อาจจะยาวหน่อยนะครับ แต่ขอพื้นที่ได้ระบายความในใจหน่อย เพราะตอนนี้ผมละครอบครัว
ค่อนข้างเครียกมากพอสมควร
เมื่อวันเด็ก 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ยายของผม ท่านอายุ 91 แล้ว ล้มที่บ้าน ซึ่งไม่มีใครพบเห็น
มาพบอีกทีก็ล้มไปแล้ว (มาไม่ทันตอนล้ม แต่ล้มแล้วได้ยินจึงรีบวิ่งกันมา) แต่เนื่องจากบ้าน
เป็นพื้นไม้ยกสูงแบบมีไต้ถุน ไม่ใช่พื้นปูนตีบตันแข็ง ประกอบกับท่าที่ล้มเท่าที่ได้จากการ-
สอบถาม (ซึ่งไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก เพราะคนที่ล้มก็หลง ๆ ลืม ๆ จำไม่ได้ว่าตัวเองล้มอย่าง
ไร) ก็พอจะเดาว่าไม่ได้ล้มตึงแบบล้มทั้งยืน น่าจะค่อย ๆ ทรุดล้มลงโดยเอาสะโพกด้านข้าง
ซ้ายลงกระแทก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังทำให้กระดูกต้นขาหักตรงบริเวณส่วนหัว (ผมอธิบายไม่ถูก) ตรงที่ต่อกับ
เชิงกราน "หัก" ซึ่งทราบหลังจากผ่านการ X-RAY แล้ว
ยายเป็นคนที่ดื้อมาก เพราะไม่ว่าจะกล่อมตะล่อมอย่างไร แกก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ปาก
ก็บอกว่ากลัวเสียเงิน เสียดายเงิน กูไม่เป็นไรมากนักหรอก (ยายเป็นคนโบราณพูดกูเป็น
เรื่องปกติ) แต่จากสภาพ หลังจากที่ล้มแล้ว ไม่สามารถลุกขึ้นยืนหรือนั่งได้เลย ต้องนอนอยู่
ตรงนั้นกว่า 1 ชม. (ระหว่างรอน้องสาวกลับมา เพราะคนที่บ้านไม่กล้าทำอะไร และคิดว่า
น้องสาวเป็นนักกายภาพ พูดอะไรไปแกก็น่าจะเชื่อ) ไม่ว่าญาติ ลูก หรือหลานจะกล่อมอย่าง
ไรก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล แต่ว่าอาการก็ไม่ดีขึ้น ขยับก็โอย ลุกก็ไม่ได้ นั่งยังไม่ได้เลยอา-
การแย่มาก แต่ปากแกก็บอกตลอดว่าไม่เป็นอะไร อันที่จริงที่แกไม่ยอมไปเพราะแก้กลัวโรง-
พยาบาล กลัวการผ่าตัด กลัวโดนฉีดยา กลัวทุกอย่าง เพราะเคยฝังใจกับการไปรับบริการที่
โรงพยาบาลของรัฐฯ (ศิริราช) เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วโดยพยามาร (บาล) ดุด่าว่ากล่าว ทำ
กิริยาไม่ดีใส่ ถึงกับขนาดลั่นวาจาว่าจะไม่มาโรงพยาบาลอีก ทำอย่างไร พูดยังไง ก็ไม่อยาก
เจอหมอ เอาแต่พูดว่าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็หายแล้ว แต่อาการกลับแย่ลงเรื่อย ๆ
หลังจากล้ม ผมกับญาติก็รีบโทรเรียกน้องสาว ซึ่งเป็นนักกายภาพ ให้รีบกลับบ้านทันที เพื่อ
ให้มาดูอาการยายหน่อย ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็รู้จากปากน้องสาวในเบื้องต้นหลังจากเขา
ทำการทดสอบบางอย่างว่าน่าจะมีอะไรหัก แต่บอกไม่ได้ ต้อง X-RAY จึงต้องรีบนำส่งโรง-
พยาบาล รอไม่ได้แล้ว
แต่แกไม่ยอมไปท่าเดียว สุดท้ายผมกับน้องสาวจึงต้องตัดสินใจ ช่วยกันอุ้ม บังคับไปโรงพยา
บาล โดยให้น้าขับรถมารอที่หน้าบ้านเลย หลอกยายว่าจะพาไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงอุ้มใส่
รถเพืื่อไปโรงพยาบาล พอแกรู้ว่าไม่ได้พาไปห้องน้ำ แต่พาไปโรงพยาบาลก็เริ่มอาละวาดทัน
ที ด่าลูก ด่าหลาน ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทุกคำเท่าที่แกจะนึกออกมาหามาด่าได้ บอกตลอด
ว่ากูไม่เป็นอะไร จะพากูไปไหน (ไม่เป็นอะไรได้ไงกระดูกต้นขาหัก!)
