่ะสิ จากนั้นเสด็จพ่อจะต้องส่งคนออกติดตาม แต่เหล่าผู้กล้าก็จะสามารถปกป้องฉันไว้ได้ จนในที่สุดเสด็จพ่อจะเข้าใจว่าเรารักกันด้วยใจจริง และยกโทษให้กับเราสองคน ความขัดแย้งระหว่างสองแคว้นจะยุติเพราะความรักของเรา ประชาชนทั้งสองแคว้นก็จะได้อยู่กันอย่างมีความสุข...นมว่าดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ดีน่ะดีเพคะ แต่ตอนนี้แคว้นของเราก็สงบสุขดีนะเพคะ ไม่มีสงครามมาตั้งหลายสิบปี ครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยนมยังเป็นเด็ก นมยังจำความไม่ค่อยได้เลยเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาตกพระทัยจนพักตร์ขาวยิ่งซีดเผือด
“แย่แล้ว! ไม่มีแคว้นไหนเป็นศัตรูกับเราเลยหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นจะหาเจ้าชายกับเหล่าขุนพลที่ไหนล่ะ...แล้วฉันจะทำยังไงดีจ๊ะนม ฉันให้เสด็จพ่อยกทัพไปแคว้นไหนสักแคว้นดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมแม้ไม่เห็นด้วยกับดำรินั้น แต่เมื่อเห็นดวงเนตรกลมโตปิ่มพระอัสสุชล ทำให้อดสงสารอย่างจับใจไม่ได้
“ฝ่าบาทของนมไม่ต้องทรงคิดมากนะเพคะ ในวันพระราชพิธีจะมีทั้งเจ้าชายทั้งเหล่าขุนพล รวมถึงจอมเวทย์จากทุกแคว้นมาให้ฝ่าบาททรงเลือกมากมายแน่เพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงนิ่งคิดครู่หนึ่ง รับสั่งเรื่อยๆ ราวรำพึงกับองค์เอง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เจ้าชายกับขุนพลในฝันของฉัน ต้องเป็นอย่างที่เล่าให้นมฟังนั่นแหละจ้ะ หรือบางทีเจ้าชายอาจปลอมตัวมา...ใช่เจ้าชายต้องปลอมตัวมาแน่! พระองค์จะปลอมตัวเป็นคนธรรมดา แล้วบอกว่าม้าสลัดพระองค์ตกลงมา พระองค์เลยหลงทางจนมาถึงอุทยานของฉัน...แล้วบังเอิญมาเจอฉัน” ยิ่งรับสั่งยิ่งเอียงอาย เก็บพระอาการขวยเขินไว้ไม่อยู่
คุณพระนมส่ายหน้าเหน็ดเหนื่อยใจ ตัดบทขึ้น
“นมว่าฝ่าบาทเสด็จเข้าที่บรรทมได้แล้วนะเพคะ”
กล่าวจบ ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงโต้แย้งใดๆ ได้ คุณพระนมพาพระองค์มาที่พระแท่น คลี่คลุมพระบรรทมอย่างนุ่มละมุน ก่อนปล่อยชายพระวิสูตรทั้งสี่ด้าน จัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพเรียบร้อย คุณพระนมจึงล่าถอยจากห้องบรรทม ปิดบานพระทวารด้านหน้าเบากริบกลับไปยังห้องพักของตน
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการอจนแน่พระทัยว่า คุณพระนมจากไปไกลแล้ว ค่อยสลัดคลุมพระบรรทม ทรงจุดพระชวาลา เสด็จจากพระแท่น เปิดบานพระบัญชรด้านข้าง ทอดพระเนตรลงไปยังพระราชอุทยานเบื้องล่าง ระบายพระปัสสาสะด้วยพระทัยกลัดกลุ้ม กระทั่งมิอาจข่มพระเนตรเข้าบรรทมได้
เบื้องล่างพระบัญชรเป็นเขตพระราชอุทยานชั้นใน ตกแต่งจัดสร้างเป็นแนวพุ่มไม้ประดับเตี้ยๆ สลับเรียงรายเป็นแถวแนวยาว ตลอดเรื่อยกระทั่งสุดเขตพระราชฐานฝ่ายใน หากมิใช่ในฤดูกาลเช่นนี้ ไม้ดอกทั้งหมดจะเบ่งบานสะพรั่ง สีสันสดใสสลับเลื่อมงดงามตระการ กลิ่นจำรุงระรื่นหอมชื่นนาสิก
