สู่จุดสุดยอดของการเล่น Gadget
ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะประสบปัญหากับเรื่องของจุดสุดยอดนะครับ แน่นอน วันนี้เราไม่ได้มาพูดถึงเรื่องบนเตียง แต่เราจะมาคุยกันในเรื่องของ Gadget กัน แน่นอนครับ เราจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ Gadget ทั้ง MP3 และ หูฟัง กลายเป็นอะไรที่มีการซื้อขายกันเร็วมาก ซึ่งจากการสังเกตของผม ผมพบว่า กลุ่มคนซื้อขายอุปกรณ์ Gadget และ หูฟัง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่ชอบลอง กลุ่มที่สอง เป็นพวกพ่อค้าและนักสะสม ส่วนกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ถูกใจหรือพอใจกับ Gadget ของตัวเอง พยายามค้นหาอุปกรณ์ที่เข้ากับตัวเองมากที่สุด ซึ่งกลุ่มที่สามนี่ล่ะครับ ที่เราจะมาคุยกัน โดยผมจะเน้นที่อุปกรณ์อย่างเครื่องเล่นกับหูฟังเป็นหลัก เพราะเป็นอุปกรณ์หลักๆ ที่คนเล่น Gadget ทุกคนต้องใช้กันอยู่แล้ว (มีใครใช้เครื่องเล่นไม่ใช้หูฟังบ้างครับ อิอิ)
โม้มาเยอะ เราไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มต้นเสาะหา
เรื่องของการเริ่มต้นเสาะหา ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นกันครับ อย่างที่เรารู้กันว่าอุปกรณ์แต่ละตัว มีความแตกต่างกันในเรื่องเสียง เพราะถ้าไม่แตกต่างกันแล้ว ก็คงจะไม่ต้องมียี่ห้อ iPod Meizu Sony Cowon iRiver ออกมามากมายหรอกครับ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด คือ เครื่องเล่นครับ เพราะคนส่วนใหญ่เปลี่ยนเครื่องเล่นน้อยกว่าหูฟัง ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องเล่น จึงต้องคำนึงถึงในเรื่องของเสียง ซึ่งควรเป็นเสียงในแนวที่ตัวเองชอบ และที่สำคัญอีกอย่าง คือ กำลังขับ ครับ เพราะกำลังขับของเครื่องเล่นนั้น จะเป็นอีกตัวหนึ่งที่มีผลในการรีดประสิทธิภาพของหูฟังได้มากทีเดียว และจะทำให้เราได้รับรายละเอียดของเพลงต่างๆ ได้มากขึ้น (ตรงนี้คนที่มี E484 สามารถทดลองได้ครับ นำไปต่อกับ iPod Shuffle เทียบกับ iPod Photo จะพบความแตกต่างมากทีเดียว)
ส่วนของหูฟังก็มีความสำคัญครับ ตรงนี้อาจต้องใช้ประสบการณ์สักเล็กน้อย เพราะบางที ราคากับคุณภาพ มันอาจไม่ได้ไปด้วยกันก็ได้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงอันดับแรกเลย ก็คงจะเป็นสไตล์ของเราล่ะครับ ลองดูว่าเราฟังเพลงแนวใด ชอบเสียงแบบไหน และหาหูฟังที่เราชอบมากที่สุด ตรงเรื่องของหูฟัง ราคาอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ แต่ผมแนะนำว่าควรเลือกซื้อของแท้ครับ เพราะของจีนหรือของก๊อป ถึงจะเสียงดียังไง แต่ถ้าเบิร์นไปแล้ว จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยครับ ผมเคยเอา Sony PSP ของปลอมกับของแท้มาเทียบกันอยู่พักนึง แรกเริ่มเสียงแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ ของก๊อปกับของแท้เสียงดีพอกัน แต่เมื่อนำไปเบิร์นสักระยะหนึ่งแล้ว เสียงของของแท้สามารถลากไปได้ไกลกว่า ตำแหน่งเครื่องดนตรีชัดเจนกว่า น้ำหนักเครื่องดนตรีดีกว่า ซึ่งแตกต่างกับของก๊อป เบิร์นยังไงก็ไม่ไป (ตรงนี้ผมสันนิษฐานว่า น่าจะอยู่ที่คุณภาพของไดรเวอร์ด้วยล่ะครับ)
และสุดท้ายก่อนจะซื้อ ที่ขาดไม่ได้เลย คือ สิ่งที่เรียกว่า Mix&Match ครับ หูฟังกับเครื่องเล่น ต่างก็มีจุดด้อยของเสียงกับจุดเด่นของเสียง จากประสบการณ์ของผม หัวใจของมัน คือ เอาจุดเด่นของอุปกรณ์ตัวหนึ่ง เสริมกับอุปกรณ์อีกตัวหนึ่ง หรือเอาจุดเด่นของอุปกรณ์ตัวหนึ่ง มาลดจุดด้อยของอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งครับ ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย ผมเคยเอาเครื่องเล่น Meizu M6SP ที่มีจุดเด่นมากในเรื่องของเบส เอามาคู่กับ PK3 คราวนี้รู้เรื่องเลยครับ ผมไม่ค่อยนิยมบริโภคเบส ทำเอาวันนั้นที่ฟังชุดนี้ ผมอ้วกเลย หรืออีกคู่หนึ่งที่ผมไม่ปลิ้ม คือ PK2 คู่กับ iPod Touch ซึ่งผมว่าเสียงมันแห้ง ขาดน้ำหนักเครื่องดนตรี เสียงบางไปนิดด้วยครับ ถ้า PK2 ผมชอบเอามาคู่กับ iPod Gen4 หรือ iRiver ifpxxxx เพราะ iPod Gen4 เนื้อเสียงค่อนข้างหนา คู่กับ PK2 สามารถชดเชยกันได้ดี ส่วน iRiver ifpxxxx เด่นในเรื่องของสเตจ น้ำหนัก และก็เบส ซึ่งก็สามารถชดเชยสิ่งที่ PK2 ขาดไปได้ Mix&Match ตรงนี้คงต้องขึ้นอยู่กับสไตล์และประสบการณ์แต่ละคนแล้วครับ
หาเพลงมาใส่
ข้อนี้ก็สำคัญครับ แน่นอน ใครซื้อเครื่องเล่นกับหูฟังมาใช้เปิดนั่งฟังเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีเพลง อันนั้นคงแย่แล้วครับ ผมพบว่าในเรื่องของไฟล์เพลง มีผลต่อเสียงเยอะมากทีเดียว (เรื่องของไฟล์เพลงผมได้คำแนะนำจากพี่ป๋องนี่ล่ะครับ) เริ่มตั้งแต่แผ่น Audio ซึ่งอัลบั้มไหนบันทึกเสียงดี พอ Rip มาแล้วเสียงก็จะดีไปด้วยครับ รวมถึงโปรแกรมที่ใช้ในการ Rip ซึ่งผมคิดว่า dBPoweramp สามารถ Rip ออกมาแล้วให้ Detail และน้ำหนักเสียงดีที่สุด (ผมเคยใช้ Easy CD-DA Extractor แล้วผมพบว่า ซาวด์สเตจของเพลงมันเพี้ยน รวมถึงการจัดวางเครื่องดนตรีที่ด้อยลงไปด้วย - ตัวอื่นไม่เคยใช้นะครับ) เรื่องของไฟล์เพลงถือได้ว่าเป็นตัวสำคัญเลยครับ ที่จะทำให้อุปกรณ์และเครื่องเล่นทำงานได้เต็มศักยภาพ (ยอมว่าผมรู้สึกเสียดายที่หลายๆ คนซื้อ Player กับหูฟังแพงๆ มาฟังเพลง 128 Kbps) แน่นอนครับ ความแตกต่างที่พบอาจจะมีน้อยกว่าการเปลี่ยนเครื่องเล่นกับหูฟัง แต่มันมีแน่นอนครับ ตรงนี้ต้องอาศัยชั่วโมงบินและประสบการณ์ในการฟังนิดนึง
สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ Format ของไฟล์เพลงครับ ผมแนะนำว่า ถ้าใครมีเนื้อที่พอ ควร Rip เป็นไฟล์ Wave ไปเลยครับ มันจะให้เสียงที่ตรบถ้วนที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด เพราะเมื่อเทียบกันระหว่างไฟล์ Wave กับไฟล์ Lossless แล้ว ยังมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของเนื้อเสียงครับ Lossless จะให้เสียงที่บางกว่าไฟล์ Wave พอสมควร
ส่วน Format ยอดนิยมอย่าง MP3 หลายคนบอกว่า MP3 ที่บิตเรต 320 Kbps กับ Lossless ให้เสียงต่างกันไม่เยอะ แต่สำหรับผมแล้ว ผมยังให้ Lossless ดีกว่ามากครับ โดยเฉพาะเรื่องของเนื้อเสียงที่ครบถ้วน ปลายเสียงและน้ำหนักเครื่องดนตรีที่สมบูรณ์กว่ามากอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงบรรยากาศในการฟังเพลง ที่ไฟล์ Lossless จะให้บรรยากาศและอารมณ์เพลงได้ครบถ้วนกว่า MP3 เยอะครับ (แน่นอนว่าคงไม่ดีเท่าไฟล์ Wave)
การเบิร์นก็สำคัญ
เป็นประเด็นมากเลยครับในช่วงก่อนหน้านี้สำหรับการเบิร์น การเบิร์นนั้นผมคงไม่มาอธิบายแล้วล่ะครับ ว่าเบิร์นทำไม (เล่นมาขนาดนี้แล้ว น่าจะรู้กันแล้วนะครับ อิอิ) แต่เดี๋ยวบทความจะยาวไป เรามาพูดเรื่องการเบิร์นเลยดีกว่า
หลายๆ คนบอกว่า การเบิร์น ไม่ใช่เพียงการเบิร์นไดรเวอร์ แต่เป็นการเบิร์นขั้วต่อต่างๆ ของหูฟังด้วย (ซึ่งผมก็เห็นด้วยนั่นแหละ ถึงแม้ผมจะหาหลักการอะไรมาอธิบายยังไม่ได้ก็ตาม) ส่วนตัวผม ผมแนะนำว่า การเบิร์น ควรเลือกเพลงที่หลากหลาย และครบทุกย่านครับ ตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะเสียงของหูฟังจะขึ้นอยู่กับเพลงที่เราเบิร์นด้วย ว่าหูฟังเสียงจะออกไปทางไหน มีผลแน่นอน แต่คงไม่ได้ทำให้หูฟังเปลี่ยนสไตล์ไปมากอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ (หรืออย่าง Oppo จะกลายเป็น 484 คงจะเป็นไปไม่ได้ อิอิ) สิ่งสำคัญ คือ Source ครับ โดยประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่า การเบิร์นหูฟังโดยใช้เครื่องเสียงบ้าน จะให้เสียงที่ดีที่สุดครับ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำหนักเครื่องดนตรีที่ดีมาก ซาวด์สเตจสวยงาม แต่ถ้าใครไม่มีเครื่องเสียงบ้าน ผมแนะนำว่าใช้เพลเยอร์ปกตินี่ล่ะครับ เพราะจากประสบการณ์ที่เบิร์นกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ซาวด์สเตจของหูฟังจะเสียรูปครับ และยังมีผลต่อเนื้อเสียงที่บางกว่าอีกด้วย (ตรงนี้ผมก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะอะไรเหมือนกัน)
ถ้าเป็นการเบิร์นกับเพลเยอร์ ในเรื่องของไฟล์เพลงมีความสำคัญครับ ผมคิดว่าการเบิร์นหูฟัง เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เหมือนกับการสอนเด็กเล็กๆ เลย เพราะในช่วงของการเบิร์นนั่นแหละ จะบอกได้ว่าหูฟังเราจะเสียงดีได้แค่ไหน ดังนั้น ไฟล์เพลงผมจึงแนะนำว่าควรเป็นไฟล์ Wave หรือ Lossless มากกว่า เพราะจะให้เสียงที่ครบถ้วนที่สุด ทำให้สามารถรีดศักยภาพของหูฟังออกมาได้ดีที่สุดด้วย และที่สำคัญอยู่ที่การเลือกเพลง อันนี้ต้องเป็นประสบการณ์ของคุณแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกเพลงอะไรมาเบิร์น แนะนำว่า หลายๆ แนว อัดเสียงดีๆ มิติดีๆ นะครับ ที่สำคัญเลย Volume เปิดในระดับที่ฟังครับ อาจดังกว่าสักเล็กน้อยก็ได้ ตรงนี้จะให้รายละเอียดที่ดีครับ (ไม่ต้องถึงขนาดเต็มแมกซ์นะครับ เดี๋ยวหูฟังเจ๊ง อิอิ) ส่วนการเบิร์นด้วยเสียงเบา จะให้เสียงสูงและหวาน แต่จะขาดรายละเอียดและเข้าที่ช้ากว่า
ส่วนในเรื่องของไฟล์เบิร์น ผมยังไม่ค่อยอยากแนะนำให้ใช้ครับ เพราะไฟล์เบิร์นแบบไล่ความถี่หรือแบบเสียงซ่าๆ นัั้น ถึงแม้จะเหมาะกับเบิร์นหูฟังก็จริง แต่การเบิร์นในระยะเวลานานนั้น ส่งผลกระทบต่อไดรเวอร์แน่นอนครับ อาจทำให้ไดรเวอร์เสียหายได้ ตรงนี้ผมว่าคนที่จะใช้ไฟล์ ควรเป็นผู้เล่นที่ผ่านประสบการณ์มาในระดับหนึ่งแล้ว
