ทุกวันนี้ Facebook แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่มีบทบาทสำคัญกับชีวิตประจำวันของหลายคน และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้ Facebook ในการเข้าจู่โจม หรือจ้องขโมยข้อมูลของผู้ใช้งานที่ไม่ได้ระมัดระวังความปลอดภัยของตัวเอง โดยจากการสำรวจพบว่าผู้ใช้เกือบ 13 ล้านคนในอเมริกาไม่เคยตั้งค่า หรือไม่เคยรู้เลยว่า Facebook สามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัวได้ และมีเพียง 37 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ใช้ประโยชน์จากการตั้งค่านี้
และนอกจากใน อเมริกาแล้วพบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Facebook ทั่วโลกแล้วมากกว่า 900 ล้านคนซึ่งมีจำนวนมากกว่าประชากรในประเทศส่วนใหญ่เสียอีก และส่วนใหญ่ใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเริ่มต้นที่ถูกกำหนดจาก Facebook เป็นผู้เท่านั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ Facebook จะเป็นแหล่งเข้าจู่โจมแหล่งใหญ่ และสะดวกที่สุดของเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดี ดังนั้นวันนี้ ESET จึงขออนุญาตแนะนำวิธีการตั้งค่าดังนี้ครับ
ปกป้องตัวคุณเองเมื่อ Log in เข้า Facebook คุณจะสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Setting) ได้โดยกดเครื่องหมายลูกศรด้านข้างเมนู Home ทางด้านขวาบนของหน้าเพจ
เมื่อเข้ามาแล้วก็จะพบว่าค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ “Public” (สำหรับคนที่ไม่เคยตั้งค่าอะไรเลย)
จาก ตรงนี้คุณสามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเองตามหัวข้อในแต่ละบรรทัดด้านล่าง แต่เราขอแนะนำให้เลือกเป็น “Custom” ดีกว่า ซึ่งเมื่อกดเลือกที่ Custom แล้วจะมีหน้าต่างปรากฎตามค่าเริ่มต้นขึ้นมาดังนี้
คุณ สามารถเปลี่ยนเป็นค่าอื่นได้ตามใจ โดยอาจกำหนดรายชื่อเฉพาะคนที่สามารถมองเห็นโพสของคุณ หรือกำหนดรายชื่อที่คุณไม่ต้องการให้มองเห็นโพสของคุณก็ได้ แต่ถ้าหากต้องการความปลอดภัยสูงสุดสามารถเลือกที่ “Only Me” นั่นหมายถึงมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็นโพส ซึ่งถ้าหากต้องการแชร์ข้อมูล หรือรูปภาพใดๆก็สามารถระบุได้ภายหลังว่าจะให้ใครมองเห็นได้บ้าง
เมื่อ เลือกแล้วจะพบหน้าต่างลักษณะนี้ และจะสังเกตว่าถึงแม้ว่าจะตั้งเป็น Only Me แล้วก็ตามแต่ถ้าคุณ Tag รูปไปหาเพื่อน เพื่อนก็จะสามารถมองเห็นรูปนั้นได้เช่นกัน
ต่อมามาดูในส่วนการตั้งค่าการแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่นเห็น เริ่มต้นที่ Edit Setting ในหัวข้อ How You Connect
การตั้งค่าเริ่มต้นจะถูกตั้งค่าอยู่ที่ “Everyone” ตามรูปด้านล่าง