ทว่าในยามนี้ บรรดาไม้ประดับทั้งหลายไม่หลงเหลือดอกใดแล้ว เนื่องเพราะย่างเข้าเหมันต์มากว่าครึ่งเดือน แต่กระนั้นไม้ดอกบางชนิดกลับยังส่งกลิ่นหอมรินๆ โชยกลิ่นอ่อนๆ อีกไม่กี่วันหิมะแรกของฤดูคงเริ่มโปรยปราย
บัดนั้น พุทธินคราจะกลายเป็นนครสีขาว ราวเงินยวงไปอีกหลายเดือน…
ทันใด บานพระทวารหน้าห้องบรรทมบังเกิดเสียงเคาะดังแผ่วเบา เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาขมวดพระขนงมุ่น ยามนี้เป็นใครกันที่กล้ามาเคาะห้องบรรทม
“ใครน่ะ...” ไม่มีเสียงตอบ แต่เสียงเคาะบานพระทวารยังดังขึ้นอีก เจ้าฟ้าหญิงรับสั่งถามขึ้นอีกครั้งด้วยความรำคาญ “ใคร...”
ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเลย เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาเริ่มกริ้ว เสด็จลิ่วผละจากพระบัญชร ไปเปิดบานพระทวาร แล้วก็ต้องหลากพระทัยเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรพักตร์ของผู้ที่มาเคาะห้องบรรทม
“อ้อ...เจ้าเองหรือ เรวตี...” กระแสรับสั่งบ่งบอกว่ากริ้วไม่น้อย
ผู้มาเคาะห้องบรรทมยามวิกาล กลับเป็นพระขนิษฐาของพระองค์เจ้าฟ้าหญิงเรวตี พระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ประพิมพ์ประพายคลับคล้าย ทว่าเจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงมีพระพักตร์เรียวมน แววพระเนตรอ่อนโยนสีน้ำทะเลใสกระจ่าง พระขนงและดวงพระเนตรล้วนคมงามล้ำยิ่งกว่าเจ้าฟ้าหญิงลักษิกา
พระเกศาสีดำสนิทเฉกเช่นกัน แต่เจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงเครื่องเพียงเหนือพระศอ ส่งให้พระศอระหงเด่นชัดสง่างาม ยิ่งเจ้าฟ้าหญิงลักษิกามีความสูงเพียงแค่พระศอของพระองค์ ยิ่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงเรวตีหมดจดงดงาม สูงสง่าเหนือกว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาททุกด้าน
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงฉลองพระองค์สีขาว ไม่ประดับดิ้นหรือลวดลายใดๆ ทำให้ผู้พบเห็นบังเกิดความรู้สึกว่า ทรงเป็นเจ้าฟ้าหญิงผู้ทั้งสูงศักดิ์ ทั้งบริสุทธิ์มิอาจแตะต้อง
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตร ฉลองพระองค์ยาวสีขาวของเจ้าฟ้าหญิงเรวตีอย่างขัดพระทัย
“อ้อ...นี่เจ้าคงแต่งชุดนี้ไปงานพิธีสินะ...ก็สวยดีนี่...คิดแต่งมาอวดล่ะสิ”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ ดวงพระเนตรสีน้ำทะเลหมองหม่นลงทันที ทอดพระเนตรฉลองพระองค์ แล้วค่อยรับสั่งพระสุรเสียงอ่อยๆ
“ไม่ใช่หรอกเพคะ ชุดนี้เป็นชุดลำลองของหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าจะบอกว่าแค่แต่งชุดลำลอง เจ้าก็สวยกว่าฉันแล้วสิ!”
“ไม่ใช่เพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉันยังไม่ได้ลองชุดที่จะใส่วันงานพระราชพิธีเลยเพคะ”
“ใช่สิ! เจ้าน่ะแต่งอะไรก็สวยอยู่แล้วนี่ จะต้องวุ่นวายลองชุดโน่นชุดนี้อย่างฉันทำไม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉัน...”
