เรื่องเล่าจากเกม : มาล่าผีกันเถอะ

กระทู้สนทนา

ปล. นี่เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อส่วนบุคคล  โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ

ในสัปดาห์ที่ผ่านๆมา  เราได้มีโอกาสชมเรื่องราวที่อิงจากทฤษฎีบนหน้ากระดาษหรือตำนานปรัมปราทั่วๆไปมาก็เยอะแล้ว  ในสัปดาห์นี้เรามาดูเรื่องสนุกๆนอกตำรากันบ้างดีกว่านะ...

The Lost Crown : The Ghost Hunting Adventure Game ก็เป็นอีกหนึ่งเกมหนึ่งของปี 2008 ที่จัดได้ว่า เป็นเกมที่ดี แต่ทว่า ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ครับ (แต่คงไม่ใช่เกมที่ดีสำหรับคุณแน่ๆถ้าคุณชอบฉากบู๊ล้างผลาญตูมตามสนั่นเมืองหรือฉากตื่นเต้นระทึกขวัญกระตุ้นโสดประสาท เพราะเกมนี้คือเกม Adventure ไม่ใช่ Action Survivor)

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ The Lost Crown กลายเป็นเกมที่ดีในสายตาของเกมเมอร์หลายๆคนได้?
เราไม่อาจปฏิเสธได้เลยครับว่าลูกเล่นที่น่าสนใจของเกมๆนี้นั้นมีแรงดึงดูดไม่น้อย ซึ่งลูกเล่นที่ว่าก็คือ ภารกิจการล่าสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้ นั่นเองครับ ภายในเกมคุณจะได้รับเครื่องมือมากมายที่จะนำมาใช้เพื่อค้น สิ่งที่มองไม่เห็น หรือก็คือ ผี ที่ซ่อนอยู่ในมุมต่างๆของเมืองครับ โดยเทคนิคทั้งหมดที่มีในเกมนั้นก็คือ เทคนิคต่างๆที่เหล่านักล่าผี ใช้ในโลกแห่งความเป็นจริงเพื่อค้นหาเป้าหมายของเขานั่นเองครับ

สำหรับเรื่องเล่าจากเกมในตอนนี้ เราจะมาลงลึกรายละเอียดในส่วนนี้กันครับ และต้องขอย้ำอีกครั้งว่า นี่คือเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อส่วนบุคคล กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน ครับ

