"หมั่นดูแลสอดส่องพระในบ้าน ดีกว่าไปนั่งส่องพระนอกบ้าน"

กระทู้สนทนา
พระในบ้าน

         “พระ” หมายถึงผู้ประเสริฐ ผู้ยอดเยี่ยม เพราะเป็นผู้มีคุณสมบัติดีอยู่ในตัว และประกอบความดีต่อผู้อื่น โดยมิได้มุ่งหวังตอบแทน ทำด้วยดวงใจอันเปี่ยมล้นด้วยความรัก ความปรารถนาดีและความสงสารเป็นมูลฐาน หากผู้ใดทำได้ดังนี้ ไม่ว่าผู้นั้นจะครองเพศแบบไหน วัยไหน โลกย่อมแซ่ซ้องสรรเสริญผู้นั้นว่าเป็นพระ ในสายตาของเขา และพร้อมที่จะยกมือทั้งสองขึ้นไหว้บูชา หรือยอมก้มศีรษะพร้อมทั้งกายหมอบราบกราบกรานด้วยความเต็มใจ มิได้ตะขิดตะขวางหรือลังเลสักน้อย เพราะเขาเห็นว่าผู้นั้น คือ เนื้อนาบุญอันหาได้ยากของเขาอย่างแท้จริง
    
         “ความเป็นพระ” อย่างที่ว่านั้น มิใช่จะมีเฉพาะกับนักบวชในศาสนาใดศาสนาหนึ่งตามความเข้าใจของคนทั่วไปเท่านั้น ความจริงเราท่านทุกคนต่างก็เคยประสบพระ หรือมีพระประกอบด้วยคุณงามความดีดังกล่าวมาแล้วทุกคน และมิได้พบที่มนป่า ถ้ำ ลำเนาเขา หรือแดนบุญสถานนักบวชอื่นใดเลย

    คำถามที่ถามแล้วพระในบ้านคือใคร “พระในบ้าน” นั้นคือ “พ่อ” กับ”แม่” คงไม่มีใครกล้าคัดค้านหรือปฏิเสธว่า ท่านทั้งสองได้นามว่าเป็นพระนั้น เพราะท่านมี “ความเป็นพระ” คือ คุณธรรมความดีอยู่ในตัว และได้ปฏิบัติภารกิจอันเป็นหน้าที่ของตัวอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งในด้านจิตใจก็เปี่ยมล้นด้วยความรัก ความปรารถนาดี และความสงสาร อันเป็นเหตุชักจูงให้ท่านได้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เสียสละยอมเป็น”ผู้ให้” อยู่ตลอดมา ตามปกติเรามักจะแสวงหาพระนอกบ้าน ไปกราบไหว้พระกันตามวัด ตามถ้ำ ตามป่า หรือแม้อยู่บนยอดเขาก็ยอมไปกันด้วยความมุ่งมั่นว่าจะเป็นมงคลแก่ตัว แม้จะไปค้างอ้างแรมกัน หรือใช้เวลาเดินทางไปเป็นวันๆ เราก็ยังทนหอบสังขารไปจนกระทั่งถึงท่านจนได้ พอได้เห็นท่าน ได้กราบไหว้บูชาท่านแล้วก็กลับ เท่านี้ก็เกิดความอิ่มใจหายเหน็ดเหนื่อย โอกาสหน้าก็แวะเวียนไปหาท่านบ่อยๆ เล่าทุกข์สุขให้ท่านฟัง ท่านช่วยแก้ปัญหาชีวิตซึ่งมันคับอกคับใจให้ เป็นต้น “พระนอกบ้าน” ที่ว่ามานี้เราไปหาได้ บูชาได้ และทำได้บ่อยๆเสียด้วยซ้ำไป