“ทำไม!...แต่เอาเถอะนั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปใส่ใจ...ว่าแต่เจ้ามีธุระอะไร”
“หม่อมฉันจะมาขอประทานอนุญาต...ไม่ไปร่วมในงานพระราชพิธีเพคะ”
“เจ้าคิดว่างานพิธีของเราไม่สำคัญ ไม่ต้องไปก็ได้ใช่ไหม!”
“ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่...หม่อมฉัน...”
“พอแล้ว!...เจ้าจะลองชุดของเจ้าหรือไม่ หรือจะแต่งชุดอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่เจ้าต้องไปงานพิธีของเรา!”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ พระอัชสุชลคลอพระเนตร
“เจ้าพี่เข้าใจผิด...หม่อมฉัน...”
เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทรับสั่งอย่างเบื่อหน่าย
“เราจะพักผ่อน...”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีประทับนิ่ง พยายามบังคับไม่ให้พระอัชสุชลไหลออกมา ค่อยๆ กราบทูลช้าๆ
“เพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาปิดบานพระทวารห้องบรรทมทันที ไม่สนพระทัยว่าอีกองค์จะจากไปหรือยัง เสด็จปึงปังไปมาภายในห้องบรรทมครู่ใหญ่ ที่สุดจึงหยุดประทับหน้าพระฉายบานใหญ่ ยิ่งทอดพระเนตรเงาองค์เองในพระฉายก็ยิ่งน้อยพระทัย ทั้งอิจฉา ทั้งหงุดหงิด แง่งอนมากยิ่งขึ้น
“ไม่ยุติธรรมเลย! ฉันไม่ได้สวย ไม่ได้น่ารักน้อยกว่าเรวตีเลย...พี่น้องกันแท้ๆ แต่ทำไมเรวตีทั้งสูงทั้งสง่างามสมกับเป็นเจ้าหญิง แต่ฉันทั้งเตี้ยทั้งอ้วน หน้าก็กลมแบนไม่มีสง่าราศีสักนิด!”
เสด็จปึงปังอีกครั้ง คราวนี้ไปหยุดประทับ ณ บานพระบัญชรด้านข้าง พระพักตร์กลมเหม่อมองออกไปเบื้องนอกพระราชอุทยาน พยายามระงับความพิโรธ เฝ้าดำริไปถึงเจ้าชายในฝันที่จะมาหาในเร็ววัน
ทันใด เบื้องล่างตรงพุ่มไม้ประดับ ใต้บานพระบัญชรพอดี เกิดอาการสั่นไหวอย่างประหลาด บัดนั้นแสงจันทราที่กระทบหลังแนวพุ่มไม้ กลับปรากฏเห็นเป็นภาพเงาคนๆ หนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใน!
บริเวณพระราชอุทยานในเขตพระราชฐานชั้นใน ย่อมไม่มีราชองครักษ์ประจำการ ยิ่งยามราตรีหากไม่มีรับสั่ง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในบริเวณนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเรียกหาผู้ใด ภยันตรายไหนเลยจะสามารถล่วงล้ำ ผ่านเขตพลังเวทของ ‘ท่านผู้นั้น’ ซึ่งคุ้มครองปกป้องราชสำนักแห่งพุทธินครามาหลายสิบปีแล้ว
“นั่นใคร! ออกมานะ!”