ฟองน้ำ จุกยาง เรื่องที่หลายคนมองข้าม
ฟองน้ำ จุกยาง ขอบยาง ก็มีผลต่อเสียงนะครับ ตรงนี้ลองเลือกให้ดีๆ ว่าเราฟังเพลงสไตล์ไหน ตรงนี้ผมขอเล่าเน้นไปในส่วนของฟองน้ำ Earbud มากหน่อยละกันครับ เพราะผมค่อนข้างถนัดกับ Earbud
ฟองน้ำของหูฟัง Earbud หลายคนคงแปลกใจล่ะครับ ครั้งแรกที่เห็นฟองน้ำคู่ละ 150 (ผมยังแปลกใจเลย) แน่นอนครับ ลักษณะของฟองน้ำ หนา บาง เนื้อหยาบ เนื้อละเอียด ทึบ เจาะรู มีผลกับเสียงค่อนข้างมากครับ การเลือกใช้ขอให้ใช้ความชอบของเราเป็นหลัก และการ Mix&Match เป็นเรื่องตามมานะครับ
ฟองน้ำที่มีความหนา จะส่งผลในเรื่องของเบสและย่านต่ำ จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงจะทำให้ซาวด์สเตจอับขึ้นครับ ซึ่งจะทำให้ได้ลักษณะที่นุ่ม อุ่น หวาน โดยเฉพาะเสียงร้องที่รู้สึกได้เลยครับว่าหวานขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่สูญเสียไปคือเสียงสูง ซึ่งอาจจะขาดความก้องกังวาลและความพริ้วไปซักเล็กน้อย ซึ่งจะแตกต่างกับฟองน้ำบาง ที่จะทำให้ได้เสียงใสกว่า โปร่งกว่า จะให้บรรยากาศสบายๆ โปร่งๆ ใส่ๆ ตรงนี้ต้องแล้วแต่คนชอบครับ
เนื้อฟองน้ำ แนะนำว่าควรเป็นฟองน้ำที่มีเนื้อละเอียดซักหน่อยนะครับ เพราะจะให้เสียงที่ละเอียดกว่ามาก เนื้อเสียงและน้ำหนักเครื่องดนตรีที่ดีกว่าฟองน้ำเนื้อหยาบพอสมควรเลย
สุดท้ายก็คือประเด็นของฟองน้ำทึบ และฟองน้ำเจาะรู ฟองน้ำทึบเราได้พูดถึงไปแล้ว ส่วนฟองน้ำเจาะรู ก็จะให้รายละเอียดเสียงสูงและเสียงกลางที่ชัดเจนกว่าฟองน้ำทึบครับ แน่นอนว่าสิ่งที่เสียไปก็คือเรื่องเบสและเสียงต่ำ รวมถึงซาวด์สเตจที่เสียรูปไปเล็กน้อยด้วย
ฟองน้ำมีความสำคัญตรงที่ว่า ถ้าเสียงที่คุณได้ไม่ถูกใจ ลองเปลี่ยนฟองน้ำดูครับ อาจจะทำให้คุณชอบหูฟังตัวนั้นมากขึ้นก็ได้ กับอินเอียร์ก็เช่นกัน จุกยางกับจุก Comply Foam ก็ให้เสียงที่แตกต่างกัน โดย Comply Foam จะให้รายละเอียดของเสียงต่ำและเสียงกลางดีกว่า ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชอบแต่ละคนด้วยครับ
สุดท้ายคือ ศึกษาชีวิตคู่
ก่อนจะตัดสินใจว่าเครื่องเล่นตัวนั้น เหมาะ หรือไม่เหมาะกับเรา ผมว่าเราควรจะใช้เวลาอยู่กับมันสักพักนึงครับ เพราะหลายๆ อย่าง ต้องอาศัยความเคยชิน และความเข้าใจกับมันด้วย ลองฟัง แยกแยะ จุดเด่น จุุดด้อย เปรียบเทียบเหตุผล และพิจารณากับมันสักพัก ลองหาทางแก้จุดด้อย เสริมจุดเด่น เช่นปรับ EQ หรือเปลี่ยนฟองน้ำหูฟังดูครับ หรือถ้าสักครึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่งหรือระยะหนึ่งแล้ว คุณไม่พอใจกับมัน ก็คงถึงเวลา ที่เราต้องแยกทางกันละครับ ...
แน่นอนครับ จุดสุดยอดของการเล่นอุปกรณ์พวกนี้ ก็คือความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าเราพอใจกับมันแล้ว ก็คงจะมีความสุขกับมัน กับเครื่องเล่นเครื่องหนึ่ง หูฟังเส้นหนึ่ง และบทเพลงเพราะๆ ที่เราจะได้จากมัน .