อะไร?? ที่ไหน?? อย่างไร??  เมื่อใด??
ทั้งหมดที่ว่าก็คือคำถามแรกที่คุณจำเป็นต้องตั้งข้อสันนิษฐานให้ได้โดยคร่าวๆก่อนที่จะเริ่มต้นภารกิจทุกครั้งครับ คุณกำลังจะไปค้นหาอะไร?? , คุณจะไปค้นหาที่ไหนดี?? , จะค้นหาอย่างไร?? , และควรจะลงมือเมื่อใด??
คุณกำลังจะไปค้นหาอะไร?? คือ คำถามแรกที่คุณต้องตอบให้ได้ครับ อย่าตอบด้วยประโยคสั้นๆง่ายๆแค่ว่า ก็ไปล่าผีไง เพราะผีนั้นก็มีอยู่มากมายหลายชนิดครับ และแต่ละชนิดก็มีวิธีค้นหาหรือเรียกมาต่างกันออกไปตามแต่ ผู้ที่กุเรื่องขึ้นมา ตำนานจะกล่าวไว้ครับ และคำตอบของคำถามนี้เองครับที่จะเป็น Topic หลักที่สามารถนำไปใช้ตอบคำถามข้อต่อๆมา
คุณต้องไปค้นหาที่ใด?? หลังจากหาคำตอบข้อแรกพบแล้ว ข้อต่อมาก็คือจะไปหาสิ่งที่ว่านี้จากที่ใดครับ ก็ง่ายๆครับ ในข้อแรกคุณตอบอะไรเอาไว้ ข้อต่อมาก็ให้ไปหาจากที่นั่น ยกตัวอย่างเช่น จะหา Crying Baby ก็ต้องไปหาที่ Crying Baby Bridge หรือจะหา Bloody Mary ก็ต้องไปหาในห้องน้ำบ้านของคุณเอง เป็นต้น
จะค้นหาอย่างไร?? คือคำถามข้อต่อมาหลังจากที่คุณสามารถกำหนดได้แล้วครับว่าจะไปหาที่ใดดี ก็อย่างที่ว่าไปแล้วครับ ภูตผีปีศาจแต่ละตนนั้นมีวิธีค้นหาหรือเชิญมาต่างกันออกไป ยกตัวอย่างเช่น Bloody Mary ต้องไปยืนกระซิบหน้ากระจกคนเดียวในห้องที่ปิดไฟว่า Bloody Mary Bloody Mary Bloody Mary หรืออย่างวิญญาณอาฆาตตามบ้านร้างก็ต้องเดินดุ่ยๆเข้าไปและใช้กระดานผีเชิญออกมา เป็นต้น
ต้องค้นหาเมื่อใด??  จะออกไปค้นหาเมื่อใดดีก็คือปัจจัยข้อสุดท้ายที่คุณต้องหาคำตอบให้ได้ครับ เป็นเรื่องน่าขันสิ้นดีที่จะไปโรยแป้งกลางสะพานตอนกลางวันแสกๆขณะที่มีคนเดินสวนกันไปมา หรือพยายามใช้กล้องตรวจจับความร้อนในขณะที่อุณหภูมิในขณะนั้นเหยียบๆ 35 องศาเซลเซียส โดยปกติแล้ววิญญาณแต่ละตนจะมีเวลาทำการของตัวเองครับ บางตนจะโผล่มาให้เห็นตอนเที่ยงคืนตรงเผงเท่านั้น บางตนก็ต้องรอหลังเที่ยงคืนจนถึงก่อนรุ่งสาง (โชคดีไม่มีเว้นวันหยุดราชการ) ในขณะที่บางตนต้องรอตอนช่วงผีตากผ้าอ้อมพอดี คุณควรที่จะศึกษาเวลาที่แน่นอนก่อนครับจะได้สามารถมาสรุปได้เต็มปากว่า ตำนานที่ว่านี้จริงหรือไม่อย่างไร (บ่อยครั้งทีเดียวที่ผมโดนแย้งว่า ก็นายไปหาไม่ตรงกับเวลาที่ถูกต้องอ่ะ เจ็บปวดจริงๆให้ตายเถอะ)
สรุปสั้นๆง่ายๆ ถ้าคุณต้องการที่จะได้คำตอบที่แน่ชัดจริงๆ คุณจำเป็นจะต้องศึกษาจากตำราอยู่หลายเล่มไม่น้อยและอาจจะต้องเสียเวลาไปฟรีๆหลายคืนเพื่อให้ได้คำตอบที่แน่นอนและใช้เพื่อโต้แย้งหรือนำเสนอได้ แต่ทว่าที่สำคัญที่สุดก็คือ...

ควรไปเป็นหมู่คณะครับ เพราะการไปเหยียบบ้านร้างหรืออาคารต่างๆด้วยตัวคนเดียวนั้นเป็นเรื่องสิ้นคิดสิ้นดี บ่อยครั้งทีเดียวที่นักล่าผีต้องเสียทรัพย์สินมูลค่าหลายกระตังไปเพราะถูกพวกขี้ยาหรือพวกจรจัดดักตีหัวจากมุมมืดตามบ้านร้างหรืออาคารต่างๆเหล่านั้น

