เรียบร้อยไปแล้วสำหรับการงดออกอากาศหนังเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ซึ่งทำให้เกิดกระแสขึ้นอย่างมากใน Social Network มากมาย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการประนามรัฐบาล ด้วยข้อกล่าวหาแทรกแซงสื่อ เผด็จการสื่อ เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมสังเกตนั้นพบว่า หลังจากที่มีข่าวลือตั้งแต่บ่ายกว่าๆ ของวันที่ 4/01/2013 ว่าจะมีการทำให้หนังจบเร็วขึ้น หรือสั่งงดออกอากาศเลย ในเวลาไม่ถึง 2 hr ที่มีข่าวลือออกมา ก็มีการ ประโคม บทความที่มีเนื้อหาโจมตีทันที โดยข้อมูลที่นำมาใช้ก็มีพร้อม ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดหนังที่ เคยสร้างมาแล้ว มีข่าวว่าโดน กลั่นแกล้งทางการเมือง หรือโดนแบนไป ซึ่งชื่อหนังพวกนี้ ให้ผมนึกสักวัน บางครั้งยังนึกไม่ออกเลย แต่ว่าคนที่ Post สามารถนึกได้เร็วมาก แถมยังรู้มาก่อนว่า หนังเรื่อง “เหนือเมฆ 2” จะโดนงดออกอากาศแน่นอน แถมยังเขียนบทความได้ละเอียดสุดๆ เร็วมาก มีการPost ตั้งแต่ก่อนเวลา 18.00 ซึ่งช่อง 3 จะออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการมาอีก ผมเลยลองวิเคราะห์ โดยใช้สติ ไม่ได้ใช้อารมณ์ ถึงกรณีนี้ ว่าการงดออกอากาศจะเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอะไรบ้าง

1.    เกิดจากการที่รัฐบาล สั่งให้ช่อง 3 งดออกอากาศ
   •    สาเหตุ น่าจะมากจากการที่ รัฐบาลทนไม่ได้ที่หนังเรื่องนี้ มีบทละครที่เสียดสีการเมือง จึงทำการสั่งให้แบน
   •    บทวิเคราะห์ของผม โดยส่วนตัวผมว่าละครเรื่องนี้ เรตติ้งก็ธรรมดา ไม่ได้ดังแบบทะลุเพดานเหมือนละครเรื่อง “แรงเงา” และผมก็เกิดคำถามขึ้นในใจหลายข้อ ด้วยตัวหนังเองก็ใกล้จบแล้ว คือกำหนดการณ์เดิมจะจบในวันที่ 6/01/2013 แล้ว ทำไมต้องมีการแบนทันที ถ้าหากรัฐบาลอยากแบนจริงๆ ทำไมไม่สั่งตั้งแต่ตอนที่หนัง On Air ใหม่ๆ ปกติแล้วผมเชื่อว่าการแทรกแซงสื่อของรัฐบาล มีมานานแล้ว แต่จะทำได้เนียนกว่านี้มาก โดนค่อยๆ ตัดบทละครที่ทางฝ่ายรัฐบาลไม่ชอบออกไปเรื่อยๆ จนประชาชนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่า กำลังโดนแทรกแซงอยู่ แต่ว่าในครั้งนี้แปลกมาก คือมีการปล่อยข่าวออกมากันสนุกสนาน และก็สั่งหักดิบงดออกอากาศไปดื้อๆ แบบนั้น ดังนั้นผมขอสรุปว่า หากสาเหตุที่หนังงดออกอากาศ เป็นเพราะว่ารัฐบาลสั่ง แสดงว่ารัฐบาลโง่มาก ไม่มีสมอง ครับ เป็นการฆ่าตัวตายแบบโง่ๆ และผมก็จะขอร่วมเป็นอีกหนี่งเสียงที่ขอประนาม การกระทำเช่นนี้ด้วยครับ