เหมันต์จันทร์ธารา บทที่ 5. แรกสู่พุทธินครา
แสงแห่งราตรีสาดผ่านทวารกระจกบานใหญ่ ลอดเส้นใยละเอียดของม่านฟ้าสู่ภายในห้องกว้าง เปลวไฟจากพระชวาลาภายใน ทอนความสว่างไสวลงด้วยต้องเงาแห่งรัตติกาล ขับบรรยากาศรอบด้านให้นุ่มนวลอ่อนหวาน เหมาะสมกับห้วงนิทรากาล
พระแท่นขนาดใหญ่สีขาว มุมเสาทั้งสี่ด้านสลักเสลาลวดลายวิจิตรงดงาม เสาสูงทั้งสี่ผูกพระวิสูตรสีครีมคลุมรอบสี่ด้านสูงเกือบติดเพดาน ชายผ้าปักดิ้นเลื่อมทองวับวาว ทิ้งน้ำหนักละขอบพระแท่น
โต๊ะทรงพระสำอางสลักเสลางดงามไม่แพ้กัน ตั้งเยื้องพระบัญชรกว้างด้านข้าง เบื้องหน้าโต๊ะงามตั้งพระฉายบานใหญ่ ตระหง่านด้วยความสูงเกินกว่าพระวรกายเจ้าของห้องเสียอีก
ณ โต๊ะทรงพระสำอาง หญิงวัยกลางคนร่างเล็ก ใบหน้าอ่อนโยน ริมฝีปากประดับรอยยิ้ม ภาคภูมิกับสิ่งที่ตนกำลังกระทำยิ่ง มือเหี่ยวย่นแต่ละมุนละไมทั้งคู่ค่อยๆ สางพระเกศาสีดำสลวยให้เจ้าฟ้าหญิง ผู้กำลังประทับนิ่งเบื้องหน้า
พระเกศาของเจ้าฟ้าหญิงสีดำสนิทราวรัตติกาล ยาวสลวยเลยกึ่งกลางพระปฤษฎางค์ ทว่าพระพักตร์นั้นขมวดมุ่นครุ่นคิด วงพักตร์พริ้มเพรายามแย้มสรวล ยามนี้กลับหม่นหมองลงถนัดตา ดั่งจมอยู่ในห้วงปัญหาอันมิอาจหาทางออก
ทว่าแม้จะทรงเบิกบานหรือหมองหม่น สิ่งหนึ่งซึ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ คือพักตร์พริ้มนั้น ‘กลม’ จนรูปลักษณ์ไม่ต่างจากจันทราคืนเพ็ญ เข้ากันได้เป็นอย่างดีกับพระวรกายที่ค่อนข้าง ‘พี’
สุรเสียงวิตกกังวล รับสั่งถามหญิงวัยกลางคน
“นี่นมจ๋า...นมว่าวันงานพิธี ฉันจะแต่งชุดอะไรดีล่ะ”
คุณพระนมยิ้มตอบอย่างรักใคร่
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงกังวลหรอกเพคะ วันนั้นพระองค์ต้องงามที่สุดแน่นอนเพคะ”
สีพระพักตร์เจ้าฟ้าหญิงกลับยิ่งฉายแววแง่งอน ไม่พอพระทัยคำตอบที่ได้รับ
“นั่นก็ต้องแล้วแต่ ‘เรวตี’ นั่นแหละ ว่าเธอจะแต่งชุดอะไร”
คุณพระนมส่ายหน้าอ่อนใจ ฝ่าบาทของนางทรงอิจฉาพระขนิษฐาได้ทุกเรื่องจริงๆ
“‘เจ้าฟ้าหญิงเรวตี’ จะทรงฉลองพระองค์ชุดไหนก็ไม่สำคัญหรอกเพคะ เพราะงานพระราชพิธีครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อ ‘เจ้าฟ้าหญิงลักษิกา’ ของนมน่ะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มโอษฐ์ในทันที
“นั่นสินะ...ในงานพิธี สายตาทุกคู่ต้องจับจ้องอยู่ที่เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทแห่งพุทธินครา ไม่ใช่เจ้าฟ้าหญิงเรวตี!”