สู่จุดสุดยอดของการเล่น Gadget
สู่จุดสุดยอดของการเล่น Gadget
ผมเชื่อว่าหลายคนคงจะประสบปัญหากับเรื่องของจุดสุดยอดนะครับ แน่นอน วันนี้เราไม่ได้มาพูดถึงเรื่องบนเตียง แต่เราจะมาคุยกันในเรื่องของ Gadget กัน แน่นอนครับ เราจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์ Gadget ทั้ง MP3 และ หูฟัง กลายเป็นอะไรที่มีการซื้อขายกันเร็วมาก ซึ่งจากการสังเกตของผม ผมพบว่า กลุ่มคนซื้อขายอุปกรณ์ Gadget และ หูฟัง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ กลุ่มคนที่ชอบลอง กลุ่มที่สอง เป็นพวกพ่อค้าและนักสะสม ส่วนกลุ่มที่สาม เป็นกลุ่มคนที่ยังไม่ถูกใจหรือพอใจกับ Gadget ของตัวเอง พยายามค้นหาอุปกรณ์ที่เข้ากับตัวเองมากที่สุด ซึ่งกลุ่มที่สามนี่ล่ะครับ ที่เราจะมาคุยกัน โดยผมจะเน้นที่อุปกรณ์อย่างเครื่องเล่นกับหูฟังเป็นหลัก เพราะเป็นอุปกรณ์หลักๆ ที่คนเล่น Gadget ทุกคนต้องใช้กันอยู่แล้ว (มีใครใช้เครื่องเล่นไม่ใช้หูฟังบ้างครับ อิอิ)
โม้มาเยอะ เราไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ
เริ่มต้นเสาะหา
เรื่องของการเริ่มต้นเสาะหา ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญเช่นกันครับ อย่างที่เรารู้กันว่าอุปกรณ์แต่ละตัว มีความแตกต่างกันในเรื่องเสียง เพราะถ้าไม่แตกต่างกันแล้ว ก็คงจะไม่ต้องมียี่ห้อ iPod Meizu Sony Cowon iRiver ออกมามากมายหรอกครับ สิ่งที่ควรให้ความสำคัญมากที่สุด คือ เครื่องเล่นครับ เพราะคนส่วนใหญ่เปลี่ยนเครื่องเล่นน้อยกว่าหูฟัง ดังนั้นการเลือกซื้อเครื่องเล่น จึงต้องคำนึงถึงในเรื่องของเสียง ซึ่งควรเป็นเสียงในแนวที่ตัวเองชอบ และที่สำคัญอีกอย่าง คือ กำลังขับ ครับ เพราะกำลังขับของเครื่องเล่นนั้น จะเป็นอีกตัวหนึ่งที่มีผลในการรีดประสิทธิภาพของหูฟังได้มากทีเดียว และจะทำให้เราได้รับรายละเอียดของเพลงต่างๆ ได้มากขึ้น (ตรงนี้คนที่มี E484 สามารถทดลองได้ครับ นำไปต่อกับ iPod Shuffle เทียบกับ iPod Photo จะพบความแตกต่างมากทีเดียว)
ส่วนของหูฟังก็มีความสำคัญครับ ตรงนี้อาจต้องใช้ประสบการณ์สักเล็กน้อย เพราะบางที ราคากับคุณภาพ มันอาจไม่ได้ไปด้วยกันก็ได้ สิ่งที่ควรคำนึงถึงอันดับแรกเลย ก็คงจะเป็นสไตล์ของเราล่ะครับ ลองดูว่าเราฟังเพลงแนวใด ชอบเสียงแบบไหน และหาหูฟังที่เราชอบมากที่สุด ตรงเรื่องของหูฟัง ราคาอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญครับ แต่ผมแนะนำว่าควรเลือกซื้อของแท้ครับ เพราะของจีนหรือของก๊อป ถึงจะเสียงดียังไง แต่ถ้าเบิร์นไปแล้ว จะเห็นถึงความแตกต่างอย่างชัดเจนเลยครับ ผมเคยเอา Sony PSP ของปลอมกับของแท้มาเทียบกันอยู่พักนึง แรกเริ่มเสียงแทบจะไม่ต่างกันเลยครับ ของก๊อปกับของแท้เสียงดีพอกัน แต่เมื่อนำไปเบิร์นสักระยะหนึ่งแล้ว เสียงของของแท้สามารถลากไปได้ไกลกว่า ตำแหน่งเครื่องดนตรีชัดเจนกว่า น้ำหนักเครื่องดนตรีดีกว่า ซึ่งแตกต่างกับของก๊อป เบิร์นยังไงก็ไม่ไป (ตรงนี้ผมสันนิษฐานว่า น่าจะอยู่ที่คุณภาพของไดรเวอร์ด้วยล่ะครับ)