แต่เราทั้งหลายนี้ จะมีสักกี่คนเล่าที่นึกถึง “พระในบ้าน” กัน พระในบ้านที่ใจจดจ่อรอท่านที่บรรดา “ลูก” จะมาหา มากราบไหว้บูชา หรือย่างน้อยๆ มาให้เห็นหน้าก็ดีใจถมไปแล้ว โยมากเราเราต่างก็มักจะเอื้อบำรุงอุดหนุนกันแต่พระนอกบ้าน หรือดั้นด้นไปเช่าพระนอกบ้าน ซึ่งปราศจากลมหายใจเข้ามาไว้ในบ้านด้วยราคาแพงๆ ทำที่ประดิษฐานไว้ด้วยห้องหรูๆ ราคาแพงลิบ แต่พระในบ้านซึ่งมีลมหายใจอยู่ เรากลับปล่อยให้อดอยากปากแห้ง ปล่อยให้ใจแล้งอับเฉา และเศร้าใจอยู่ตามลำพัง เพราะปราศจากน้ำใจจากลูกๆ มาหล่อเลี้ยงให้ชุ่มชื่น พ่อแม่ที่รอน้ำใจจากลูกๆ นั้นอาจยิ่งกว่า “ข้าวคอยฝน” อยากที่เราชอบเปรียบกันเสียอีก ท่านคงจะมิใช่เป็นผู้หนึ่งในจำนวน ”โดยมาก”  นั้น

    ความเป็นพระในบ้านของพ่อแม่ จะมีสักกี่คนที่รู้ เพราะเรามักมุ่งหากันแต่พระนอกบ้าน พระที่ไม่มีลมหายใจ แม้จะต้องซื้อหาด้วยราคาแพง แม้จะต้องลงทุนลงแรงมากมายกว่าจะมาได้มา และมักจะเฝ้าปรนเปรอ หรือบูชาแต่พระนอกบ้าน เช่นนั้น เท่านั้น แต่พระในบ้าน ซึ่งมีลมหายใจอยู่หรือใกล้ชิดอยู่กับตัวเราตลอดเวลา เรากลับมองข้ามไปเสีย เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นคนอยู่ในวัยไหน ฐานะอย่างไร ย่อมเป็นเหมือนๆกันได้ทุกที่ เหมือนกันข้อที่ไม่รู้จักว่าพระในบ้านคือ ใคร


เรื่องที่ 1. มีเรื่องที่เล่ากันสืบๆมาว่า มีคุณนายคนหนึ่งซึ่งเป็นคนใจบุญพอควรที่เดียวดูได้จากการที่ตักบาตรทุกเช้า และหลังจากนั้นก็จะถือสำรับกับข้าวที่บรรจงจัด จัดอย่างประณีต นำไปวัดแห่งหนึ่งทางฝั่งพระนคร เพื่อถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จผู้เป็นเจ้าอาวาส เพราะมีความเคารพนับถือในจริยาวัตรของท่าน และชอบฟังท่านคุยหรือเล่าเรื่องอะไรต่อมิอะไรให้ฟัง เรียกว่า มีเวลาว่างหลังจากตักบาตรตอนเช้าแล้วคุณนายคนนั้นเป็นต้องมาวัดให้ได้ทุกวัน อาหารที่จัดมาอย่างปราณีตทุกอย่าง เพื่อให้สมกับนำมาถวายสมเด็จฯอยู่คุยกับท่านพอสมควรแล้วก้มกราบลากลับ ทำอยู่เช่นนี้เป็นประจำ วันหนึ่งหลังจากคุณนายกลับแล้ว พระหนุ่มรูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ก้นกุฏิของสมเด็จฯ เข้าไปเรียนถวายว่า คุณนายคนนี้ใจบุญสุนทานจริง แต่เคยได้ยินว่าเป็นคนใจแคบ มีแม่อยู่คนเดียวก็ปล่อยให้อดๆอยากๆ ไม่ค่อยเอาใจใส่ ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ หลังบ้าน ส่วนตัวเองพร้อมลูกๆ อยู่บนตึกใหญ่ สะดวกสบายทุกอย่าง เขาว่าตอนอยู่บ้านพูดจากับแม่ฟังไม่ค่อยได้เลย ผิดกับมาที่พูดอยู่ที่วัดเป็นหน้ามือเป็นหลังมือ แม่จะเดินออกมาหน้าบ้านบ้างก็ไม่ได้ กลัวเขาจะเห็นว่ายังมีแม่แก่อยู่ที่บ้าน อายเขา คนเขาเล่าให้ฟังหลายรายแล้ว เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบได้