2.    เกิดจากระบบการตรวจสอบภายในของช่อง 3 เอง
   •    สาเหตุ อาจจะเกิดมาจากการที่ ช่อง 3 เคยพลาดตรงกระบวนการตรวจสอบเนื้อหาของรายการ TGT ที่มีการนำเอาการแสดง Body Paint มา On Air คราวนี้ ก็เลยมีการตรวจสอบกันมากขึ้น และเมื่อทางช่อง 3 เห็นว่าเนื้อหามีการเสียดสีสถาบันการเมือง จึงทำการงดออกอากาศในที่สุด
   •    บทวิเคราะห์ของผม โดยส่วนตัวแล้วปกติละคร หรือรายการอะไรก็ตาม ก็จะมีระบบการตรวจสอบอยู่แล้ว ว่าเนื้อหาอยู่ใน Rate ไหน เหมาะสมที่จะ On Air หรือไม่ ดังนั้นทางฝ่ายตรวจสอบของทางช่อง 3 ก็น่าจะได้เห็นเนื้อหาของหนังเรื่อง “เหนือเมฆ 2” ล่วงหน้ามาแล้ว และเห็นว่าสามารถนำมา On Air ได้ อีกทั้งตัวละครเองก็ใกล้จะจบอยู่แล้ว จึงไม่มีเหตุอะไรที่จะงดออกอากาศดื้อๆ แบบนี้ เพราะว่าจะทำให้ชื่อเสียงของ ช่อง 3 เสียหาย และเสียรายได้จากการโฆษณา แม้ว่าจะไม่มากเท่าไรหากเทียบกับละครเรื่องอื่นๆ รวมทั้งจะทำให้ผู้ที่ติดตามละครเรื่องนี้ เสียความรู้สึกอย่างมากครับ

3.    เกิดจากการที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล วางยุทธศาสตร์ ก่อให้เกิดความขัดแย้ง และต่อต้านรัฐบาล
   •    สาเหตุ อาจจะเกิดจากการที่ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล ใช้เงินจำนวนมหาศาล ซื้อช่อง 3 ให้ทำการงดออกอากาศละครเรื่อง “เหนือเมฆ 2”  
   •    บทวิเคราะห์ของผม ผมคงต้องบอกว่าอันนี้เป็นความคิดแบบนอกกรอบของผมเอง จากประสบการณ์ที่อ่านสามก๊กจบมามากกว่า 3 รอบแล้ว โดยที่มองในมุมด้านลบมากๆ ที่มองว่าฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลวางยุทธศารสตร์ การทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล (ไม่รู้ว่ายังมีเหลืออยู่หรือเปล่า) โดยได้วางยุทธศาสตร์ Social Marketing ให้สังคมเกิดความขัดแย้ง และต่อต้านรัฐบาล โดยการปล่อย บทความต่างๆ มาโจมตีรัฐบาลมากมาย หลังจากปล่อยข่าวลือเรื่องละคร “เหนือเมฆ 2” จะโดนแบน โดยให้คนที่เล่น Internet ช่วยกัน Share บทความออกไปมากๆ หลักการ Social Marketing นี้ เคยใช้มาหลายรอบแล้วในการ ปลุกระดมความคิดของคนที่เล่น Internet เพราะว่าสังคมไทย ชอบคิดว่า ข่าวที่ได้จาก Internet นั้น เป็นเรื่องจริงเสมอ และทำการ Share ออกไปโดยที่ขาดสติในการไตร่ตรอง เหตุและผล ทำไมผมจึงคิดประเด็นนี้ขึ้นมา ก็เพราะว่า ในคนที่เล่น Internet ส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพ กว่า 60% เป็นคนกรุงเทพ และในกรุงเทพนั้นจะมีการเลือกตั้งผู้ว่า ในวันที่ 17/02/2013 นี้แล้ว จากข้อมูลทั้งหมด หลังจากพรรคการเมืองใหญ่ ได้ทำการประกาศตัวผู้สมัครชิง ผู้ว่า กรุงเทพแล้ว ไม่นาน โดยผู้สมัครคนนี้ ก็มีคดีความต่างๆ เกี่ยวกับการทุจริตมากพอประมาณ บวกกับบุคลิกที่ดูไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก รวมทั้งที่มีเกาเหลากับรัฐบาล ในการแก้ปัญหาน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา ที่มีการแกล้ง และกล่าวหากันไปมา จนโพลบอกว่าการเลือกตั้งจะค่อนข้างสูสี กับผู้สมัครจากฝ่ายรัฐบาล สุดท้ายก็มีการสร้างประเด็นนี้ขึ้นมา เพื่อให้สังคม เกิดความสับสน ขัดแย้ง และเกลียดชังรัฐบาล รวมทั้งการสร้างบทความผ่านทาง Social Network ต่างๆ เพื่อให้คน Share กันเยอะๆ โดยหวังผลทางการเมืองให้คนที่เล่น Internet ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนกรุงเทพ ได้เห็นข้อมูลที่สร้างมาต่างๆ นาๆ ทำให้คนกรุงเทพ จากเดิมที่ไม่ค่อยชอบรัฐบาลอยู่แล้ว ยิ่งเกิดอารมณ์ร่วมในการต่อต้านมากขึ้นไปอีก และมุ่งหวังผลให้คนกรุงเทพ หันกลับมาเลือกผู้สมัครจากพรรคการเมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้น หากว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องจริง คนวางแผนถือว่าฉลาดมาก และเป็นคนที่เลวมาก ที่ทำให้บ้านเมืองแตกแยก ซึ่งผมหวังว่าคงไม่มีคนที่ทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ และเป็นเพียงความคิดด้านลบสุดๆ ของผมแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น

      เมื่อผม Post บทความนี้ไปแล้ว หลายๆ คนอาจจะโกรธหรือเกลียดผมไปเลยก็ได้ แต่ว่าผมอยากให้สังคมใช้สติกันให้มากขึ้น คนที่จะตอบได้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกันแน่ ก็คือ ผู้บริหารช่อง 3 ครับ ต้องทำการแถลงให้ชัดเจนไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้น และใครเป็นคนสั่ง ยกเว้นกรณีสาเหตุข้อ 3 ที่ทางผู้บริหารช่อง 3 ไม่มีทางยอมรับแน่ๆ ผมหวังว่าทาง คนที่มีความรู้ความสามารถด้าน Internet และทางทางเงิน จะสามารถตรวจสอบความผิดปกติ ของการเคลื่อนไหวทางการเงิน ของบุคคลที่เกี่ยวข้องต่างๆ ซึ่งผมคาดว่าไม่น่าจะต่ำกว่า 100 ล้าน แน่ๆ (นับว่าน้อยมากหากเทียบกับการทุจริตโครงการต่างๆ นับพันล้าน หมื่นล้าน) ถ้าเป็นจริงตามเหตุผลข้อ 3 แต่มันก็เป็นเพียงการคิดในด้านลบสุดๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้เท่านั้น ข้อเท็จจริงอาจจะเป็นรัฐบาลที่สั่งจริงๆ ก็ได้  แต่ที่ผมสงสัยคือ ผลที่เกิดขึ้นของเหตุการณ์นี้ ด้านที่ดีกับรัฐบาล คือ ไม่ต้องทนให้หนังเรื่องนี้ เสียดสีนักการเมือง หรือทำให้สถาบันการเมือง สูญเสียความน่าเชื่อถือ ผลเสียที่ตามมาคือ รัฐบาลโดนถล่มเละ ว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการสื่อ แทรกแซงสื่อ และโดนโจมตีจากนักวิชาการ นักแสดง นักเขียนบทละคร ฯลฯ

      สุดท้ายเมื่อความจริงยังไม่กระจ่าง ก็ขอให้ทุกฝ่ายมีสติกันให้มาก ลดความเกลียดชัง ลดความขัดแย้ง และหยุดการ Share ข้อมูลที่โจมตีฝ่ายตรงข้ามก่อน อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มที่ไม่หวังดีต่อประเทศ และเมื่อความจริงเปิดเผยออกมา ค่อยทำการประนาม และให้สังคมลงโทษคนเหล่านั้นด้วยการ ไม่เลือกพวกนั้นเข้ามาบริหาร หรือเป็นตัวแทนของ ประชาชนชาวไทยอีก อย่าให้คนเลวมีที่ยืนในสังคมได้