ซุนวู สุดยอดนักการทหารเคยกล่าวไว้ว่า "รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง จักมิพ่าย"
นอกจากการรู้เขาแล้ว "การรู้เรา" เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
เกมเอฟเอคัพรอบ3 ระหว่างเวสต์แฮมฯ กับ แมนฯยูไนเต็ด การเสมอ2-2 ชนิดแมนยูฯเกือบพ่าย เป็นที่ประจักษ์ได้ดีว่า แผน 3-4-1-2 ที่ใช้ในเกมนี้นั้น ไม่ใช่แผนถนัดของนักเตะปีศาจแดงเลย
สอดคล้องกับคำว่า "การรู้เรา" เป็นอย่างยิ่ง แผนถนัดของแมนยูฯที่นักเตะเล่นด้วยกันอย่างรู้ใจคือแผน 4-4-2
โดยเฉพาะการขึ้นบอลทางปีกทั้งสองข้าง ในแผนนี้มักมีทีเด็ดเป็นจังหวะเข้าทำสวยๆหลายต่อหลายครั้ง เป็นสูตรสำเร็จตายตัวที่มากกว่าการครองบอลแต่จังหวะเข้าทำแทบไม่มี ดั่งที่เราเห็นแมนยูฯเกือบพ่ายในเกมที่อัพตันปาร์ค
แผน 3-4-1-2 ของแมนยูฯ กองหลังสามคน อีแวนส์ วิดิช สมอลลิ่ง
มีตัวโฮลด์บอลหนึ่งคน คือสโคลส์ มิดฟิลด์ตัวกลางหนึ่งคนคือ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ กราบสองข้างให้แบ๊คมาอยู่ริมเส้น ทำหน้าที่เหมือนวิงแบ๊คทั้งรุกและรับคือ บุตต์เนอร์ และราฟาเอล โดยมีคากาวะเป็นเพลยเมคเกอร์หลังศูนย์หน้าสองคน นั้นก็คือ ชิชาริโต้และเวลเบ็ค
แผนที่ดีนั้นต้องสอดคล้องกับผู้เล่นด้วย ซึ่งแผนที่แมนยูฯใช้ออกมาวันนี้ เล่นกันได้อย่างขาดๆเกินๆ ไม่มีจุดเด่นที่แน่นอน และมีจุดอ่อนในเกมรับอย่างน่าใจหาย ในการประสานงานกันของแผงหลัง3 คน
รูปแบบแผนนี้จะใช้ความได้เปรียบจากแดนกลางเข้าทำคู่ต่อสู้ แต่มันเหมือนกับว่า แต่ละคนยังไม่คุ้นเคยกับแผนนี้นัก จนเหมือนเสียผู้เล่นฟรีๆไปบางตำแหน่งเลยด้วยซ่้ำ
วิงแบ๊คทั้งสองข้าง จะรุกหรือรับก็ก้ำๆกึ่งๆ ไม่มีความสมดุลย์นัก เพลยเมคเกอร์แนวรุกอย่าง คากาวะจับบอลแรกไม่ดีนัก และอยู่ในตำแหน่งที่ผู้เล่นคนอื่นจ่ายบอลให้เล่นได้ยาก บทบาทของคากาวะจึงน้อยเต็มที
แผงหลังของแมนยุฯนั้นมีปัญหาเดิมๆคือลูกโหม่ง ซึ่งเป็น โจ โคล ครอสให้ คอลลินส์ โหม่งทำประตูทั้ง2ลุก
โดยตั้งแต่ วิดิช หายเจ็บกลับมาฟอร์มยังไม่คงที่และเหมือนความแข็งแกร่งที่เป็นจุดเด่นเดิมยังไม่กลับมา ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การยืนตำแหน่งแผงหลัง 3 คนในแผนนี้ ผู้เล่นแนวรับดูไม่คุ้นเคยเอาซะเลยในการยืนตำแหน่ง
ซึ่งต้องชมเวสต์แฮมที่มาเล่นในระบบ 4-2-3-1 แพคแดนกลางไว้อย่างแน่นหนา ปิดเกมรุกของแมนยูได้อย่างดี และใช้ลูกโด่งสาดยาวและรอเก็บตก โจมตีเป็นระยะๆ