หลังจากหมอมาประเมินทุกอย่างแล้ว ลงความเห็นว่าต้องผ่าตัดด่วน เพราะว่าถ้าไม่ผ่าไม่ทำ
การเปลี่ยนข้อกระดูกที่แตกก็จะเดินไม่ได้เลย เพราะหากรอให้กระดูกมัน healing ตัวเอง ก็
อาจจะใช้เวลาหลายเดือน
ทีนี้เนื่องจากว่า ยายลุกเดินไม่ได้ ขนาดนั่งหมอก็ยังห้าม อีกทั้งยังต้องถ่วงน้ำหนักที่ขาโดย
จลอดเวลา เพื่อยืดกระดูก เห็นเขาว่าเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้แกต้องนอนอย่าง
เดียว และต้องใส่สายฉี่
ตอนนี้จึงอาละวาดหนักกว่าเดิม โทษทุกคนว่าแกไม่ได้เป็นอะไร แค่ล้มยอกนิดหน่อยเดี๋ยว
ก็หายแล้ว พามาโรงพยาบาลทำไมให้กูต้องลำบาก เดินก็ไม่ได้ พากูกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ดูสิ
ใส่สายอะไรที่ XXX ของกูฉี่ก็ฉี่ไม่ออก รำคาญจะดึงออกตลอดเวลา เข้าใจว่าสายฉี่ทีแรกมัน
จะไม่คุ้น คงจะราญแต่ก็ต้องใส่เพราะว่าลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้
การผ่าตัดนั้นเป็นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่หลังจากการผ่าตักแกก็อาละวาดหนัก
มากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ทุบตีลูกหลาน ทุบตีทุกคนที่เข้ามาหาแก ทุบตีพยาบาลที่เข้ามา-
เช็ดตัว หรือวัดความดัน ให้ยา ฯลฯ
พวกเราก็ทำได้แค่ขอโทษนางพยาบาล และขอให้เขาเห็นใจ แล้วพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะบอกอะไรไปแกก็ไม่ฟัง ไม่รับรู้ ไม่เข้าใจ
เหมือนวัยกลับไปเป็นเด็ก ไม่มีเหตุ ไม่มีผล เอาแต่ใจมาก อธิบายอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ
ทุกวันนี้ เราจัดเวรยามมาเฝ้าแกตลอด 24 ชม. ผลัดกันมา เพราะทุกคนต้องทำงาน แต่เนื่อง
จากว่าแกเป็นทั้งยาย และแม่ของคนรวมกันกว่า 10 ชีวิต เรื่องแค่นี้เราทำให้ได้อยู่แล้ว มันไม่
ใช่ปัญหาเลย เพราะเมื่อแกเรียกหา อย่างน้อยคนที่ตอบรับแกก็คือญาติ คือคนใกล้ชิด คือคน
ที่แกเห็นหน้าค่าตาอยู่ทุกวัน ไม่ใช่คนแปลกหน้า
ยายเป็นต้อหินตาจะบอดแล้วแทบมองไม่เห็น ฟังแต่เสียงเอา ให้ผ่าก็ไม่ไป นัดหมอมาเกือบ
10 รอบพอจะไปผ่าก็กลัว ล้มเลิกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ลูกหลานก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีอันจะกิน
เรื่องรักษาพยาบาลแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่แกชอบอ้างว่าเสียดายเงิน เปลืองเงิน แต่ที่
จริงคือแกกลัว ขนาดพาคนอื่นที่เคยผ่ามาแล้วมาพูดให้ฟังว่าไม่ได้น่ากลัวเลย แกก็ดื้อที่สุด