และสุดท้ายก่อนจะซื้อ ที่ขาดไม่ได้เลย คือ สิ่งที่เรียกว่า Mix&Match ครับ หูฟังกับเครื่องเล่น ต่างก็มีจุดด้อยของเสียงกับจุดเด่นของเสียง จากประสบการณ์ของผม หัวใจของมัน คือ เอาจุดเด่นของอุปกรณ์ตัวหนึ่ง เสริมกับอุปกรณ์อีกตัวหนึ่ง หรือเอาจุดเด่นของอุปกรณ์ตัวหนึ่ง มาลดจุดด้อยของอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งครับ ทั้งนี้ ต้องขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคนด้วย ผมเคยเอาเครื่องเล่น Meizu M6SP ที่มีจุดเด่นมากในเรื่องของเบส เอามาคู่กับ PK3 คราวนี้รู้เรื่องเลยครับ ผมไม่ค่อยนิยมบริโภคเบส ทำเอาวันนั้นที่ฟังชุดนี้ ผมอ้วกเลย หรืออีกคู่หนึ่งที่ผมไม่ปลิ้ม คือ PK2 คู่กับ iPod Touch ซึ่งผมว่าเสียงมันแห้ง ขาดน้ำหนักเครื่องดนตรี เสียงบางไปนิดด้วยครับ ถ้า PK2 ผมชอบเอามาคู่กับ iPod Gen4 หรือ iRiver ifpxxxx เพราะ iPod Gen4 เนื้อเสียงค่อนข้างหนา คู่กับ PK2 สามารถชดเชยกันได้ดี ส่วน iRiver ifpxxxx เด่นในเรื่องของสเตจ น้ำหนัก และก็เบส ซึ่งก็สามารถชดเชยสิ่งที่ PK2 ขาดไปได้ Mix&Match ตรงนี้คงต้องขึ้นอยู่กับสไตล์และประสบการณ์แต่ละคนแล้วครับ
หาเพลงมาใส่
ข้อนี้ก็สำคัญครับ แน่นอน ใครซื้อเครื่องเล่นกับหูฟังมาใช้เปิดนั่งฟังเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีเพลง อันนั้นคงแย่แล้วครับ ผมพบว่าในเรื่องของไฟล์เพลง มีผลต่อเสียงเยอะมากทีเดียว (เรื่องของไฟล์เพลงผมได้คำแนะนำจากพี่ป๋องนี่ล่ะครับ) เริ่มตั้งแต่แผ่น Audio ซึ่งอัลบั้มไหนบันทึกเสียงดี พอ Rip มาแล้วเสียงก็จะดีไปด้วยครับ รวมถึงโปรแกรมที่ใช้ในการ Rip ซึ่งผมคิดว่า dBPoweramp สามารถ Rip ออกมาแล้วให้ Detail และน้ำหนักเสียงดีที่สุด (ผมเคยใช้ Easy CD-DA Extractor แล้วผมพบว่า ซาวด์สเตจของเพลงมันเพี้ยน รวมถึงการจัดวางเครื่องดนตรีที่ด้อยลงไปด้วย - ตัวอื่นไม่เคยใช้นะครับ) เรื่องของไฟล์เพลงถือได้ว่าเป็นตัวสำคัญเลยครับ ที่จะทำให้อุปกรณ์และเครื่องเล่นทำงานได้เต็มศักยภาพ (ยอมว่าผมรู้สึกเสียดายที่หลายๆ คนซื้อ Player กับหูฟังแพงๆ มาฟังเพลง 128 Kbps) แน่นอนครับ ความแตกต่างที่พบอาจจะมีน้อยกว่าการเปลี่ยนเครื่องเล่นกับหูฟัง แต่มันมีแน่นอนครับ ตรงนี้ต้องอาศัยชั่วโมงบินและประสบการณ์ในการฟังนิดนึง
สิ่งที่สำคัญอีกอย่าง คือ Format ของไฟล์เพลงครับ ผมแนะนำว่า ถ้าใครมีเนื้อที่พอ ควร Rip เป็นไฟล์ Wave ไปเลยครับ มันจะให้เสียงที่ตรบถ้วนที่สุดและสมบูรณ์ที่สุด เพราะเมื่อเทียบกันระหว่างไฟล์ Wave กับไฟล์ Lossless แล้ว ยังมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของเนื้อเสียงครับ Lossless จะให้เสียงที่บางกว่าไฟล์ Wave พอสมควร
