หยุด..ผิน
ว เหลียวมองหลัง
บนเส้นทางลูกรังระหกระเหิน
หลุมขรุขระเป็นระยะยาวเหลือเกิน
สะดุดเดินล้มคว่ำคะมำกอง
สองแขนยันหยัดขาขึ้นมาใหม่
ปัดฝุ่นผงติดกายให้คลายหมอง
แผลถลอกเลือดไหลไม่หันมอง
ต้องประคองเดินต่อ..อย่าท้อใจ
ทางข้างหน้าอาจเรียบรอเราอยู่
ลมหายใจ ยังมี สู้ ห้ามหวั่นไหว
อุปสรรค คือความรู้ ค้ำชูใจ
จดจำไว้ หลีกเลี่ยง เบี่ยงหลบทาง
แต่ละก้าว ระวังยังพลั้งพลาด
พายุพัดไม้หักปักลงขวาง
กว่าข้ามพ้นอดทนถากถางทาง
เหนื่อยล้าบ้างกำลังใจไม่หมดลง
ยกท่อนแขนปาดเหงื่อแม้เรื้อล้า
บอกกับตนอีกคราข้างหน้าโล่ง
ที่จะพบคงไม่ใช่ป่าดง
อย่าพะวงอันใดไปก่อนเลย
ยังก้าวเท้าต่อไปด้วยใจหมาย
เท้าบวมพองเจ็บเพียงใดไร้คำเอ่ย
มิคร่ำครวญร้องร่ำรำพันเปรย
ทำคุ้นเคยชาชินเช่นเพื่อนกัน
ปลายถนนเหลือบแล แม่น้ำกว้าง
ทรุดกายนั่งมองไปใจประหวั่น
รวมกำลังแขนขาพาผ่านธาร
เย็นสะท้านสั่นหนาวเข้าหัวใจ
เฮือกสุดท้ายเห็นตลิ่งยิ่งพุ้ยน้ำ
เมื่อดิ่งดำทะลึ่งขึ้นฝืนใจว่าย
เกาะขอบคันมือเหนี่ยวขาตะกาย
ถึงฝั่งได้ไม่ตายในนที
ทิ้งกายลงระนาบกับพื้นหญ้า
นอนแผ่หราเสียงหายใจเร็วหอบถี่
แดดบ่ายคล้อยอีกไม่นานหรอกระวี
เหลือแสงน้อยริบรี่..ใกล้ค่ำคืน
แดดสะท้อน แววประกายสายตาจ้อง
เดินตามแสง นำส่อง ไม่ขัดขืน
องค์ปฏิมาหน้าโบสถ์ปางประทับยืน
พนมมือ..น้ำตารื้น คุกเข่าลง
นี่หรือคือปลายทาง ท่านสารสื่อ
อย่าคิดยื้อดิ้นรนจนหลุดโค้ง
จงหยุดเถิดเวลาเหลือน้อยลง
ควรปล่อยปลงใฝ่ทางธรรมนำจารเจือ
เสียงระฆังดังก้องเต็มสองหู
หันมองดูสังขารวันที่เหลือ
โครงกระดูกผูกร่างเลือดเนื้อเจือ
ร่วงโรยเมื่อผ่านกาลนานเนิ่นมา
หัวใจสูบฉีดโลหิตผ่าน
ล้าแรงอ่อนกรำงานอันหนักหนา
สีเทาหม่นเคลือบบางบังม่านตา
หลังคุ้มค้อมราวว่ามิอยากยืน
สองเข่าปวดแปลบเหน็บเจ็บสะดุ้ง
ยามลุกยืนยากยุ่งพยุงฝืน
เคี้ยวอาหารยากหนอพอกล้ำกลืน
ยารสขื่นขืนรั้งยังชีวา
ห้วงคำนึงถึงปัจฉิมแห่งชีวิต
ทอดกายวางสถิตย์ ณ ใต้หล้า
ทิวาล่วงดวงตะวันสนธยา
จวนเวลา นิทราสุดท้าย..ในราตรี...
*แก้ไขคำในอีโม...คือ คำว่า...มีความหมาย ว่า หัน- บิดค่ะ*
ไม่เข้าใจว่า..ไม่เหมาะตรงไหน เขียนให้เป็นคำคล้องจอง..
