หากเอ่ยถึง "อนุศาสนาจารย์" ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลายคนคงไม่เคยรู้จัก ทว่าหน่วยนี้กลับมีความสำคัญในการขัดเกลา บ่มเพาะ ปลูกฝั่ง สิ่งดีงามให้เกิดขึ้นในหัวใจของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์นั่นเอง พ.ต.ท.ณัฏฐ์พัชร์ โฆษิตเลิศ สารวัตรอนุศาสนาจารย์ ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เล่าถึงความจำเป็นของอาชีพตำรวจ ต้องมีหลักยึดและคุณธรรม ที่บ่มเพาะขัดเขลามาจากเนื้อแท้ของธรรมะตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อเสริมส่งจริยธรรมของตำรวจให้เป็นที่ศรัทธาของประชาชน
-กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์มีหน้าที่อย่างไรบ้าง
คำว่า "อนุศาสนาจารย์" แปลว่า ผู้สอนศาสนาของหน่วยตำรวจและทหาร มีหน้าที่เกี่ยวกับพิธีการทางศาสนาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกลุ่มงานศาสนาจารย์อยู่ในกองสวัสดิการอีกทีหนึ่ง มีหน้าที่ในทางศาสนพิธี เช่น งานวันตำรวจ วันสำคัญทางศาสนา ที่จะมีการจุดธูปเทียนอาราธนาศีล อีกทั้งยังมีการให้ความรู้แก่ข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมให้แก่ข้าราชการตำรวจ วิทยากรก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจการฝึกอบรมจัดโครงการต่างๆ ปฏิบัติธรรมในวันสำคัญอย่างเช่น จัดพิธีอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจ 15 วันเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวันพ่อ หรือวันแม่ หรือการปฏิบัติธรรม อบรมพัฒนาจิตใจประมาณ 7 วันโดยไม่ถือเป็นวันลา
รวมทั้งให้คำแนะนำผู้บังคับบัญชาในปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับศาสนาและขวัญของตำรวจ และที่สำคัญคือ เมื่อเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจของเราเสียชีวิตในกรณีต่างๆ ต้องมีหน้าที่ไปช่วยทำพิธีทางสงฆ์ และช่วยปลอบประโลมจิตใจให้คลายความโศกเศร้าเสียใจแก่ญาติของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.มีการเน้นย้ำเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีการจัดพิธีและตอบแทนเขาให้สมเกียรติ และปลอบประโลมญาติ อย่างทำพิธีการอย่างสมเกียรติ แต่ในปัจจุบันกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์มีกำลังพลเพียงแค่ 3 นายเท่านั้น
-หลายคนไม่มีใครรู้จักกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์
ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนถามว่า หน้าที่ของกลุ่มงานนี้เป็นอย่างไร แต่อนุศาสนาจารย์ของทหารนั้นมีมานานกว่า 90 ปีแล้ว อย่างทหารที่เขาไปรบ มีการเสียชีวิตก็จะมีการฝังศพให้ทำพิธีกรรมทางศาสนาให้เขามีขวัญและกำลังใจ และสอนให้เขาอยู่กันแบบมีจริยธรรม หน่วยงานนี้มีที่มาจากต่างประเทศ แต่ก็ปรับมาใช้กับศาสนาพุทธ ตอนนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้สั่งการให้มีการเปิดการอบรมอนุศาสนาจารย์ ในเวลาอันใกล้จะมีการเปิดอบรมอนุศาสนาจารย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันคนมีไม่เพียงพอ
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะมีการเพิ่มจำนวนของอนุศาสนาจารย์ตำรวจให้มากขึ้น จะมีการอบรมอนุศาสนาจารย์เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้น อย่างน้อยมีจังหวัดละหนึ่งคน เนื่องจากในปัจจุบันมีจำนวนน้อยมาก ที่มีน้อย เพราะกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์เพิ่งตั้งมาได้ประมาณ 3 ปี แต่ในปัจจุบันตำรวจมีอยู่ประมาณ 2 แสนกว่าคน ไม่เพียงพอกับอนุศาสนาจารย์ที่มีเพียง 3 คนเท่านั้น อยากให้มีอนุศาสนาจารย์เพิ่มมากขึ้น เพื่อการอบรมเกี่ยวกับศีลธรรม จรรยาบรรณ จริยธรรม กับข้าราชการตำรวจเพิ่มขึ้น เพราะทุกวันนี้มีแต่การปฏิบัติงาน แต่ไม่มีการเพิ่มหรือเสริมในเรื่องจริยธรรมเข้าไปมากเท่าที่ควร การอบรมในครั้งนี้จะมีการคัดเลือกตำรวจจากกองบัญชาการต่างๆ ทั่วประเทศเข้ามาเพื่ออบรมและขยายผลไปต่อ ซึ่งครั้งนี้เหมือนเราเป็นการอบรมครูเพื่อที่จะไปสอนเหล่าข้าราชการตำรวจในพื้นที่ต่อไป ซึ่งจะได้มีอนุศาสนาจารย์ในทั่วประเทศ
-จะนำศาสนาช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างไร
นอกจากอบรมตำรวจด้วยกันแล้ว ความฝันของผมคือ หลังจากที่ทุกที่ส่งคนมาอบรมแล้วก็อยากให้อนุศาสนาจารย์ในพื้นที่เข้าไปมวลชนสัมพันธ์ เพราะแต่เดิมเขาไม่ใช่คนไม่ดี แต่การมองเห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี มีเพื่อนชักจูง เขาก็จะกลายจากผ้าขาวกลายเป็นผ้าสีดำ แต่เมื่อเรามองเห็นวิธีการที่ทำให้เขาไม่หลงผิด เราก็ต้องกล่อมเกลาจิตใจเด็กเหล่านั้นตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาแก้เมื่อปลายเหตุหลังจากเหตุเกิดแล้ว ทำให้เขาประพฤติดีให้ได้ จึงอยากจะขยายวิถีพุทธไปสู่เด็กๆ ตอนนี้บ้านเมืองเรา มองไปทางไหนเห็นแต่เยาวชนที่มีการทะเลาะวิวาท ดื่มสุรา การก่อคดีอาชญากรรมบ่อยครั้งก็มาจากเยาวชน ต้องมีการนำเด็กดีกับเด็กไม่ดีควรจะเอามาอบรมด้วยกัน เพื่อมาละลายพฤติกรรม ต้องเอาทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน อบรมเข้าค่ายธรรมะและมีกิจกรรมทางพุทธให้แต่ละพื้นที่เขาทำ ซึ่งเด็กจะได้รู้ถึงผลที่ได้รับเมื่อเขากระทำความผิดในกรณีต่างๆ ต่อไปเมื่อมีอนุศาสนาจารย์พร้อมครบทุกที่ในแต่ละหน่วยก็จะมีการป้อนวิถีพุทธลงไปในชุมชน ในตัวเด็กต้องมีการหล่อหลอมตั้งแต่เด็ก โตขึ้นไปจะได้ไม่ไปเบียดเบียนสังคม คนที่ดีๆ ก็จะได้รับการคุ้มครอง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน
-แล้วตำรวจที่หลงผิดจะปลูกฝังอย่างไร
ต้องใช้วิธีปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ต้องมีการหล่อหลอมเขาตั้งแต่เด็ก เหมือนเพาะเมล็ดพันธุ์ชนิดใดย่อมได้ผลเช่นนั้น เหมือนตำรวจที่จบออกมาใหม่ๆ อุดมการณ์เต็มเปี่ยม แต่เมื่อทำงานไปสักพักอยู่ในสังคมที่แย่จากรุ่นพี่บางคนก็กลายเป็นเสียคนเอาได้ง่ายๆ ถ้าเราหล่อหลอมตั้งแต่เด็กๆ โตไปเขาก็จะมองสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูกได้ว่า ทำดีแล้วต้องได้ดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกัน วิถีพุทธมีหลายอย่าง แต่เน้นการปฏิบัติตนในสังคม การใช้กฎหมายให้เขาใช้อย่างมีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ไม่เห็นเงินมากกว่าหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นที่สิ่งที่เขาต้องใช้เวลา ต้องปลูกฝังว่าคนทำดีต้องได้ดี และต้องส่งเสริมให้เขาได้ดีในหน้าที่การงาน แต่ไม่ใช่คนทำดีแต่ไม่มีเส้นก็อยู่ไปแบบนั้น มันก็ไม่มีกำลังใจ เขาก็ลาออก แต่คนที่ไม่ทำอะไรกลับเจริญ ต้องปลูกฝังเขาไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นกฎธรรมชาติว่า ทำดีก็ต้องได้ดี เมื่อน้ำสีดำมันมากกว่าน้ำสะอาดแล้วมันก็สกปรกไปแล้ว ต้องทำให้เขาคิดกลับใจให้ได้ในรายที่หลงผิดไปแล้วให้กลับเป็นคนดีดังเดิม
-ศาสนากับอาชีพตำรวจมีความจำเป็นเพียงใด
มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ตำรวจหรือคนไทยนั้นห่างศาสนาเยอะมาก ในต่างประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด แต่บ้านเราไม่เป็นจริง มีการวิ่งเต้นสารพัด เราต้องมาคุยว่าผิดต้องผิด ถูกต้องถูก ถ้าทำผิดต้องติดคุก เราควรจะแก้เขาก่อนที่เขาจะไปก่อเหตุ ควรจะบำบัดเขาตอนนี้ก่อนที่จะต้องไปกำจัดเขาจากสังคม ไม่อยากให้เขาติดอยู่ในวัตถุ ทุกอย่างอยู่ที่การปลูกฝัง ปรับสภาพเขา อย่าไปคิดถึงเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง แต่อยากให้คิดว่า วันนี้พวกคุณทำอะไรให้มีประโยชน์ต่อสังคมแล้วหรือยัง ถ้ามียศมีตำแหน่งห็อยากให้คิดว่าเราเดินทางผิดไปหรือเปล่า และช่วยให้สังคมประชาชนได้รับความปลอดภัยบ้างหรือไม่
..........
(หมายเหตุ : 'ศาสนบำบัด'ขัดเกลา..จริยธรรมตำรวจ : สัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.ท.ณัฏฐ์พัชร์ โฆษิตเลิศ สารวัตรอนุศาสนาจารย์ ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพัฐอร พิจารณ์โสภณ)
คมชัดลึก
เคยมีพระท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าได้ไปเทศน์ให้ที่ประชุมตำรวจที่หนึ่งฟังเกี่ยวกับหลักธรรมแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ปรากฎว่าตำรวจหลายท่านบอก ไม่เคยได้ยินได้ฟังหลักธรรมแบบนี้เลย เข้าใจแต่เรื่องพระเครื่อง
ตำรวจเตรียมเพิ่มอนุศาสนาจารย์เพื่ออบรมศีลธรรมจริยธรรมแก่ตำรวจ
-กลุ่มงานอนุศาสนาจารย์มีหน้าที่อย่างไรบ้าง
คำว่า "อนุศาสนาจารย์" แปลว่า ผู้สอนศาสนาของหน่วยตำรวจและทหาร มีหน้าที่เกี่ยวกับพิธีการทางศาสนาของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยกลุ่มงานศาสนาจารย์อยู่ในกองสวัสดิการอีกทีหนึ่ง มีหน้าที่ในทางศาสนพิธี เช่น งานวันตำรวจ วันสำคัญทางศาสนา ที่จะมีการจุดธูปเทียนอาราธนาศีล อีกทั้งยังมีการให้ความรู้แก่ข้าราชการตำรวจเกี่ยวกับศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมให้แก่ข้าราชการตำรวจ วิทยากรก็จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจการฝึกอบรมจัดโครงการต่างๆ ปฏิบัติธรรมในวันสำคัญอย่างเช่น จัดพิธีอุปสมบทหมู่ข้าราชการตำรวจ 15 วันเพื่อเฉลิมพระเกียรติในวันพ่อ หรือวันแม่ หรือการปฏิบัติธรรม อบรมพัฒนาจิตใจประมาณ 7 วันโดยไม่ถือเป็นวันลา
รวมทั้งให้คำแนะนำผู้บังคับบัญชาในปัญหาทั้งปวงที่เกี่ยวกับศาสนาและขวัญของตำรวจ และที่สำคัญคือ เมื่อเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจของเราเสียชีวิตในกรณีต่างๆ ต้องมีหน้าที่ไปช่วยทำพิธีทางสงฆ์ และช่วยปลอบประโลมจิตใจให้คลายความโศกเศร้าเสียใจแก่ญาติของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตด้วย ซึ่ง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.มีการเน้นย้ำเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ ต้องมีการจัดพิธีและตอบแทนเขาให้สมเกียรติ และปลอบประโลมญาติ อย่างทำพิธีการอย่างสมเกียรติ แต่ในปัจจุบันกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์มีกำลังพลเพียงแค่ 3 นายเท่านั้น
-หลายคนไม่มีใครรู้จักกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์
ไปที่ไหนก็จะมีแต่คนถามว่า หน้าที่ของกลุ่มงานนี้เป็นอย่างไร แต่อนุศาสนาจารย์ของทหารนั้นมีมานานกว่า 90 ปีแล้ว อย่างทหารที่เขาไปรบ มีการเสียชีวิตก็จะมีการฝังศพให้ทำพิธีกรรมทางศาสนาให้เขามีขวัญและกำลังใจ และสอนให้เขาอยู่กันแบบมีจริยธรรม หน่วยงานนี้มีที่มาจากต่างประเทศ แต่ก็ปรับมาใช้กับศาสนาพุทธ ตอนนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ได้สั่งการให้มีการเปิดการอบรมอนุศาสนาจารย์ ในเวลาอันใกล้จะมีการเปิดอบรมอนุศาสนาจารย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติขึ้น เนื่องจากในปัจจุบันคนมีไม่เพียงพอ
ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ จะมีการเพิ่มจำนวนของอนุศาสนาจารย์ตำรวจให้มากขึ้น จะมีการอบรมอนุศาสนาจารย์เป็นหลักสูตรที่เกิดขึ้น อย่างน้อยมีจังหวัดละหนึ่งคน เนื่องจากในปัจจุบันมีจำนวนน้อยมาก ที่มีน้อย เพราะกลุ่มงานอนุศาสนาจารย์เพิ่งตั้งมาได้ประมาณ 3 ปี แต่ในปัจจุบันตำรวจมีอยู่ประมาณ 2 แสนกว่าคน ไม่เพียงพอกับอนุศาสนาจารย์ที่มีเพียง 3 คนเท่านั้น อยากให้มีอนุศาสนาจารย์เพิ่มมากขึ้น เพื่อการอบรมเกี่ยวกับศีลธรรม จรรยาบรรณ จริยธรรม กับข้าราชการตำรวจเพิ่มขึ้น เพราะทุกวันนี้มีแต่การปฏิบัติงาน แต่ไม่มีการเพิ่มหรือเสริมในเรื่องจริยธรรมเข้าไปมากเท่าที่ควร การอบรมในครั้งนี้จะมีการคัดเลือกตำรวจจากกองบัญชาการต่างๆ ทั่วประเทศเข้ามาเพื่ออบรมและขยายผลไปต่อ ซึ่งครั้งนี้เหมือนเราเป็นการอบรมครูเพื่อที่จะไปสอนเหล่าข้าราชการตำรวจในพื้นที่ต่อไป ซึ่งจะได้มีอนุศาสนาจารย์ในทั่วประเทศ
-จะนำศาสนาช่วยแก้ไขปัญหาสังคมได้อย่างไร
นอกจากอบรมตำรวจด้วยกันแล้ว ความฝันของผมคือ หลังจากที่ทุกที่ส่งคนมาอบรมแล้วก็อยากให้อนุศาสนาจารย์ในพื้นที่เข้าไปมวลชนสัมพันธ์ เพราะแต่เดิมเขาไม่ใช่คนไม่ดี แต่การมองเห็นพฤติกรรมที่ไม่ดี มีเพื่อนชักจูง เขาก็จะกลายจากผ้าขาวกลายเป็นผ้าสีดำ แต่เมื่อเรามองเห็นวิธีการที่ทำให้เขาไม่หลงผิด เราก็ต้องกล่อมเกลาจิตใจเด็กเหล่านั้นตั้งแต่แรก ไม่ใช่มาแก้เมื่อปลายเหตุหลังจากเหตุเกิดแล้ว ทำให้เขาประพฤติดีให้ได้ จึงอยากจะขยายวิถีพุทธไปสู่เด็กๆ ตอนนี้บ้านเมืองเรา มองไปทางไหนเห็นแต่เยาวชนที่มีการทะเลาะวิวาท ดื่มสุรา การก่อคดีอาชญากรรมบ่อยครั้งก็มาจากเยาวชน ต้องมีการนำเด็กดีกับเด็กไม่ดีควรจะเอามาอบรมด้วยกัน