    ฝ่ายสมเด็จฯ ท่านได้ฟังพระว่าก็ไม่พูดอะไร นิ่งฟังเฉยอยู่ ต่อมาอีกหลายวันท่านไปกิจนิมนต์นอกวัด และบังเอิญขากลับ ต้องผ่านทางบ้านคุณนายด้วย ท่านจึงแวะบ้านคุณนายก่อน คุณนายดีใจมากที่สมเด็จฯ มาถึงที่บ้าน เพราะไม่เคยมีพระมาที่บ้านเลยในยามปกติ นอกจากเวลาทำบุญเท่านั้น จึงถือว่าเป็นนิมิตมงคลอย่างสูงสุดที่พระขั้นสมเด็จฯ มาเหยียบบ้าน จึงเรียกลูกหลานเข้ามากราบไหว้ท่านเป็นการใหญ่ ให้ท่านอวยชัยให้พรลูกหลาน แล้วชวนท่านคุยเรื่องต่างๆ มากมายสมเด็จฯ ท่านก็คุยบ้างถามสุขทุกข์บ้างตามธรรมเนียม

    ตอนหนึ่งสมเด็จฯ ท่านถามคุณนายว่า พระในบ้านของคุณนายมีบ้างไหม คุณนายได้ยินเข้าก็รีบตอบว่าพระในบ้านของตัวมีมากมาย เป็นพระเก่าๆ ทั้งนั้นสมัยสุโขทัยก็มี สมัยเชียงแสนก็มี พร้อมกับอวดใหญ่ และชวนสมเด็จฯขึ้นไปดูห้องพระข้างบน(คงไม่มีแผนอะไร) สมเด็จฯท่านทราบว่าคุณนายยังไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นอีกว่าได้ทราบว่าคุณนายมีแม่อีกคนหนึ่ง เดี๋ยวนี้อยู่ที่ไหน?

          คุณนายได้ยินเข้าถึงเสียวแปลบเข้าไปในหัวใจ ไม่นึกว่าจะถูกจู่โจมด้วยคำถามชนิดฟ้าแลบอย่างนี้จากสมเด็จฯ จะตอบไปตามตรงว่า แม่อยู่หลังบ้าน ก็กลัวสมเด็จฯ จะเดินไปดู และจะเห็นสภาพความเป็นอยู่ของแม่ แล้วท่านจะว่าเอาได้ก็เลยอึกๆ อักๆ ไปว่า ตอนนี้แม่ไม่อยู่ ออกไปเยี่ยมญาติ คงอีกนานกว่าจะกลับแน่ะ ! คอยกันท่าไว้เสร็จ กลัวสมเด็จฯ จะนั่งคอยพบ

         สมเด็จฯ ท่านก็ไม่ต่อว่าความอีก เพราะเริ่มจะรู้อะไรเป็นอะไรแล้ว พอสมควรแก่เวลาท่านก็ลากลับ หลังจากนั้นก็พบกับคุณนายอีกเป็นประจำเหมือนเคย จนวันหนึ่งท่านเห็นคุณนายยิ้มแย้มแจ่มใสดี  พูดคุยรื่นเริ่งเรื่องการทำบุญสุนทานและยังมีเวลาอีกพอควรที่จะถึงเวลาเพล ท่านจึงถามขึ้นว่า “พระในบ้านของโยม โยมดูแลเรียบร้อยดีหรือยัง ?  “ คุณนายก็ตอบอย่างยิ้มย่อง ด้วยความเข้าใจผิดเช่นเคยว่า “เจ้าค่ะ” อิฉันจัดถวายท่านเรียบร้อยทุกวันแหละค่ะ ก่อนจัดมาถวายท่านนี่ อิฉันต้องจัดถวายในห้องพระก่อน จุดธูปเทียนบูชาท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงนำมาถวายท่านทีหลัง ท่านไม่ต้องห่วงหรอก อิฉันทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร” อวดสรรพคุณของตัวไปโน่นเลย

       “อาตมามิได้หมายถึงพระพุทธรูปนะโยม พระในบ้านที่อาตมาถามนี่ หมายถึงพระที่มีลมหายใจ คือ ผู้มีพระคุณของโยมน่ะ “ ถึงตอนนี้คุณนายเลยนิ่งเป็นรูปปั้นไปโดยอัตโนมัติ ส่วนสมเด็จฯ ท่านก็พูดต่อไปเรื่อย ๆ