รับสั่งไปก็ทรงดำริถึงเรื่องที่ครุ่นคิดค้างไว้
“แต่ว่าที่ฉันถามน่ะ ไม่ได้หมายถึงชุดที่จะแต่งในวันงานหรอกนะจ๊ะ นมว่าวันนั้นฉันแต่งชุดนอนแบบไหนดีจ๊ะ”
คุณพระนมแม้มีท่าทางประหลาดใจ หากยังเกรงพระทัยจึงได้แต่นิ่งฟัง
“นมว่าฉันไว้ผมให้ยาวกว่านี้ดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมยิ่งแปลกใจมากขึ้น อดกล่าวแย้งไม่ได้
“พระเกศาของฝ่าบาทก็ยาวมากแล้วนะเพคะ ถ้าจะให้ยาวกว่านี้นมว่าจะไม่เหมาะนะเพคะ”
แวววิตกกังวลกลับฉายบนพระพักตร์กลมอีก
“แต่เวลาฉันปล่อยผมจากขอบระเบียง มันก็ยังไม่ถึงพื้นเลยนะจ๊ะ นมว่าขอบระเบียงห้องฉันสูงไปหรือเปล่าจ๊ะ”
คุณพระนมถึงกับขมวดคิ้วย่น
“แบบนี้ก็ดีแล้วนะเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงทอดถอนพระทัยด้วยความกลัดกลุ้ม
“แต่นมจ๋า...ฉันว่ามันสูงไปนะ เวลาเจ้าชายหรือท่านขุนพลปีนขึ้นมาหาฉัน เขาคงจะเหนื่อยแย่ หรือแม้แต่เวลาจะคุยกับฉัน เขาคงต้องเงยหน้าจนเมื่อยแน่”
สีหน้าคุณพระนมซีดเผือด ตระหนกตกใจแทบสิ้นสติ
“ตายแล้ว! ฝ่าบาทของนม ตรัสอะไรออกมาเพคะ ไม่งามนะเพคะ”
พระพักตร์กลมหันทอดพระเนตรคุณพระนม ดวงเนตรสีน้ำทะเลกลมโต เปี่ยมแววงงงวย
“ทำไมล่ะนม...ปกติเวลาเจ้าชาย หรือบรรดาขุนพลจะมาหาเจ้าหญิง เขาก็ต้องทำแบบนี้ไม่ใช่หรือ...”
คุณพระนมเอามือตบหน้าอกตัวเองด้วยความตกใจ
“เจ้าชายที่ไหน! ขุนพลที่ไหน! ของฝ่าบาทล่ะเพคะจะทำแบบนี้!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตรสีหน้าคุณพระนมด้วยความสงสัย ไม่เข้าพระทัยว่ารับสั่งสิ่งใดผิดไปหรือ ทำไมคุณพระนมต้องแสดงท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น
“อ้าว...ก็ต้องเจ้าชายหรือขุนพลที่เป็นศัตรูกับแคว้นเราน่ะสิจ๊ะ ท่านผู้กล้าเหล่านั้นจะแอบเข้ามาร่วมในงานพิธีของเรา แต่ท่านเหล่านั้นไม่สามารถบอกให้ผู้อื่นรู้ได้ว่าแท้จริงเป็นใคร พวกท่านจะหลงรักฉันตั้งแต่แรกเห็น แล้วตอนกลางคืนก็จะแอบเข้ามาคุยกับฉันที่หน้าต่างนี่ ฉันก็จะปล่อยผมยาวของฉันให้ท่านผู้กล้าปีนขึ้นมาข้างบน แต่นมจ๋าอีกไม่กี่วันก็ถึงวันงานพิธีผมฉันยังสั้นอยู่เลย...ทำยังไงดีล่ะจ๊ะ”
คุณพระนมถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย
“ฝ่าบาทไม่ต้องทรงทำอะไรหรอกเพคะ...”