ส่วน Format ยอดนิยมอย่าง MP3 หลายคนบอกว่า MP3 ที่บิตเรต 320 Kbps กับ Lossless ให้เสียงต่างกันไม่เยอะ แต่สำหรับผมแล้ว ผมยังให้ Lossless ดีกว่ามากครับ โดยเฉพาะเรื่องของเนื้อเสียงที่ครบถ้วน ปลายเสียงและน้ำหนักเครื่องดนตรีที่สมบูรณ์กว่ามากอย่างเห็นได้ชัด รวมถึงบรรยากาศในการฟังเพลง ที่ไฟล์ Lossless จะให้บรรยากาศและอารมณ์เพลงได้ครบถ้วนกว่า MP3 เยอะครับ (แน่นอนว่าคงไม่ดีเท่าไฟล์ Wave)
การเบิร์นก็สำคัญ
เป็นประเด็นมากเลยครับในช่วงก่อนหน้านี้สำหรับการเบิร์น การเบิร์นนั้นผมคงไม่มาอธิบายแล้วล่ะครับ ว่าเบิร์นทำไม (เล่นมาขนาดนี้แล้ว น่าจะรู้กันแล้วนะครับ อิอิ) แต่เดี๋ยวบทความจะยาวไป เรามาพูดเรื่องการเบิร์นเลยดีกว่า
หลายๆ คนบอกว่า การเบิร์น ไม่ใช่เพียงการเบิร์นไดรเวอร์ แต่เป็นการเบิร์นขั้วต่อต่างๆ ของหูฟังด้วย (ซึ่งผมก็เห็นด้วยนั่นแหละ ถึงแม้ผมจะหาหลักการอะไรมาอธิบายยังไม่ได้ก็ตาม) ส่วนตัวผม ผมแนะนำว่า การเบิร์น ควรเลือกเพลงที่หลากหลาย และครบทุกย่านครับ ตรงนี้สำคัญมากครับ เพราะเสียงของหูฟังจะขึ้นอยู่กับเพลงที่เราเบิร์นด้วย ว่าหูฟังเสียงจะออกไปทางไหน มีผลแน่นอน แต่คงไม่ได้ทำให้หูฟังเปลี่ยนสไตล์ไปมากอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ (หรืออย่าง Oppo จะกลายเป็น 484 คงจะเป็นไปไม่ได้ อิอิ) สิ่งสำคัญ คือ Source ครับ โดยประสบการณ์ส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่า การเบิร์นหูฟังโดยใช้เครื่องเสียงบ้าน จะให้เสียงที่ดีที่สุดครับ โดยเฉพาะเรื่องของน้ำหนักเครื่องดนตรีที่ดีมาก ซาวด์สเตจสวยงาม แต่ถ้าใครไม่มีเครื่องเสียงบ้าน ผมแนะนำว่าใช้เพลเยอร์ปกตินี่ล่ะครับ เพราะจากประสบการณ์ที่เบิร์นกับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ซาวด์สเตจของหูฟังจะเสียรูปครับ และยังมีผลต่อเนื้อเสียงที่บางกว่าอีกด้วย (ตรงนี้ผมก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะอะไรเหมือนกัน)
ถ้าเป็นการเบิร์นกับเพลเยอร์ ในเรื่องของไฟล์เพลงมีความสำคัญครับ ผมคิดว่าการเบิร์นหูฟัง เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เหมือนกับการสอนเด็กเล็กๆ เลย เพราะในช่วงของการเบิร์นนั่นแหละ จะบอกได้ว่าหูฟังเราจะเสียงดีได้แค่ไหน ดังนั้น ไฟล์เพลงผมจึงแนะนำว่าควรเป็นไฟล์ Wave หรือ Lossless มากกว่า เพราะจะให้เสียงที่ครบถ้วนที่สุด ทำให้สามารถรีดศักยภาพของหูฟังออกมาได้ดีที่สุดด้วย และที่สำคัญอยู่ที่การเลือกเพลง อันนี้ต้องเป็นประสบการณ์ของคุณแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกเพลงอะไรมาเบิร์น แนะนำว่า หลายๆ แนว อัดเสียงดีๆ มิติดีๆ นะครับ ที่สำคัญเลย Volume เปิดในระดับที่ฟังครับ อาจดังกว่าสักเล็กน้อยก็ได้ ตรงนี้จะให้รายละเอียดที่ดีครับ (ไม่ต้องถึงขนาดเต็มแมกซ์นะครับ เดี๋ยวหูฟังเจ๊ง อิอิ) ส่วนการเบิร์นด้วยเสียงเบา จะให้เสียงสูงและหวาน แต่จะขาดรายละเอียดและเข้าที่ช้ากว่า
ส่วนในเรื่องของไฟล์เบิร์น ผมยังไม่ค่อยอยากแนะนำให้ใช้ครับ เพราะไฟล์เบิร์นแบบไล่ความถี่หรือแบบเสียงซ่าๆ นัั้น ถึงแม้จะเหมาะกับเบิร์นหูฟังก็จริง แต่การเบิร์นในระยะเวลานานนั้น ส่งผลกระทบต่อไดรเวอร์แน่นอนครับ อาจทำให้ไดรเวอร์เสียหายได้ ตรงนี้ผมว่าคนที่จะใช้ไฟล์ ควรเป็นผู้เล่นที่ผ่านประสบการณ์มาในระดับหนึ่งแล้ว