พูดเป็นภาษามวยก็คือ แมนยุฯได้แต่ฟุตเวิรค์แยบหมัดไปมา แต่ไม่มีหมัดใดสร้างความหนักใจให้คู่ต่อสู้ได้เลย จนโดนหมัดเด็ดคู่ต่อสู้สวนกลับมาอย่างเจ็บแสบชนิดเกือบโดนน็อคคาเวที
ในเมื่อแมนยูฯได้แต่จ่ายบอลไปมาอย่างไร้จุดเด่นของตัวเอง ย่อมโดนจุดเด่นของคู่แข่งลงโทษอย่างเจ็บแสบ
นั้นคือลูกโด่งนั้นเอง ซึ่งเป็นทีเด็ดของ แซมอัลลาไดซ์ไม่ว่าเขาจะคุมทีมไหนก็ตาม
กลับกันถ้าเป้นแผนที่นักเตะ คุ้นเคยกับการเล่นกว่านี้ แต่ละตำแหน่งจะไม่ซ้อนตำแหน่งกันจนไร้ทิศทางตามที่เห็นเช่นนี้
สำหรับ คากาวะ เรายังต้องรอดูต่อไปว่า เขาจะสามารถเป็นตัวหลักให้แก่ แมนยูฯได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นแค่อาวุธเสริมในทีมเท่านั้น
จุดเด่นของคากาวะ คือการจ่ายบอลวันทัช นั้นก็คือการจ่ายบอลจังหวะเดียวอย่างชาญฉลาด และเป็นการจ่ายเร็วทันทีเมื่อได้รับบอลจังหวะแรกทำให้คู่แข่งไม่ทันตั้งตัวด้วย
ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมโต้กลับเร็ว เหมือนที่เราเห็นฟอร์มอันโดดเด่นของเขาในการเล่นให้ดอร์ทมุนดฺ์
ซึ่งถ้าแมนยูกลับมาเล่น 4-4-2 น่าสนใจมิใช่น้อยว่า เขาจะได้ดีในตำแหน่งไหน ในเมื่อเขาเป็นตัวรุกเต็มตัว ซึ่งไม่ใช่มิดฟิลด์ตัวกลาง
ถ้าเปรียบเทียบก็คือเอาดาบซามูไร ที่มีความยาวและคมอันเหมาะกับวิถีฟันระยะกว้าง ไปใช้สู้ประชิดตัวรับอาวุธหนักๆ ซึ่งไม่เหมาะกับดาบซามูไรเลย
คากาวะก็เช่นกัน หลังศูนย์หน้าคือวิถีที่อันตรายที่สุดของเขา มิใช่ไปบุ๊ทั้งรุกและรับในแดนกลาง
แต่ถ้าจะให้แมนยูเปลี่ยนแผนที่ถนัดเพื่่อ คากาวะ คนเดียวนั้นคงไม่คุ้มค่าแน่นอน อาจทำได้เป็นบางนัด แต่แผนหลักที่ใช้เป็นหลักของแมนยูคือ 4-4-2
นั้นเป็นจุดที่น่าสนใจตามที่กล่าวข้างต้นว่า สุดท้ายคากาวะจะลงเอยอย่างไร
มองอีกมุม การที่เฟอร์กี้ลองเปลี่ยนแผนนั้นคือผลดีประการหนึ่ง ทำให่้รูัข้อผิดพลาด และได้ทดลองในสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ธรรมชาติในเกมรุกของทีมตัวเองเลย
แฟนปีศาจแดงก็คงหวังว่า ทีมจะใช้แผนที่ถนัดที่สุดในการเล่นให้มากที่สุด
เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าแผนการของคู่ต่อสู้คือ "การไม่รู้ตัวเอง" โดยเฉพาะการวางแผนในเกมที่มีความสำคัญ
มันจะกลายเป็นว่า รู้เขา แต่ไม่รู้เรา รบกี่ครั้งทัพก็ระส่ำระส่ายแทบทุกครั้งนั้นเอง
จ้าวแห่งพิชัยยุทธลูกหนัง
เครดิต :
http://bit.ly/UQgWH4
"รู้เรา"กุญแจดอกแรกแห่งชัยชนะ by...จ้าวแห่งพิชัยยุทธฯ
ซุนวู สุดยอดนักการทหารเคยกล่าวไว้ว่า "รู้เขารู้เรารบร้อยครั้ง จักมิพ่าย"
นอกจากการรู้เขาแล้ว "การรู้เรา" เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง
เกมเอฟเอคัพรอบ3 ระหว่างเวสต์แฮมฯ กับ แมนฯยูไนเต็ด การเสมอ2-2 ชนิดแมนยูฯเกือบพ่าย เป็นที่ประจักษ์ได้ดีว่า แผน 3-4-1-2 ที่ใช้ในเกมนี้นั้น ไม่ใช่แผนถนัดของนักเตะปีศาจแดงเลย
สอดคล้องกับคำว่า "การรู้เรา" เป็นอย่างยิ่ง แผนถนัดของแมนยูฯที่นักเตะเล่นด้วยกันอย่างรู้ใจคือแผน 4-4-2
โดยเฉพาะการขึ้นบอลทางปีกทั้งสองข้าง ในแผนนี้มักมีทีเด็ดเป็นจังหวะเข้าทำสวยๆหลายต่อหลายครั้ง เป็นสูตรสำเร็จตายตัวที่มากกว่าการครองบอลแต่จังหวะเข้าทำแทบไม่มี ดั่งที่เราเห็นแมนยูฯเกือบพ่ายในเกมที่อัพตันปาร์ค
แผน 3-4-1-2 ของแมนยูฯ กองหลังสามคน อีแวนส์ วิดิช สมอลลิ่ง
มีตัวโฮลด์บอลหนึ่งคน คือสโคลส์ มิดฟิลด์ตัวกลางหนึ่งคนคือ ทอม เคลฟเวอร์ลี่ย์ กราบสองข้างให้แบ๊คมาอยู่ริมเส้น ทำหน้าที่เหมือนวิงแบ๊คทั้งรุกและรับคือ บุตต์เนอร์ และราฟาเอล โดยมีคากาวะเป็นเพลยเมคเกอร์หลังศูนย์หน้าสองคน นั้นก็คือ ชิชาริโต้และเวลเบ็ค
แผนที่ดีนั้นต้องสอดคล้องกับผู้เล่นด้วย ซึ่งแผนที่แมนยูฯใช้ออกมาวันนี้ เล่นกันได้อย่างขาดๆเกินๆ ไม่มีจุดเด่นที่แน่นอน และมีจุดอ่อนในเกมรับอย่างน่าใจหาย ในการประสานงานกันของแผงหลัง3 คน
รูปแบบแผนนี้จะใช้ความได้เปรียบจากแดนกลางเข้าทำคู่ต่อสู้ แต่มันเหมือนกับว่า แต่ละคนยังไม่คุ้นเคยกับแผนนี้นัก จนเหมือนเสียผู้เล่นฟรีๆไปบางตำแหน่งเลยด้วยซ่้ำ
วิงแบ๊คทั้งสองข้าง จะรุกหรือรับก็ก้ำๆกึ่งๆ ไม่มีความสมดุลย์นัก เพลยเมคเกอร์แนวรุกอย่าง คากาวะจับบอลแรกไม่ดีนัก และอยู่ในตำแหน่งที่ผู้เล่นคนอื่นจ่ายบอลให้เล่นได้ยาก บทบาทของคากาวะจึงน้อยเต็มที
แผงหลังของแมนยุฯนั้นมีปัญหาเดิมๆคือลูกโหม่ง ซึ่งเป็น โจ โคล ครอสให้ คอลลินส์ โหม่งทำประตูทั้ง2ลุก
โดยตั้งแต่ วิดิช หายเจ็บกลับมาฟอร์มยังไม่คงที่และเหมือนความแข็งแกร่งที่เป็นจุดเด่นเดิมยังไม่กลับมา ซึ่งสิ่งที่เห็นได้ชัดคือ การยืนตำแหน่งแผงหลัง 3 คนในแผนนี้ ผู้เล่นแนวรับดูไม่คุ้นเคยเอาซะเลยในการยืนตำแหน่ง
ซึ่งต้องชมเวสต์แฮมที่มาเล่นในระบบ 4-2-3-1 แพคแดนกลางไว้อย่างแน่นหนา ปิดเกมรุกของแมนยูได้อย่างดี และใช้ลูกโด่งสาดยาวและรอเก็บตก โจมตีเป็นระยะๆ