กลับ..โดน ใส่ อีโม...ฝากไว้ให้พิจารณาด้วยค่ะ
*** หลับสนิทในนิทรา***
บนเส้นทางลูกรังระหกระเหิน
หลุมขรุขระเป็นระยะยาวเหลือเกิน
สะดุดเดินล้มคว่ำคะมำกอง
สองแขนยันหยัดขาขึ้นมาใหม่
ปัดฝุ่นผงติดกายให้คลายหมอง
แผลถลอกเลือดไหลไม่หันมอง
ต้องประคองเดินต่อ..อย่าท้อใจ
ทางข้างหน้าอาจเรียบรอเราอยู่
ลมหายใจ ยังมี สู้ ห้ามหวั่นไหว
อุปสรรค คือความรู้ ค้ำชูใจ
จดจำไว้ หลีกเลี่ยง เบี่ยงหลบทาง
แต่ละก้าว ระวังยังพลั้งพลาด
พายุพัดไม้หักปักลงขวาง
กว่าข้ามพ้นอดทนถากถางทาง
เหนื่อยล้าบ้างกำลังใจไม่หมดลง
ยกท่อนแขนปาดเหงื่อแม้เรื้อล้า
บอกกับตนอีกคราข้างหน้าโล่ง
ที่จะพบคงไม่ใช่ป่าดง
อย่าพะวงอันใดไปก่อนเลย
ยังก้าวเท้าต่อไปด้วยใจหมาย
เท้าบวมพองเจ็บเพียงใดไร้คำเอ่ย
มิคร่ำครวญร้องร่ำรำพันเปรย
ทำคุ้นเคยชาชินเช่นเพื่อนกัน
ปลายถนนเหลือบแล แม่น้ำกว้าง
ทรุดกายนั่งมองไปใจประหวั่น
รวมกำลังแขนขาพาผ่านธาร
เย็นสะท้านสั่นหนาวเข้าหัวใจ
เฮือกสุดท้ายเห็นตลิ่งยิ่งพุ้ยน้ำ
เมื่อดิ่งดำทะลึ่งขึ้นฝืนใจว่าย
เกาะขอบคันมือเหนี่ยวขาตะกาย
ถึงฝั่งได้ไม่ตายในนที
ทิ้งกายลงระนาบกับพื้นหญ้า
นอนแผ่หราเสียงหายใจเร็วหอบถี่
แดดบ่ายคล้อยอีกไม่นานหรอกระวี
เหลือแสงน้อยริบรี่..ใกล้ค่ำคืน
แดดสะท้อน แววประกายสายตาจ้อง
เดินตามแสง นำส่อง ไม่ขัดขืน
องค์ปฏิมาหน้าโบสถ์ปางประทับยืน
พนมมือ..น้ำตารื้น คุกเข่าลง
นี่หรือคือปลายทาง ท่านสารสื่อ
อย่าคิดยื้อดิ้นรนจนหลุดโค้ง
จงหยุดเถิดเวลาเหลือน้อยลง
ควรปล่อยปลงใฝ่ทางธรรมนำจารเจือ
เสียงระฆังดังก้องเต็มสองหู
หันมองดูสังขารวันที่เหลือ
โครงกระดูกผูกร่างเลือดเนื้อเจือ
ร่วงโรยเมื่อผ่านกาลนานเนิ่นมา
หัวใจสูบฉีดโลหิตผ่าน
ล้าแรงอ่อนกรำงานอันหนักหนา
สีเทาหม่นเคลือบบางบังม่านตา
หลังคุ้มค้อมราวว่ามิอยากยืน
สองเข่าปวดแปลบเหน็บเจ็บสะดุ้ง
ยามลุกยืนยากยุ่งพยุงฝืน
เคี้ยวอาหารยากหนอพอกล้ำกลืน
ยารสขื่นขืนรั้งยังชีวา
ห้วงคำนึงถึงปัจฉิมแห่งชีวิต
ทอดกายวางสถิตย์ ณ ใต้หล้า
ทิวาล่วงดวงตะวันสนธยา
จวนเวลา นิทราสุดท้าย..ในราตรี...
*แก้ไขคำในอีโม...คือ คำว่า...มีความหมาย ว่า หัน- บิดค่ะ*
ไม่เข้าใจว่า..ไม่เหมาะตรงไหน เขียนให้เป็นคำคล้องจอง..
กลับ..โดน ใส่ อีโม...ฝากไว้ให้พิจารณาด้วยค่ะ