ฟองน้ำ จุกยาง เรื่องที่หลายคนมองข้าม
ฟองน้ำ จุกยาง ขอบยาง ก็มีผลต่อเสียงนะครับ ตรงนี้ลองเลือกให้ดีๆ ว่าเราฟังเพลงสไตล์ไหน ตรงนี้ผมขอเล่าเน้นไปในส่วนของฟองน้ำ Earbud มากหน่อยละกันครับ เพราะผมค่อนข้างถนัดกับ Earbud
ฟองน้ำของหูฟัง Earbud หลายคนคงแปลกใจล่ะครับ ครั้งแรกที่เห็นฟองน้ำคู่ละ 150 (ผมยังแปลกใจเลย) แน่นอนครับ ลักษณะของฟองน้ำ หนา บาง เนื้อหยาบ เนื้อละเอียด ทึบ เจาะรู มีผลกับเสียงค่อนข้างมากครับ การเลือกใช้ขอให้ใช้ความชอบของเราเป็นหลัก และการ Mix&Match เป็นเรื่องตามมานะครับ
ฟองน้ำที่มีความหนา จะส่งผลในเรื่องของเบสและย่านต่ำ จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงจะทำให้ซาวด์สเตจอับขึ้นครับ ซึ่งจะทำให้ได้ลักษณะที่นุ่ม อุ่น หวาน โดยเฉพาะเสียงร้องที่รู้สึกได้เลยครับว่าหวานขึ้นเยอะ แต่สิ่งที่สูญเสียไปคือเสียงสูง ซึ่งอาจจะขาดความก้องกังวาลและความพริ้วไปซักเล็กน้อย ซึ่งจะแตกต่างกับฟองน้ำบาง ที่จะทำให้ได้เสียงใสกว่า โปร่งกว่า จะให้บรรยากาศสบายๆ โปร่งๆ ใส่ๆ ตรงนี้ต้องแล้วแต่คนชอบครับ
เนื้อฟองน้ำ แนะนำว่าควรเป็นฟองน้ำที่มีเนื้อละเอียดซักหน่อยนะครับ เพราะจะให้เสียงที่ละเอียดกว่ามาก เนื้อเสียงและน้ำหนักเครื่องดนตรีที่ดีกว่าฟองน้ำเนื้อหยาบพอสมควรเลย
สุดท้ายก็คือประเด็นของฟองน้ำทึบ และฟองน้ำเจาะรู ฟองน้ำทึบเราได้พูดถึงไปแล้ว ส่วนฟองน้ำเจาะรู ก็จะให้รายละเอียดเสียงสูงและเสียงกลางที่ชัดเจนกว่าฟองน้ำทึบครับ แน่นอนว่าสิ่งที่เสียไปก็คือเรื่องเบสและเสียงต่ำ รวมถึงซาวด์สเตจที่เสียรูปไปเล็กน้อยด้วย
ฟองน้ำมีความสำคัญตรงที่ว่า ถ้าเสียงที่คุณได้ไม่ถูกใจ ลองเปลี่ยนฟองน้ำดูครับ อาจจะทำให้คุณชอบหูฟังตัวนั้นมากขึ้นก็ได้ กับอินเอียร์ก็เช่นกัน จุกยางกับจุก Comply Foam ก็ให้เสียงที่แตกต่างกัน โดย Comply Foam จะให้รายละเอียดของเสียงต่ำและเสียงกลางดีกว่า ตรงนี้ต้องขึ้นอยู่กับความชอบแต่ละคนด้วยครับ
สุดท้ายคือ ศึกษาชีวิตคู่
ก่อนจะตัดสินใจว่าเครื่องเล่นตัวนั้น เหมาะ หรือไม่เหมาะกับเรา ผมว่าเราควรจะใช้เวลาอยู่กับมันสักพักนึงครับ เพราะหลายๆ อย่าง ต้องอาศัยความเคยชิน และความเข้าใจกับมันด้วย ลองฟัง แยกแยะ จุดเด่น จุุดด้อย เปรียบเทียบเหตุผล และพิจารณากับมันสักพัก ลองหาทางแก้จุดด้อย เสริมจุดเด่น เช่นปรับ EQ หรือเปลี่ยนฟองน้ำหูฟังดูครับ หรือถ้าสักครึ่งเดือนหรือเดือนหนึ่งหรือระยะหนึ่งแล้ว คุณไม่พอใจกับมัน ก็คงถึงเวลา ที่เราต้องแยกทางกันละครับ ...
แน่นอนครับ จุดสุดยอดของการเล่นอุปกรณ์พวกนี้ ก็คือความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี ถ้าเราพอใจกับมันแล้ว ก็คงจะมีความสุขกับมัน กับเครื่องเล่นเครื่องหนึ่ง หูฟังเส้นหนึ่ง และบทเพลงเพราะๆ ที่เราจะได้จากมัน .