ทว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาท กลับมีท่าทีเหนื่อยหน่ายกว่า
“....แต่ถ้าเหล่าผู้กล้าไม่เกาะผมฉันไว้ก็เหนื่อยแย่สิ กว่าจะขึ้นมาถึงก็ไม่มีแรงทำอะไรแล้ว”
คุณพระนมตกใจจนโพล่งออกมาอย่างลืมตัว
“ตายแล้ว! เหล่าเจ้าชายกับขุนพลจะทำอะไรฝ่าบาทเพคะ!”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาแย้มสรวลเขินอาย
“พวกท่านก็ต้องพาฉันหนีไปยังแคว้นบ้านเกิดน่ะสิ จากนั้นเสด็จพ่อจะต้องส่งคนออกติดตาม แต่เหล่าผู้กล้าก็จะสามารถปกป้องฉันไว้ได้ จนในที่สุดเสด็จพ่อจะเข้าใจว่าเรารักกันด้วยใจจริง และยกโทษให้กับเราสองคน ความขัดแย้งระหว่างสองแคว้นจะยุติเพราะความรักของเรา ประชาชนทั้งสองแคว้นก็จะได้อยู่กันอย่างมีความสุข...นมว่าดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมเอ่ยตอบอย่างกระอักกระอ่วน
“ดีน่ะดีเพคะ แต่ตอนนี้แคว้นของเราก็สงบสุขดีนะเพคะ ไม่มีสงครามมาตั้งหลายสิบปี ครั้งสุดท้ายก็ตั้งแต่สมัยนมยังเป็นเด็ก นมยังจำความไม่ค่อยได้เลยเพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาตกพระทัยจนพักตร์ขาวยิ่งซีดเผือด
“แย่แล้ว! ไม่มีแคว้นไหนเป็นศัตรูกับเราเลยหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นจะหาเจ้าชายกับเหล่าขุนพลที่ไหนล่ะ...แล้วฉันจะทำยังไงดีจ๊ะนม ฉันให้เสด็จพ่อยกทัพไปแคว้นไหนสักแคว้นดีไหมจ๊ะ”
คุณพระนมแม้ไม่เห็นด้วยกับดำรินั้น แต่เมื่อเห็นดวงเนตรกลมโตปิ่มพระอัสสุชล ทำให้อดสงสารอย่างจับใจไม่ได้
“ฝ่าบาทของนมไม่ต้องทรงคิดมากนะเพคะ ในวันพระราชพิธีจะมีทั้งเจ้าชายทั้งเหล่าขุนพล รวมถึงจอมเวทย์จากทุกแคว้นมาให้ฝ่าบาททรงเลือกมากมายแน่เพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงนิ่งคิดครู่หนึ่ง รับสั่งเรื่อยๆ ราวรำพึงกับองค์เอง
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่เจ้าชายกับขุนพลในฝันของฉัน ต้องเป็นอย่างที่เล่าให้นมฟังนั่นแหละจ้ะ หรือบางทีเจ้าชายอาจปลอมตัวมา...ใช่เจ้าชายต้องปลอมตัวมาแน่! พระองค์จะปลอมตัวเป็นคนธรรมดา แล้วบอกว่าม้าสลัดพระองค์ตกลงมา พระองค์เลยหลงทางจนมาถึงอุทยานของฉัน...แล้วบังเอิญมาเจอฉัน” ยิ่งรับสั่งยิ่งเอียงอาย เก็บพระอาการขวยเขินไว้ไม่อยู่
คุณพระนมส่ายหน้าเหน็ดเหนื่อยใจ ตัดบทขึ้น
“นมว่าฝ่าบาทเสด็จเข้าที่บรรทมได้แล้วนะเพคะ”
กล่าวจบ ไม่เปิดโอกาสให้เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทรงโต้แย้งใดๆ ได้ คุณพระนมพาพระองค์มาที่พระแท่น คลี่คลุมพระบรรทมอย่างนุ่มละมุน ก่อนปล่อยชายพระวิสูตรทั้งสี่ด้าน จัดการทุกสิ่งเสร็จสรรพเรียบร้อย คุณพระนมจึงล่าถอยจากห้องบรรทม ปิดบานพระทวารด้านหน้าเบากริบกลับไปยังห้องพักของตน
เจ้าฟ้าหญิงลักษิการอจนแน่พระทัยว่า คุณพระนมจากไปไกลแล้ว ค่อยสลัดคลุมพระบรรทม ทรงจุดพระชวาลา เสด็จจากพระแท่น เปิดบานพระบัญชรด้านข้าง ทอดพระเนตรลงไปยังพระราชอุทยานเบื้องล่าง ระบายพระปัสสาสะด้วยพระทัยกลัดกลุ้ม กระทั่งมิอาจข่มพระเนตรเข้าบรรทมได้