บรรทัดแรกคือการตั้งค่าให้คนอื่นสามารถค้นหาโดยใช้เห็นอีเมลล์ และเบอร์โทรศัพท์ที่คุณให้ข้อมูลไว้ได้ ต่อมาคือการตั้งค่าในการส่งคำขอเป็นเพื่อน และบรรทัดสุดท้ายคือการตั้งค่าในการส่งข้อความใน Facebook เราขอยกตัวอย่างการเปลี่ยนค่าดังรูปด้านล่างครับ
หลังจากกด Done แล้วกลับมาที่หน้าตั้งค่าแล้ว ไปตั้งค่าที่ “Profile and Tagging” กันต่อครับ
ตรง นี้เราสามารถกำหนดได้ว่าใครสามารถมาโพสที่หน้า Wall คุณ, มองเห็นโพสที่คุณถูก Tag ใน Profile ได้หรืออื่น ๆ ตามรูปจะเป็นค่าเริ่มต้นที่ Facebook กำหนดมา โดยบรรทัดแรกคือการกำหนดบุคคลที่สามารถมาโพสที่หน้า Wall ของคุณ ต่อมาคือการกำหนดบุคคลที่สามารถมองเห็นโพสอื่น ๆ บนโปรไฟล์ของคุณ บรรทัดที่สามคือการตั้งค่าให้คุณตอบอนุญาตก่อนที่รูปที่คุณโดนแท็กจะปรากฎบน โปรไฟล์ ต่อมาเป็นการตั้งค่าบุคคลที่สามารถมองเห็นโพสที่คุณถูก Tag บนหน้าโปรไฟล์ของคุณ บรรทัดที่ห้าคือการตั้งค่าให้คุณตอบอนุญาตก่อนในกรณีที่เพื่อน Tag ชื่อเพิ่มในโพสของคุณ และสุดท้ายคือการตั้งค่า tag suggestion เมื่อมีคุณอยู่ในรูปนั้น
เราขอลองเปลี่ยนค่าให้เป็นส่วนตัวมากขึ้นตามด้านล่าง
หัว ข้อต่อมาคือการเปลี่ยนความเป็นส่วนตัวของโพสเก่า ๆ ทั้งหมดให้เป็นไปตามที่เราเพิ่งตั้งค่าเมื่อกี้นี้ ซึ่งเมื่อกดเลือกจะมีหน้าต่างขึ้นมาเตือนอีกครั้งหนึ่ง
สรุป:การ ตั้งค่าเหล่านี้คือการป้องกันพื้นฐาน ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมความปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้ ซึ่งจะสังเกตว่าการตั้งค่าไม่ได้ใช้เวลา หรือความซับซ้อนมากมายนักและคงจะเป็นการดีกว่าการมานึกเสียดายหลังจากข้อมูล หรือรูปภาพส่วนตัวของคุณถูกขโมยไปทำให้คุณเสียหายไปแล้ว
ที่มา :ESET
Powered by:
อยากใช้ Facebook อย่างปลอดภัยต้องตั้งค่าอย่างไร...คำตอบอยู่ที่นี่
และนอกจากใน อเมริกาแล้วพบว่าปัจจุบันมีผู้ใช้งาน Facebook ทั่วโลกแล้วมากกว่า 900 ล้านคนซึ่งมีจำนวนมากกว่าประชากรในประเทศส่วนใหญ่เสียอีก และส่วนใหญ่ใช้การตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเริ่มต้นที่ถูกกำหนดจาก Facebook เป็นผู้เท่านั้น จึงไม่แปลกใจเลยที่ Facebook จะเป็นแหล่งเข้าจู่โจมแหล่งใหญ่ และสะดวกที่สุดของเหล่าผู้ไม่ประสงค์ดี ดังนั้นวันนี้ ESET จึงขออนุญาตแนะนำวิธีการตั้งค่าดังนี้ครับ
ปกป้องตัวคุณเอง
เมื่อ Log in เข้า Facebook คุณจะสามารถตั้งค่าความเป็นส่วนตัว (Privacy Setting) ได้โดยกดเครื่องหมายลูกศรด้านข้างเมนู Home ทางด้านขวาบนของหน้าเพจ
เมื่อเข้ามาแล้วก็จะพบว่าค่าเริ่มต้นจะอยู่ที่ “Public” (สำหรับคนที่ไม่เคยตั้งค่าอะไรเลย)