ไม่ไป ใครก็ทำอะไรไม่ได้ และหูตึงมาก พูดช้า เสียงต่ำ หรือพูดชัดถ้อยชัดคำแค่ไหนก็แทบ
จะไม่ได้ยิน ให้ใส่เครื่องช่วยฟัง ก็ไม่ยอม
ทั้งนี้ยายเป็นคนที่ค่อนข้างแข็งแรงเมื่อเทียบกับวัยเดียวกัน ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง จึงไม่
ต้องหาหมอบ่อย ๆ แกจึงนึกตลอดว่าตัวแกนั้นแข็งแรงมาก ไม่ป่วยบ่อย เป็นอะไรจึงไม่ค่อย
จะยอมไปหาหมอ และก็มักจะบอกว่าแกไม่เป็นอะไร ไม่ป่วย
ทุกวันนี้ อาละวาดหนักมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน มีเฉพาะตอนที่หลับเท่านั้นถึงจะไม่อา-
ละวาด คนที่เฝ้าก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยเพราะแกร้องทั้งคืน จะเอาสายฉี่ออกตลอดเวลา
จะลุกขึ้นนั่งตลอดเวลา เพราะแกเข้าใจว่า ถ้าแกนั่งได้ แกจะหาย ที่แกป่วยเพราะแกนอน
ตลอดเวลา แต่ที่จริงคือยังนั่งไม่ได้ หมอห้าม
แกโทษลูกโทษหลาน ว่าทำให้แกป่วยนอนได้อย่างเดียวแบบนี้ แค่ล้มยักยอกนิดหน่อยไม่ได้
เป็นอะไรเลย พามาโรงพยาบาลให้กูต้องลำบาก ให้กูต้องเจ็บ ให้กูฉี่ไม่ได้ ให้กูต้อง ฯลฯ
แต่พวกเราก็เข้าใจและเห็นใจ รวมถึงอดทนอย่างมาก
ขอบคุณที่อ่านครับ
กลุ้มใจมากครับ ยายอายุ 90 ล้มสะโพกหัก อาละวาดมาก
ค่อนข้างเครียกมากพอสมควร
เมื่อวันเด็ก 12 ม.ค. ที่ผ่านมา ยายของผม ท่านอายุ 91 แล้ว ล้มที่บ้าน ซึ่งไม่มีใครพบเห็น
มาพบอีกทีก็ล้มไปแล้ว (มาไม่ทันตอนล้ม แต่ล้มแล้วได้ยินจึงรีบวิ่งกันมา) แต่เนื่องจากบ้าน
เป็นพื้นไม้ยกสูงแบบมีไต้ถุน ไม่ใช่พื้นปูนตีบตันแข็ง ประกอบกับท่าที่ล้มเท่าที่ได้จากการ-
สอบถาม (ซึ่งไม่ได้ข้อมูลอะไรมาก เพราะคนที่ล้มก็หลง ๆ ลืม ๆ จำไม่ได้ว่าตัวเองล้มอย่าง
ไร) ก็พอจะเดาว่าไม่ได้ล้มตึงแบบล้มทั้งยืน น่าจะค่อย ๆ ทรุดล้มลงโดยเอาสะโพกด้านข้าง
ซ้ายลงกระแทก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังทำให้กระดูกต้นขาหักตรงบริเวณส่วนหัว (ผมอธิบายไม่ถูก) ตรงที่ต่อกับ
เชิงกราน "หัก" ซึ่งทราบหลังจากผ่านการ X-RAY แล้ว
ยายเป็นคนที่ดื้อมาก เพราะไม่ว่าจะกล่อมตะล่อมอย่างไร แกก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล ปาก
ก็บอกว่ากลัวเสียเงิน เสียดายเงิน กูไม่เป็นไรมากนักหรอก (ยายเป็นคนโบราณพูดกูเป็น
เรื่องปกติ) แต่จากสภาพ หลังจากที่ล้มแล้ว ไม่สามารถลุกขึ้นยืนหรือนั่งได้เลย ต้องนอนอยู่
ตรงนั้นกว่า 1 ชม. (ระหว่างรอน้องสาวกลับมา เพราะคนที่บ้านไม่กล้าทำอะไร และคิดว่า
น้องสาวเป็นนักกายภาพ พูดอะไรไปแกก็น่าจะเชื่อ) ไม่ว่าญาติ ลูก หรือหลานจะกล่อมอย่าง
ไรก็ไม่ยอมไปโรงพยาบาล แต่ว่าอาการก็ไม่ดีขึ้น ขยับก็โอย ลุกก็ไม่ได้ นั่งยังไม่ได้เลยอา-
การแย่มาก แต่ปากแกก็บอกตลอดว่าไม่เป็นอะไร อันที่จริงที่แกไม่ยอมไปเพราะแก้กลัวโรง-
พยาบาล กลัวการผ่าตัด กลัวโดนฉีดยา กลัวทุกอย่าง เพราะเคยฝังใจกับการไปรับบริการที่
โรงพยาบาลของรัฐฯ (ศิริราช) เมื่อหลายสิบปีก่อนแล้วโดยพยามาร (บาล) ดุด่าว่ากล่าว ทำ
กิริยาไม่ดีใส่ ถึงกับขนาดลั่นวาจาว่าจะไม่มาโรงพยาบาลอีก ทำอย่างไร พูดยังไง ก็ไม่อยาก
เจอหมอ เอาแต่พูดว่าไม่เป็นอะไร เดี๋ยวก็หายแล้ว แต่อาการกลับแย่ลงเรื่อย ๆ
หลังจากล้ม ผมกับญาติก็รีบโทรเรียกน้องสาว ซึ่งเป็นนักกายภาพ ให้รีบกลับบ้านทันที เพื่อ
ให้มาดูอาการยายหน่อย ว่าเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งก็รู้จากปากน้องสาวในเบื้องต้นหลังจากเขา
ทำการทดสอบบางอย่างว่าน่าจะมีอะไรหัก แต่บอกไม่ได้ ต้อง X-RAY จึงต้องรีบนำส่งโรง-
พยาบาล รอไม่ได้แล้ว
แต่แกไม่ยอมไปท่าเดียว สุดท้ายผมกับน้องสาวจึงต้องตัดสินใจ ช่วยกันอุ้ม บังคับไปโรงพยา
บาล โดยให้น้าขับรถมารอที่หน้าบ้านเลย หลอกยายว่าจะพาไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นจึงอุ้มใส่
รถเพืื่อไปโรงพยาบาล พอแกรู้ว่าไม่ได้พาไปห้องน้ำ แต่พาไปโรงพยาบาลก็เริ่มอาละวาดทัน
ที ด่าลูก ด่าหลาน ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทุกคำเท่าที่แกจะนึกออกมาหามาด่าได้ บอกตลอด
ว่ากูไม่เป็นอะไร จะพากูไปไหน (ไม่เป็นอะไรได้ไงกระดูกต้นขาหัก!)
หลังจากหมอมาประเมินทุกอย่างแล้ว ลงความเห็นว่าต้องผ่าตัดด่วน เพราะว่าถ้าไม่ผ่าไม่ทำ
การเปลี่ยนข้อกระดูกที่แตกก็จะเดินไม่ได้เลย เพราะหากรอให้กระดูกมัน healing ตัวเอง ก็
อาจจะใช้เวลาหลายเดือน
ทีนี้เนื่องจากว่า ยายลุกเดินไม่ได้ ขนาดนั่งหมอก็ยังห้าม อีกทั้งยังต้องถ่วงน้ำหนักที่ขาโดย
จลอดเวลา เพื่อยืดกระดูก เห็นเขาว่าเป็นการปฐมพยาบาลเบื้องต้น ทำให้แกต้องนอนอย่าง
เดียว และต้องใส่สายฉี่
ตอนนี้จึงอาละวาดหนักกว่าเดิม โทษทุกคนว่าแกไม่ได้เป็นอะไร แค่ล้มยอกนิดหน่อยเดี๋ยว
ก็หายแล้ว พามาโรงพยาบาลทำไมให้กูต้องลำบาก เดินก็ไม่ได้ พากูกลับบ้านเดี๋ยวนี้ ดูสิ
ใส่สายอะไรที่ XXX ของกูฉี่ก็ฉี่ไม่ออก รำคาญจะดึงออกตลอดเวลา เข้าใจว่าสายฉี่ทีแรกมัน
จะไม่คุ้น คงจะราญแต่ก็ต้องใส่เพราะว่าลุกไปเข้าห้องน้ำไม่ได้
การผ่าตัดนั้นเป็นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างไม่มีปัญหา แต่หลังจากการผ่าตักแกก็อาละวาดหนัก
มากกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า ทุบตีลูกหลาน ทุบตีทุกคนที่เข้ามาหาแก ทุบตีพยาบาลที่เข้ามา-
เช็ดตัว หรือวัดความดัน ให้ยา ฯลฯ
พวกเราก็ทำได้แค่ขอโทษนางพยาบาล และขอให้เขาเห็นใจ แล้วพวกเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เพราะบอกอะไรไปแกก็ไม่ฟัง ไม่รับรู้ ไม่เข้าใจ
เหมือนวัยกลับไปเป็นเด็ก ไม่มีเหตุ ไม่มีผล เอาแต่ใจมาก อธิบายอะไรก็ไม่ฟัง ไม่เชื่อ
ทุกวันนี้ เราจัดเวรยามมาเฝ้าแกตลอด 24 ชม. ผลัดกันมา เพราะทุกคนต้องทำงาน แต่เนื่อง
จากว่าแกเป็นทั้งยาย และแม่ของคนรวมกันกว่า 10 ชีวิต เรื่องแค่นี้เราทำให้ได้อยู่แล้ว มันไม่
ใช่ปัญหาเลย เพราะเมื่อแกเรียกหา อย่างน้อยคนที่ตอบรับแกก็คือญาติ คือคนใกล้ชิด คือคน
ที่แกเห็นหน้าค่าตาอยู่ทุกวัน ไม่ใช่คนแปลกหน้า
ยายเป็นต้อหินตาจะบอดแล้วแทบมองไม่เห็น ฟังแต่เสียงเอา ให้ผ่าก็ไม่ไป นัดหมอมาเกือบ
10 รอบพอจะไปผ่าก็กลัว ล้มเลิกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ลูกหลานก็ไม่ใช่ว่า จะไม่มีอันจะกิน
เรื่องรักษาพยาบาลแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย แต่แกชอบอ้างว่าเสียดายเงิน เปลืองเงิน แต่ที่
จริงคือแกกลัว ขนาดพาคนอื่นที่เคยผ่ามาแล้วมาพูดให้ฟังว่าไม่ได้น่ากลัวเลย แกก็ดื้อที่สุด
ไม่ไป ใครก็ทำอะไรไม่ได้ และหูตึงมาก พูดช้า เสียงต่ำ หรือพูดชัดถ้อยชัดคำแค่ไหนก็แทบ
จะไม่ได้ยิน ให้ใส่เครื่องช่วยฟัง ก็ไม่ยอม
ทั้งนี้ยายเป็นคนที่ค่อนข้างแข็งแรงเมื่อเทียบกับวัยเดียวกัน ไม่มีโรคประจำตัวร้ายแรง จึงไม่
ต้องหาหมอบ่อย ๆ แกจึงนึกตลอดว่าตัวแกนั้นแข็งแรงมาก ไม่ป่วยบ่อย เป็นอะไรจึงไม่ค่อย
จะยอมไปหาหมอ และก็มักจะบอกว่าแกไม่เป็นอะไร ไม่ป่วย
ทุกวันนี้ อาละวาดหนักมากกว่าเดิมขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน มีเฉพาะตอนที่หลับเท่านั้นถึงจะไม่อา-
ละวาด คนที่เฝ้าก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยเพราะแกร้องทั้งคืน จะเอาสายฉี่ออกตลอดเวลา
จะลุกขึ้นนั่งตลอดเวลา เพราะแกเข้าใจว่า ถ้าแกนั่งได้ แกจะหาย ที่แกป่วยเพราะแกนอน
ตลอดเวลา แต่ที่จริงคือยังนั่งไม่ได้ หมอห้าม
แกโทษลูกโทษหลาน ว่าทำให้แกป่วยนอนได้อย่างเดียวแบบนี้ แค่ล้มยักยอกนิดหน่อยไม่ได้
เป็นอะไรเลย พามาโรงพยาบาลให้กูต้องลำบาก ให้กูต้องเจ็บ ให้กูฉี่ไม่ได้ ให้กูต้อง ฯลฯ
แต่พวกเราก็เข้าใจและเห็นใจ รวมถึงอดทนอย่างมาก
ขอบคุณที่อ่านครับ