    “คนเราน่ะ มีพระในบ้านทุกคน พระที่มีลมหายใจนะ บางคนมีพ่อบางคนเหลือแม่ บางคนโชคดีเหลือทั้งพ่อทั้งแม่ในบ้าน นับเป็นบุญมหาศาล ใครเหลือเท่าไรก็ควรจะได้เอาตาดูหูใส่ท่านบ้าง ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยไม่เอาใจใส่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆ เจ็บไข้ได้ป่วยอย่างไรก็ดูแลท่านบ้าง ท่านแก่แล้ว ท่านกินใช้จะหมดเปลืองไปสักเท่าไรเชียว ใช่ไหมโยม”
    “ค่ะใช่” จำใจเงยหน้ามองตาสมเด็จฯ แล้วตอบ
    “โยม ก็เหมือนกัน” สมเด็จฯ พูดตรงๆ เลยคราวนี้ เรียกว่าหลังจากนั้นสายมานานแล้ว ตอนนี้ก็ปล่อยธนูออกไปเลยทีเดียว เพราะท่านทราบว่าบางคนเรานั้นต้องว่า ต้องสอนกันตรงๆ จึงจะรู้สึก
    “ทราบว่ามีแม่อยู่คนเดียวเท่านั้น แต่โยมไม่ค่อยสนใจในความเป็นอยู่ของท่านเท่าไรนัก ปล่อยให้อยู่ในห้องแคบๆ อับทึบ แทบไม่มีอากาศหายใจอยู่หลังบ้าน ทั้งๆ ที่ท่านเป็นเจ้าของบ้าน ที่ดินทั้งหมดที่โยมอยู่ โยมอยู่อย่างสบายใจแต่ปล่อยให้ท่านอดๆ อยากๆ ไม่สงสารท่านบ้างหรือ ? “ ตอนนี้คุณนายนิ่งเงียบจริงๆ ตอบไม่ได้ เพราะสะอื้นกำลังแล่นมาจุกคอ
    “โยมจัดอาหารถวายพระได้ทุกวัน แต่พระในบ้านอีกองค์หนึ่งคือแม่โยมเคยจัดหาให้ และตอนที่จัดหามาให้อาตมานี่ อาตมาสังเกตดู โยมจัดหาอย่างดีทีเดียว ทำก็ประณีตบรรจง เมื่อก่อนอาตมาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ฉันของโยมไปตามปกติ แต่ตอนนี้บอกตรงๆ ว่ามันกลืนไม่ลง อาตมาน่ะอย่างไรก็ได้ พระเราจะเลือกฉันแต่ที่ดีๆไม่ได้ โยมลองคิดดู “ ท่านเว้นระยะนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
    “อาตมามาคิดหลายวันแล้วว่าจะพูดดีหรือไม่พูดดี สุดท้ายตกลงใจว่าพูดเพราะเห็นใจแม่ของโยม สงสารโยม เพราะผลการกระทำของโยมจะตกแก่ตัวโยมต่อไป และลูกหลานของโยมเห็นโยมทำกับแม่เช่นนี้ มันก็จำเอาไปแล้วทำกับโยมบ้างและทำต่อๆไปไม่สิ้นสุดสักที เพราะเห็นว่าแม่ทำได้ ยายทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน อาตมาพูดแล้วโยมจะโกรธจะเคืองอาตมาก็ตามใจเถอะ อาตมาพูดด้วยความหวังดีต่อโยม โยมลองคิดดูให้ดีก็แล้วกัน”
    น้ำตาเจ้ากรรมมันพังลงจากทำนบตาของคุณนายเมื่อไรไม่ทราบ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล่นจับหัวใจตามวิสัยของคนผิดที่กลับตัวกลับใจได้ทันเวลาสะอื้นพลางกราบลาสมเด็จฯ โดยไม่กล่าวคำอำลาสักน้อยหนึ่ง จะโกรธสมเด็จฯ ที่พูดจี้ใจดำหรือไม่ ไม่ทราบได้

    แต่หลังจากนั้นมา สมเด็จฯ ท่านก็ได้ทราบข่าวมาว่าคุณนายเงียบเหงาไปไม่ร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และจัดการย้ายห้องแม่ให้ไปอยู่ติดๆกับห้องตนบนตึกใหญ่ชั้นล่าง ดูแลท่านอย่างดี ไม่ค่อยออกนอกบ้านเช่นแต่ก่อน และกว่าจะเข้าวัดมาหาสมเด็จฯ อีก ก็ต่อเมื่อเวลาล่วงไปแล้วหลายเดือน ไม่กล้าเข้าหาสมเด็จฯ เพราะความละอายนั่นเอง