เพื่อมาละลายพฤติกรรม ต้องเอาทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน อบรมเข้าค่ายธรรมะและมีกิจกรรมทางพุทธให้แต่ละพื้นที่เขาทำ ซึ่งเด็กจะได้รู้ถึงผลที่ได้รับเมื่อเขากระทำความผิดในกรณีต่างๆ ต่อไปเมื่อมีอนุศาสนาจารย์พร้อมครบทุกที่ในแต่ละหน่วยก็จะมีการป้อนวิถีพุทธลงไปในชุมชน ในตัวเด็กต้องมีการหล่อหลอมตั้งแต่เด็ก โตขึ้นไปจะได้ไม่ไปเบียดเบียนสังคม คนที่ดีๆ ก็จะได้รับการคุ้มครอง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกัน
-แล้วตำรวจที่หลงผิดจะปลูกฝังอย่างไร
ต้องใช้วิธีปลูกฝังกันตั้งแต่เด็กเหมือนกัน ต้องมีการหล่อหลอมเขาตั้งแต่เด็ก เหมือนเพาะเมล็ดพันธุ์ชนิดใดย่อมได้ผลเช่นนั้น เหมือนตำรวจที่จบออกมาใหม่ๆ อุดมการณ์เต็มเปี่ยม แต่เมื่อทำงานไปสักพักอยู่ในสังคมที่แย่จากรุ่นพี่บางคนก็กลายเป็นเสียคนเอาได้ง่ายๆ ถ้าเราหล่อหลอมตั้งแต่เด็กๆ โตไปเขาก็จะมองสิ่งที่ผิดสิ่งที่ถูกได้ว่า ทำดีแล้วต้องได้ดี รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยกัน วิถีพุทธมีหลายอย่าง แต่เน้นการปฏิบัติตนในสังคม การใช้กฎหมายให้เขาใช้อย่างมีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม ไม่เห็นเงินมากกว่าหน้าที่การงาน ซึ่งเป็นที่สิ่งที่เขาต้องใช้เวลา ต้องปลูกฝังว่าคนทำดีต้องได้ดี และต้องส่งเสริมให้เขาได้ดีในหน้าที่การงาน แต่ไม่ใช่คนทำดีแต่ไม่มีเส้นก็อยู่ไปแบบนั้น มันก็ไม่มีกำลังใจ เขาก็ลาออก แต่คนที่ไม่ทำอะไรกลับเจริญ ต้องปลูกฝังเขาไปเรื่อยๆ เหมือนเป็นกฎธรรมชาติว่า ทำดีก็ต้องได้ดี เมื่อน้ำสีดำมันมากกว่าน้ำสะอาดแล้วมันก็สกปรกไปแล้ว ต้องทำให้เขาคิดกลับใจให้ได้ในรายที่หลงผิดไปแล้วให้กลับเป็นคนดีดังเดิม
-ศาสนากับอาชีพตำรวจมีความจำเป็นเพียงใด
มีความจำเป็นอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ตำรวจหรือคนไทยนั้นห่างศาสนาเยอะมาก ในต่างประเทศมีการบังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด แต่บ้านเราไม่เป็นจริง มีการวิ่งเต้นสารพัด เราต้องมาคุยว่าผิดต้องผิด ถูกต้องถูก ถ้าทำผิดต้องติดคุก เราควรจะแก้เขาก่อนที่เขาจะไปก่อเหตุ ควรจะบำบัดเขาตอนนี้ก่อนที่จะต้องไปกำจัดเขาจากสังคม ไม่อยากให้เขาติดอยู่ในวัตถุ ทุกอย่างอยู่ที่การปลูกฝัง ปรับสภาพเขา อย่าไปคิดถึงเรื่องยศเรื่องตำแหน่ง แต่อยากให้คิดว่า วันนี้พวกคุณทำอะไรให้มีประโยชน์ต่อสังคมแล้วหรือยัง ถ้ามียศมีตำแหน่งห็อยากให้คิดว่าเราเดินทางผิดไปหรือเปล่า และช่วยให้สังคมประชาชนได้รับความปลอดภัยบ้างหรือไม่
..........
(หมายเหตุ : 'ศาสนบำบัด'ขัดเกลา..จริยธรรมตำรวจ : สัมภาษณ์พิเศษ พ.ต.ท.ณัฏฐ์พัชร์ โฆษิตเลิศ สารวัตรอนุศาสนาจารย์ ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพัฐอร พิจารณ์โสภณ)
คมชัดลึก
เคยมีพระท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าได้ไปเทศน์ให้ที่ประชุมตำรวจที่หนึ่งฟังเกี่ยวกับหลักธรรมแท้ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ปรากฎว่าตำรวจหลายท่านบอก ไม่เคยได้ยินได้ฟังหลักธรรมแบบนี้เลย เข้าใจแต่เรื่องพระเครื่อง