เบื้องล่างพระบัญชรเป็นเขตพระราชอุทยานชั้นใน ตกแต่งจัดสร้างเป็นแนวพุ่มไม้ประดับเตี้ยๆ สลับเรียงรายเป็นแถวแนวยาว ตลอดเรื่อยกระทั่งสุดเขตพระราชฐานฝ่ายใน หากมิใช่ในฤดูกาลเช่นนี้ ไม้ดอกทั้งหมดจะเบ่งบานสะพรั่ง สีสันสดใสสลับเลื่อมงดงามตระการ กลิ่นจำรุงระรื่นหอมชื่นนาสิก
ทว่าในยามนี้ บรรดาไม้ประดับทั้งหลายไม่หลงเหลือดอกใดแล้ว เนื่องเพราะย่างเข้าเหมันต์มากว่าครึ่งเดือน แต่กระนั้นไม้ดอกบางชนิดกลับยังส่งกลิ่นหอมรินๆ โชยกลิ่นอ่อนๆ อีกไม่กี่วันหิมะแรกของฤดูคงเริ่มโปรยปราย
บัดนั้น พุทธินคราจะกลายเป็นนครสีขาว ราวเงินยวงไปอีกหลายเดือน…
ทันใด บานพระทวารหน้าห้องบรรทมบังเกิดเสียงเคาะดังแผ่วเบา เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาขมวดพระขนงมุ่น ยามนี้เป็นใครกันที่กล้ามาเคาะห้องบรรทม
“ใครน่ะ...” ไม่มีเสียงตอบ แต่เสียงเคาะบานพระทวารยังดังขึ้นอีก เจ้าฟ้าหญิงรับสั่งถามขึ้นอีกครั้งด้วยความรำคาญ “ใคร...”
ไม่มีเสียงตอบอีกเช่นเลย เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาเริ่มกริ้ว เสด็จลิ่วผละจากพระบัญชร ไปเปิดบานพระทวาร แล้วก็ต้องหลากพระทัยเล็กน้อย เมื่อทอดพระเนตรพักตร์ของผู้ที่มาเคาะห้องบรรทม
“อ้อ...เจ้าเองหรือ เรวตี...” กระแสรับสั่งบ่งบอกว่ากริ้วไม่น้อย
ผู้มาเคาะห้องบรรทมยามวิกาล กลับเป็นพระขนิษฐาของพระองค์เจ้าฟ้าหญิงเรวตี พระพักตร์ของทั้งสองพระองค์ประพิมพ์ประพายคลับคล้าย ทว่าเจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงมีพระพักตร์เรียวมน แววพระเนตรอ่อนโยนสีน้ำทะเลใสกระจ่าง พระขนงและดวงพระเนตรล้วนคมงามล้ำยิ่งกว่าเจ้าฟ้าหญิงลักษิกา
พระเกศาสีดำสนิทเฉกเช่นกัน แต่เจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงเครื่องเพียงเหนือพระศอ ส่งให้พระศอระหงเด่นชัดสง่างาม ยิ่งเจ้าฟ้าหญิงลักษิกามีความสูงเพียงแค่พระศอของพระองค์ ยิ่งทำให้เจ้าฟ้าหญิงเรวตีหมดจดงดงาม สูงสง่าเหนือกว่าเจ้าฟ้าหญิงรัชทายาททุกด้าน
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีทรงฉลองพระองค์สีขาว ไม่ประดับดิ้นหรือลวดลายใดๆ ทำให้ผู้พบเห็นบังเกิดความรู้สึกว่า ทรงเป็นเจ้าฟ้าหญิงผู้ทั้งสูงศักดิ์ ทั้งบริสุทธิ์มิอาจแตะต้อง
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาทอดพระเนตร ฉลองพระองค์ยาวสีขาวของเจ้าฟ้าหญิงเรวตีอย่างขัดพระทัย
“อ้อ...นี่เจ้าคงแต่งชุดนี้ไปงานพิธีสินะ...ก็สวยดีนี่...คิดแต่งมาอวดล่ะสิ”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ ดวงพระเนตรสีน้ำทะเลหมองหม่นลงทันที ทอดพระเนตรฉลองพระองค์ แล้วค่อยรับสั่งพระสุรเสียงอ่อยๆ
“ไม่ใช่หรอกเพคะ ชุดนี้เป็นชุดลำลองของหม่อมฉันเพคะ”
“เจ้าจะบอกว่าแค่แต่งชุดลำลอง เจ้าก็สวยกว่าฉันแล้วสิ!”