    สาธุ ! นับเป็นบุญของคุณนายคนนั้น ที่ได้พบพระเช่นสมเด็จฯ องค์นั้นเสียก่อน และเป็นบุญยิ่งนักที่กลับตัวกลับใจเสียใหม่เมื่อยังไม่สายเกินไป เวลาที่จะสนองพระคุณแม่นั้นยังพอมีบ้าง แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ยังดี ผิดกับบางคน กว่าจะรู้ว่าพ่อแม่เป็นพระในบ้านผู้ประเสริฐ ก็สายเสียแล้ว คือ รู้ก็ต่อเมื่อท่านทั้งสองไม่มีตัวตนอยู่ในโลกนี้แล้ว หรือบางคน แม้จะมีผู้พูดกรอกหูให้ฟังอยู่ทุกวันยังไม่รู้สึกปล่อยให้พระในบ้านตนลำบากลำบนอยู่เหมือนเดิม ก็แล้วมาถึงท่านบ้างล่ะ พระในบ้านของท่านยังสบายดีอยู่หรือ


เรื่องที่ 2. มีชนบทแห่งหนึ่งในประเทศจีน ตั้งอยู่เชิงเขา เป็นภูมิประเทศที่สงบอึดมสมบูรณ์ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร มีลำธารใสไหลผ่านหมู่บ้าน ต้นไม้ทุกต้นใบสดเขียวขจี ในทุ่งนาก็สะพรั่งด้วยต้นข้าวที่ชูรวงเป็นสีทอง ตัดกับท้องฟ้าสีครามมองไปทางไหนก็ชื่นฉ่ำเจริญตา ชาวชนบทส่วนใหญ่มีอาชีพออกไปทำไร่ทำนาผู้อยู่เรือนก็ปั่นฝ้ายทอผ้า ต่างมีความสุข มีฐานะมั่นคง เหนือขึ้นไปบนยอดเขามีกุฏิอยู่จำศีลภาวนา

    เชิงเขามีกระท่อมน้อยหลังหนึ่ง เป็นที่อยู่ของสองแม่ลูก แม่นั้นแม้มีอายุจะย่างเข้าวัยชรา แต่นางยังแข็งแรงพอที่จะรับจ้างเขาทำงานหาเลี้ยงลูกได้ บุตรของนางเป็นเด็กหนุ่มชื่อ เหม็ง ไม่เอาการเอางาน ดื้อด้านไม่เชื่อถ้อยฟังคำมารดา ไม่สนใจในความเหนื่อยยากของแม่ที่ตรากตรำทำงานหนัก เอาแต่เที่ยวเตร่ เล่นสนุก ถึงกระนั้นนางก็รักเขาอย่างสุดสวาทขาดใจ คอยเอาอกเอาใจมิให้อนาทร

    วันหนึ่ง เขาแลเห็นเพื่อนกราบพระพุทธรูป ก็นึกในใจว่า การที่เพื่อนของเขามีฐานะดีคงเป็นเพราะหมั่นกราบไหว้พระ เย็นวันนั้นเขาจึงขึ้นไปบนเขาเข้าไปนมัสการขอพระพุทธรูปจากพระภิกษุที่พำนักอยู่บนยอดเขา เพื่อเอาไปไว้บูชาที่เรือน หวังจะได้มั่งคั่งเหมือนทั้งหลาย พระภิกษุได้ฟังก็กล่าวว่า “ฟังก่อน เหม็ง เจ้าจะแก้จนด้วยการกราบไหว้พระนั้นไม่สำเร็จดอก ป่วยการเปล่า ในเมื่อเรือนของเจ้าก็มีพระอยู่แล้ว จงเคารพบูชาท่านเถิดเจ้าจำเริญ”

    เหม็งได้ฟังก็ฉงน อุทานว่า “ที่บ้านของกระผมไม่เคยมีพระสักองค์ กระผมยากจนหนักหนา จึงอยากได้ไปไว้บูชากับเขาบ้าง”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่