จาก ตรงนี้คุณสามารถตั้งค่าได้ด้วยตัวเองตามหัวข้อในแต่ละบรรทัดด้านล่าง แต่เราขอแนะนำให้เลือกเป็น “Custom” ดีกว่า ซึ่งเมื่อกดเลือกที่ Custom แล้วจะมีหน้าต่างปรากฎตามค่าเริ่มต้นขึ้นมาดังนี้
คุณ สามารถเปลี่ยนเป็นค่าอื่นได้ตามใจ โดยอาจกำหนดรายชื่อเฉพาะคนที่สามารถมองเห็นโพสของคุณ หรือกำหนดรายชื่อที่คุณไม่ต้องการให้มองเห็นโพสของคุณก็ได้ แต่ถ้าหากต้องการความปลอดภัยสูงสุดสามารถเลือกที่ “Only Me” นั่นหมายถึงมีแต่คุณเท่านั้นที่มองเห็นโพส ซึ่งถ้าหากต้องการแชร์ข้อมูล หรือรูปภาพใดๆก็สามารถระบุได้ภายหลังว่าจะให้ใครมองเห็นได้บ้าง
เมื่อ เลือกแล้วจะพบหน้าต่างลักษณะนี้ และจะสังเกตว่าถึงแม้ว่าจะตั้งเป็น Only Me แล้วก็ตามแต่ถ้าคุณ Tag รูปไปหาเพื่อน เพื่อนก็จะสามารถมองเห็นรูปนั้นได้เช่นกัน
ต่อมามาดูในส่วนการตั้งค่าการแชร์ข้อมูลส่วนตัวให้คนอื่นเห็น เริ่มต้นที่ Edit Setting ในหัวข้อ How You Connect
การตั้งค่าเริ่มต้นจะถูกตั้งค่าอยู่ที่ “Everyone” ตามรูปด้านล่าง
บรรทัดแรกคือการตั้งค่าให้คนอื่นสามารถค้นหาโดยใช้เห็นอีเมลล์ และเบอร์โทรศัพท์ที่คุณให้ข้อมูลไว้ได้ ต่อมาคือการตั้งค่าในการส่งคำขอเป็นเพื่อน และบรรทัดสุดท้ายคือการตั้งค่าในการส่งข้อความใน Facebook เราขอยกตัวอย่างการเปลี่ยนค่าดังรูปด้านล่างครับ
หลังจากกด Done แล้วกลับมาที่หน้าตั้งค่าแล้ว ไปตั้งค่าที่ “Profile and Tagging” กันต่อครับ
ตรง นี้เราสามารถกำหนดได้ว่าใครสามารถมาโพสที่หน้า Wall คุณ, มองเห็นโพสที่คุณถูก Tag ใน Profile ได้หรืออื่น ๆ ตามรูปจะเป็นค่าเริ่มต้นที่ Facebook กำหนดมา โดยบรรทัดแรกคือการกำหนดบุคคลที่สามารถมาโพสที่หน้า Wall ของคุณ ต่อมาคือการกำหนดบุคคลที่สามารถมองเห็นโพสอื่น ๆ บนโปรไฟล์ของคุณ บรรทัดที่สามคือการตั้งค่าให้คุณตอบอนุญาตก่อนที่รูปที่คุณโดนแท็กจะปรากฎบน โปรไฟล์ ต่อมาเป็นการตั้งค่าบุคคลที่สามารถมองเห็นโพสที่คุณถูก Tag บนหน้าโปรไฟล์ของคุณ บรรทัดที่ห้าคือการตั้งค่าให้คุณตอบอนุญาตก่อนในกรณีที่เพื่อน Tag ชื่อเพิ่มในโพสของคุณ และสุดท้ายคือการตั้งค่า tag suggestion เมื่อมีคุณอยู่ในรูปนั้น
เราขอลองเปลี่ยนค่าให้เป็นส่วนตัวมากขึ้นตามด้านล่าง
หัว ข้อต่อมาคือการเปลี่ยนความเป็นส่วนตัวของโพสเก่า ๆ ทั้งหมดให้เป็นไปตามที่เราเพิ่งตั้งค่าเมื่อกี้นี้ ซึ่งเมื่อกดเลือกจะมีหน้าต่างขึ้นมาเตือนอีกครั้งหนึ่ง
สรุป:การ ตั้งค่าเหล่านี้คือการป้องกันพื้นฐาน ที่จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมความปลอดภัยในข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ได้ ซึ่งจะสังเกตว่าการตั้งค่าไม่ได้ใช้เวลา หรือความซับซ้อนมากมายนักและคงจะเป็นการดีกว่าการมานึกเสียดายหลังจากข้อมูล หรือรูปภาพส่วนตัวของคุณถูกขโมยไปทำให้คุณเสียหายไปแล้ว
ที่มา :ESET
Powered by: