สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อย่างแรกที่ต้องคิดนะคะ
1.ว่าต้องมีรายจ่ายอะไบ้างที่เกิดจากการขาย เช่น ค่าเช่าที่(เอา 1 เดือนมาหารวันที่ขาย เช่นขายทุกวันก็เอา 10000 มาหาร 30 หรือหยุดเสาร์อาทิตย์ 10000 ก็หารแค่ 20 ) ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกจ้าง ค่าเสียเวลา(กรณีที่ลาออกมาขาย ต้องเสียเงินไปเท่าไร หรือกรณีเดินทางไปรับสินค้า ทำให้วันนั้นหยุดร้าน) ค่าเดินทางไปรับสินค้า(ค่าน้ำมันก็ต้องบวก)
=> จะได้รู้ว่าแต่วันต้องจ่ายเท่าไร + ต้นทุน = รายจ่ายที่เกิดขึ้น
2.ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและพื้นที่ที่ขาย คือสถานที่ขาย กลุ่มลูกค้า กำลังซื้อของลูกค้า และเทรนด์การใส่เสื้อผ้า ของคนแถวๆนั้น
บอกตรงๆนะคะ ปั๊มไม่ค่อยเหมาะหรอกค่ะ ถ้าขายของกินยังจะได้มากกว่า เพราะคนเดินทางค่อนข้างเป็นลูกค้าขาจรสะส่วนมากเลย ต่อให้สินค้าคุณดีมีคุณภาพ แต่โอกาสที่ขาจรจะกลับมาซื้อก็น้อยค่ะ แถมยังมีปั๊มบังหน้าร้านอีก ดังนั้นต้องพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าขาประจำ หมายถึงลูกค้าใกล้ๆร้าน ก็ต้องดูว่าลูกค้าแถวนั้นมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะใช้สินค้าแบรนด์ หมายถึงว่าเค้ารู้จักแบรนด์เรามั้ย มีกำลังซื้อแค่ไหน แล้วยิ่งเป็นกางเกง คนเราซื้อกางเกงน้อยกว่าเสื้อนะ โดยเฉพาะกางเกงยีนส์ ต่อให้เป็นลูกค้าขาประจำก็น่าจะอย่างเก่ง 3 เดือนครั้งนึง ขาจรยิ่งหาได้น้อย เพราะลองถามตัวเองค่ะ จะซื้อกางเกงในปั๊มน้ำมันหรือไม่ ไม่ต้องถึงซื้อ เอาแค่ลงจากรถ หรือเดินมาดูสินค้ายัง 50:50 เลยค่ะ ดังนั้นเราว่าหาทำเลแบบตลาดนัดดีมั้ย
เพราะปั๊มน้ำมันก็บอกแล้วว่ามาเติมน้ำมัน หาตลาดนัดดีกว่าค่ะ เพราะคนเตรียมมาจ่ายมากกว่า ที่สำคัญคนจะมาบ่อย เพราะเดินทีเดียวดูได้หลายอย่าง
หรือไม่ให้ลองไปสังเกตุการร้านที่ตั้งมาอยู่แล้วก่อนค่ะ สัก 1 เดือนว่าคนเข้าออกมากน้อยแค่ไหน คนเข้าปั๊มมากน้อยแค่ไหน ปั๊มเล็กหรือปั๊มใหญ่แบบ ปตท เส้นทางถนนเส้นหลักหรือไม่ อย่างเช่น สระแก้วหลายๆคนต้องผ่านเพื่อไปสู่จังหวัดอื่นๆอะไรแบบนี้
บอกตรงๆลองดูทำเลหลายๆที่ก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยตัดสินใจ เพราะค่าเช่าที่ค่อนข้างราคาสูง ทำให้ต้นทุนสูงตาม แล้วก็ต้องตั้งเป้าด้วยว่าเดือนนึงจะขายได้ประมาณกี่ตัว ถ้าคิดนะคะสมมติว่าขายได้เดือนละ 100 ตัวขายทุกวันเอาแค่ค่าเช่า 10,000 + ทุนกางเกง (350 x 100) = 45,000
คือทุนต่อเดือน 45,000 บาทอันนี้คือค่าทุนที่ไม่รวมว่าเราสต๊อคสินค้าเท่าไร สมมติสต๊อคไว้ 300 ตัวทุนก็มากกว่านี้ หมายความว่า
45,000 / 100 = ต้องขายกางเกงตัวละ 450 บาทอันนี้คือราคาทุนแบบยังไม่ได้กำไร และซึ่งต้องตั้งราคามากกว่านี้จึงจะได้กำไร แต่ก็ต้องประมาณด้วยว่าเดือนนึงจะขายได้ประมาณกี่ตัว แล้วกว่าจะคืนทุน อย่างน้อยต้องประมาณ 3 เดือนค่ะกว่าลูกค้าจะรู้ว่ามีร้านเรา
แต่โดยปกติเท่าที่เห็นเสื้อผ้าจะขายเกินเท่าตัวอย่างเช่น 350 ก็ต้องขายเกิน 700 บาทจึงจะพอได้กำไรอันนี้แบบไม่ได้เอากำไรมากเพราะมีค่าอื่นๆมากกว่าค่ะเช่าร้าน แล้วถ้ากางเกงตัวละ 600-700 ลูกค้าจะซื้อมั้ย
อย่าเพิ่งเครียดนะคะ อันนี้เราลองเล่าให้ฟัง แบบว่าเราก็เคยขายของมาก่อน แต่ทำเป็น parttime พอมีงานประจำวุ่นๆก็เลยเลิกไป อย่าว่าเราคิดเยอะเลยค่ะ เพราะต้องดูด้วยว่าคุณมีทุนเท่าไร เพราะอย่างน้อยต้องเข้าเนื้อไปประมาณ 2-3 เดือนกว่าจะคืนกำไร
ลองคิดดูค่ะ เป็นกำลังใจให้ ถึงจะเยอะ แต่ก็ตั้งใจพิมพ์มาให้ เป็นกำลังใจและเอาใจช่วยให้คนตั้งใจทำงานค่ะ สู้ๆนะคะ
1.ว่าต้องมีรายจ่ายอะไบ้างที่เกิดจากการขาย เช่น ค่าเช่าที่(เอา 1 เดือนมาหารวันที่ขาย เช่นขายทุกวันก็เอา 10000 มาหาร 30 หรือหยุดเสาร์อาทิตย์ 10000 ก็หารแค่ 20 ) ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าลูกจ้าง ค่าเสียเวลา(กรณีที่ลาออกมาขาย ต้องเสียเงินไปเท่าไร หรือกรณีเดินทางไปรับสินค้า ทำให้วันนั้นหยุดร้าน) ค่าเดินทางไปรับสินค้า(ค่าน้ำมันก็ต้องบวก)
=> จะได้รู้ว่าแต่วันต้องจ่ายเท่าไร + ต้นทุน = รายจ่ายที่เกิดขึ้น
2.ความสัมพันธ์ระหว่างสินค้าและพื้นที่ที่ขาย คือสถานที่ขาย กลุ่มลูกค้า กำลังซื้อของลูกค้า และเทรนด์การใส่เสื้อผ้า ของคนแถวๆนั้น
บอกตรงๆนะคะ ปั๊มไม่ค่อยเหมาะหรอกค่ะ ถ้าขายของกินยังจะได้มากกว่า เพราะคนเดินทางค่อนข้างเป็นลูกค้าขาจรสะส่วนมากเลย ต่อให้สินค้าคุณดีมีคุณภาพ แต่โอกาสที่ขาจรจะกลับมาซื้อก็น้อยค่ะ แถมยังมีปั๊มบังหน้าร้านอีก ดังนั้นต้องพุ่งเป้าไปที่ลูกค้าขาประจำ หมายถึงลูกค้าใกล้ๆร้าน ก็ต้องดูว่าลูกค้าแถวนั้นมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่จะใช้สินค้าแบรนด์ หมายถึงว่าเค้ารู้จักแบรนด์เรามั้ย มีกำลังซื้อแค่ไหน แล้วยิ่งเป็นกางเกง คนเราซื้อกางเกงน้อยกว่าเสื้อนะ โดยเฉพาะกางเกงยีนส์ ต่อให้เป็นลูกค้าขาประจำก็น่าจะอย่างเก่ง 3 เดือนครั้งนึง ขาจรยิ่งหาได้น้อย เพราะลองถามตัวเองค่ะ จะซื้อกางเกงในปั๊มน้ำมันหรือไม่ ไม่ต้องถึงซื้อ เอาแค่ลงจากรถ หรือเดินมาดูสินค้ายัง 50:50 เลยค่ะ ดังนั้นเราว่าหาทำเลแบบตลาดนัดดีมั้ย