“ไม่ใช่เพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉันยังไม่ได้ลองชุดที่จะใส่วันงานพระราชพิธีเลยเพคะ”
“ใช่สิ! เจ้าน่ะแต่งอะไรก็สวยอยู่แล้วนี่ จะต้องวุ่นวายลองชุดโน่นชุดนี้อย่างฉันทำไม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นเพคะ...หม่อมฉันไม่เคยคิดอย่างนั้น...หม่อมฉัน...”
“ทำไม!...แต่เอาเถอะนั่นเป็นเรื่องของเจ้า ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องไปใส่ใจ...ว่าแต่เจ้ามีธุระอะไร”
“หม่อมฉันจะมาขอประทานอนุญาต...ไม่ไปร่วมในงานพระราชพิธีเพคะ”
“เจ้าคิดว่างานพิธีของเราไม่สำคัญ ไม่ต้องไปก็ได้ใช่ไหม!”
“ไม่ใช่เพคะ ไม่ใช่...หม่อมฉัน...”
“พอแล้ว!...เจ้าจะลองชุดของเจ้าหรือไม่ หรือจะแต่งชุดอะไรก็เรื่องของเจ้า แต่เจ้าต้องไปงานพิธีของเรา!”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีก้มพระพักตร์ต่ำ พระอัชสุชลคลอพระเนตร
“เจ้าพี่เข้าใจผิด...หม่อมฉัน...”
เจ้าฟ้าหญิงรัชทายาทรับสั่งอย่างเบื่อหน่าย
“เราจะพักผ่อน...”
เจ้าฟ้าหญิงเรวตีประทับนิ่ง พยายามบังคับไม่ให้พระอัชสุชลไหลออกมา ค่อยๆ กราบทูลช้าๆ
“เพคะ”
เจ้าฟ้าหญิงลักษิกาปิดบานพระทวารห้องบรรทมทันที ไม่สนพระทัยว่าอีกองค์จะจากไปหรือยัง เสด็จปึงปังไปมาภายในห้องบรรทมครู่ใหญ่ ที่สุดจึงหยุดประทับหน้าพระฉายบานใหญ่ ยิ่งทอดพระเนตรเงาองค์เองในพระฉายก็ยิ่งน้อยพระทัย ทั้งอิจฉา ทั้งหงุดหงิด แง่งอนมากยิ่งขึ้น
“ไม่ยุติธรรมเลย! ฉันไม่ได้สวย ไม่ได้น่ารักน้อยกว่าเรวตีเลย...พี่น้องกันแท้ๆ แต่ทำไมเรวตีทั้งสูงทั้งสง่างามสมกับเป็นเจ้าหญิง แต่ฉันทั้งเตี้ยทั้งอ้วน หน้าก็กลมแบนไม่มีสง่าราศีสักนิด!”
เสด็จปึงปังอีกครั้ง คราวนี้ไปหยุดประทับ ณ บานพระบัญชรด้านข้าง พระพักตร์กลมเหม่อมองออกไปเบื้องนอกพระราชอุทยาน พยายามระงับความพิโรธ เฝ้าดำริไปถึงเจ้าชายในฝันที่จะมาหาในเร็ววัน
ทันใด เบื้องล่างตรงพุ่มไม้ประดับ ใต้บานพระบัญชรพอดี เกิดอาการสั่นไหวอย่างประหลาด บัดนั้นแสงจันทราที่กระทบหลังแนวพุ่มไม้ กลับปรากฏเห็นเป็นภาพเงาคนๆ หนึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใน!
บริเวณพระราชอุทยานในเขตพระราชฐานชั้นใน ย่อมไม่มีราชองครักษ์ประจำการ ยิ่งยามราตรีหากไม่มีรับสั่ง ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาในบริเวณนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเรียกหาผู้ใด ภยันตรายไหนเลยจะสามารถล่วงล้ำ ผ่านเขตพลังเวทของ ‘ท่านผู้นั้น’ ซึ่งคุ้มครองปกป้องราชสำนักแห่งพุทธินครามาหลายสิบปีแล้ว
“นั่นใคร! ออกมานะ!”