พูดเป็นภาษามวยก็คือ แมนยุฯได้แต่ฟุตเวิรค์แยบหมัดไปมา แต่ไม่มีหมัดใดสร้างความหนักใจให้คู่ต่อสู้ได้เลย จนโดนหมัดเด็ดคู่ต่อสู้สวนกลับมาอย่างเจ็บแสบชนิดเกือบโดนน็อคคาเวที
ในเมื่อแมนยูฯได้แต่จ่ายบอลไปมาอย่างไร้จุดเด่นของตัวเอง ย่อมโดนจุดเด่นของคู่แข่งลงโทษอย่างเจ็บแสบ
นั้นคือลูกโด่งนั้นเอง ซึ่งเป็นทีเด็ดของ แซมอัลลาไดซ์ไม่ว่าเขาจะคุมทีมไหนก็ตาม
กลับกันถ้าเป้นแผนที่นักเตะ คุ้นเคยกับการเล่นกว่านี้ แต่ละตำแหน่งจะไม่ซ้อนตำแหน่งกันจนไร้ทิศทางตามที่เห็นเช่นนี้
สำหรับ คากาวะ เรายังต้องรอดูต่อไปว่า เขาจะสามารถเป็นตัวหลักให้แก่ แมนยูฯได้หรือไม่ หรือว่าจะเป็นแค่อาวุธเสริมในทีมเท่านั้น
จุดเด่นของคากาวะ คือการจ่ายบอลวันทัช นั้นก็คือการจ่ายบอลจังหวะเดียวอย่างชาญฉลาด และเป็นการจ่ายเร็วทันทีเมื่อได้รับบอลจังหวะแรกทำให้คู่แข่งไม่ทันตั้งตัวด้วย
ซึ่งเหมาะกับการเล่นเกมโต้กลับเร็ว เหมือนที่เราเห็นฟอร์มอันโดดเด่นของเขาในการเล่นให้ดอร์ทมุนดฺ์
ซึ่งถ้าแมนยูกลับมาเล่น 4-4-2 น่าสนใจมิใช่น้อยว่า เขาจะได้ดีในตำแหน่งไหน ในเมื่อเขาเป็นตัวรุกเต็มตัว ซึ่งไม่ใช่มิดฟิลด์ตัวกลาง
ถ้าเปรียบเทียบก็คือเอาดาบซามูไร ที่มีความยาวและคมอันเหมาะกับวิถีฟันระยะกว้าง ไปใช้สู้ประชิดตัวรับอาวุธหนักๆ ซึ่งไม่เหมาะกับดาบซามูไรเลย
คากาวะก็เช่นกัน หลังศูนย์หน้าคือวิถีที่อันตรายที่สุดของเขา มิใช่ไปบุ๊ทั้งรุกและรับในแดนกลาง
แต่ถ้าจะให้แมนยูเปลี่ยนแผนที่ถนัดเพื่่อ คากาวะ คนเดียวนั้นคงไม่คุ้มค่าแน่นอน อาจทำได้เป็นบางนัด แต่แผนหลักที่ใช้เป็นหลักของแมนยูคือ 4-4-2
นั้นเป็นจุดที่น่าสนใจตามที่กล่าวข้างต้นว่า สุดท้ายคากาวะจะลงเอยอย่างไร
มองอีกมุม การที่เฟอร์กี้ลองเปลี่ยนแผนนั้นคือผลดีประการหนึ่ง ทำให่้รูัข้อผิดพลาด และได้ทดลองในสิ่งใหม่ๆ
ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่า มันไม่ใช่ธรรมชาติในเกมรุกของทีมตัวเองเลย
แฟนปีศาจแดงก็คงหวังว่า ทีมจะใช้แผนที่ถนัดที่สุดในการเล่นให้มากที่สุด
เพราะสิ่งที่น่ากลัวกว่าแผนการของคู่ต่อสู้คือ "การไม่รู้ตัวเอง" โดยเฉพาะการวางแผนในเกมที่มีความสำคัญ
มันจะกลายเป็นว่า รู้เขา แต่ไม่รู้เรา รบกี่ครั้งทัพก็ระส่ำระส่ายแทบทุกครั้งนั้นเอง
จ้าวแห่งพิชัยยุทธลูกหนัง
เครดิต : http://bit.ly/UQgWH4