เพราะปั๊มน้ำมันก็บอกแล้วว่ามาเติมน้ำมัน หาตลาดนัดดีกว่าค่ะ เพราะคนเตรียมมาจ่ายมากกว่า ที่สำคัญคนจะมาบ่อย เพราะเดินทีเดียวดูได้หลายอย่าง
หรือไม่ให้ลองไปสังเกตุการร้านที่ตั้งมาอยู่แล้วก่อนค่ะ สัก 1 เดือนว่าคนเข้าออกมากน้อยแค่ไหน คนเข้าปั๊มมากน้อยแค่ไหน ปั๊มเล็กหรือปั๊มใหญ่แบบ ปตท เส้นทางถนนเส้นหลักหรือไม่ อย่างเช่น สระแก้วหลายๆคนต้องผ่านเพื่อไปสู่จังหวัดอื่นๆอะไรแบบนี้
บอกตรงๆลองดูทำเลหลายๆที่ก่อนดีกว่าค่ะ แล้วค่อยตัดสินใจ เพราะค่าเช่าที่ค่อนข้างราคาสูง ทำให้ต้นทุนสูงตาม แล้วก็ต้องตั้งเป้าด้วยว่าเดือนนึงจะขายได้ประมาณกี่ตัว ถ้าคิดนะคะสมมติว่าขายได้เดือนละ 100 ตัวขายทุกวันเอาแค่ค่าเช่า 10,000 + ทุนกางเกง (350 x 100) = 45,000
คือทุนต่อเดือน 45,000 บาทอันนี้คือค่าทุนที่ไม่รวมว่าเราสต๊อคสินค้าเท่าไร สมมติสต๊อคไว้ 300 ตัวทุนก็มากกว่านี้ หมายความว่า
45,000 / 100 = ต้องขายกางเกงตัวละ 450 บาทอันนี้คือราคาทุนแบบยังไม่ได้กำไร และซึ่งต้องตั้งราคามากกว่านี้จึงจะได้กำไร แต่ก็ต้องประมาณด้วยว่าเดือนนึงจะขายได้ประมาณกี่ตัว แล้วกว่าจะคืนทุน อย่างน้อยต้องประมาณ 3 เดือนค่ะกว่าลูกค้าจะรู้ว่ามีร้านเรา
แต่โดยปกติเท่าที่เห็นเสื้อผ้าจะขายเกินเท่าตัวอย่างเช่น 350 ก็ต้องขายเกิน 700 บาทจึงจะพอได้กำไรอันนี้แบบไม่ได้เอากำไรมากเพราะมีค่าอื่นๆมากกว่าค่ะเช่าร้าน แล้วถ้ากางเกงตัวละ 600-700 ลูกค้าจะซื้อมั้ย
อย่าเพิ่งเครียดนะคะ อันนี้เราลองเล่าให้ฟัง แบบว่าเราก็เคยขายของมาก่อน แต่ทำเป็น parttime พอมีงานประจำวุ่นๆก็เลยเลิกไป อย่าว่าเราคิดเยอะเลยค่ะ เพราะต้องดูด้วยว่าคุณมีทุนเท่าไร เพราะอย่างน้อยต้องเข้าเนื้อไปประมาณ 2-3 เดือนกว่าจะคืนกำไร
ลองคิดดูค่ะ เป็นกำลังใจให้ ถึงจะเยอะ แต่ก็ตั้งใจพิมพ์มาให้ เป็นกำลังใจและเอาใจช่วยให้คนตั้งใจทำงานค่ะ สู้ๆนะคะ
แสดงความคิดเห็น
สอบถามเรื่องตั้งราคาสินค้าค่ะ จากราคาที่ซื้อมาควรจะบวกเพิ่มเป็นเท่าไหร่ดีคะ ถึงจะมีกำไร
รับมาตัวละ 350 จะบวกเพิ่มเท่าไหร่ดีคะ ราคาสินค้ามีหลากหลายค่ะ เราควรจะตั้งราคาขายปลีกที่ตัวเท่าไหร่ดีคะถึงจะคุ้มทุนและมีกำไรบ้าง
จขกท.คิดว่าจะขายในปั๊มน้ำมัน ค่าเช่าประมาน 10,000 บาท จะไหวมั๊ยคะ ในปั๊มมีร้านขายเสื้อผ้าอยู่ 2 ร้าน เป็นชื่อแบรนด์เฉพาะ 1 ร้าน (จำยี่ห้อไม่ได้ค่ะคลับคล้ายคลับคลาว่าชื่อ American สักอย่างนี่แหละค่ะ) อีกร้านขายเสื้อผ้าทั่วไปค่ะ มีทั้งรองเท้าแตะ แว่นตา ยันหมวกเลยค่ะ ปั๊มอยู่แถวๆบางแก้วค่ะ เป็นปั๊มน้ำมันและปั๊มแก๊ส LPG ค่ะ
นอกจากขายเสื้อผ้าแล้ว อนาคตอาจจะมีขายอย่างอื่นเพิ่มเติมด้วยค่ะ