อะไรบ้างที่คุณจะต้องนำติดตัวไปล่าผีกับคุณด้วย??
อันที่จริงถ้าจะอิงหลักการจากผู้เชี่ยวชาญจริงๆแล้วก็คือ ไม่มีอะไรที่จำเป็นต่อคุณมากขนาดห้ามลืม แต่ทว่าคุณจำเป็นจะต้องทิ้งอคติที่มีผลต่อ ความเชื่อและไม่เชื่อ ทิ้งไปให้หมดเสียก่อนเท่านั้นก็พอครับ เพราะผู้ที่ไม่เชื่อต่อให้มีผีพิการตะกายลงมาตามบันไดบ้านของเขาเองให้เห็นจะๆกับตา เขาก็ยังไม่เชื่ออยู่ดี ในขณะที่ผู้ที่เชื่อ ต่อให้ลมพัดกระดาษปลิวก็ยังหาว่าเป็นวิญญาณเป็นคนทำให้กระดาษปลิวได้ อาจจะเป็นเรื่องที่ยากสาหัสสักหน่อยสำหรับบางคน แต่มันก็เป็นเรื่องที่จำเป็นครับ เพราะอีโก้ของคนสามารถเอาชนะได้ทุกอย่างจริงๆ
แต่ถ้าจะให้จบหัวข้อนี้ที่ตรงนี้เลยก็คงไม่แนว เอาเป็นว่ามาดูกันสักหน่อยดีกว่าว่าเหล่านักล่าผีเขามักพกสิ่งใดติดตัวไปด้วยตอนออกไปสร้างวีรกรรมกัน (แต่ผมต้องขอบอกไว้ก่อนว่าผมเป็นคนโง่สุดเรื่องเทคโนโลยีใหม่ๆ จึงเป็นไปได้สูงที่จะมีความผิดพลาดเรื่องข้อมูลการใช้งาน หรือหลักการต่างๆของเครื่องมือได้ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นก็ต้องขออภัยไว้ก่อน ณ ที่นี้ครับ)
1. กล้องถ่ายรูป / กล้องวีดีโอ ที่มีความสามารถ Night Vision และ Infrared
2. ไม้หาผี (Dowsing Rod) อันนี้ไม่ได้ล้อเลียนเรื่องที่เรารู้ๆกันแต่อย่างใดครับ เขาใช้กันจริงๆนะ แต่จะได้ผลหรือไม่อย่างไรอันนี้ผมไม่รู้ (แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยลองมากับมือ สำหรับผมเอง มันก็เหล็กดัดดีๆนี่เอง โยกซ้ายมันก็หมุนซ้าย โยกขวามันก็หมุนขวา สงสัยเพราะนอนไม่เต็มตื่นแหงๆ)
3. EMF Meter มีประโยชน์ในการจับพลังงานที่เราไม่สามารถมองเห็นด้วยตาของเราได้ครับ แต่จากคู่มือที่ผมเคยอ่านมีการอธิบายว่า ใช้เพื่อตรวจจับสนามแม่เหล็ก ครับ ยิ่ง Meter กระตุกมากเท่าใดก็หมายถึงคุณเข้าใกล้สิ่งที่คุณตามหามากขึ้นเท่านั้น
4. เครื่องมือตรวจวัดอุณหภูมิ   ส่วนใหญ่นักล่าผีจะใช้กล้องที่มีระบบ Thermographic เพื่อตรวจสอบและค้นหาจุดที่มีความแตกต่างของอุณหภูมิครับ ว่ากันว่าสิ่งที่เราค้นหากันนี้มักจะมีอุณภูมิร้อนหรือเย็นกว่าสภาพแวดล้อมโดยรอบพอสมควรครับ
5. เครื่องมือบันทึกเสียง   ก็อย่างที่นิยมใช้กันในภาพยนตร์ครับ นักล่าผีนิยมใช้ชุดบันทึกเสียงที่สามารถบันทึกเสียงที่เราไม่อาจได้ยินได้ ว่ากันว่าทุกครั้งที่ สิ่งที่มองไม่เห็น ปรากฎตัวขึ้น พวกมันมักจะปรากฎตัวพร้อมกับเสียงที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นเสียงของอะไรอยู่เสมอ
หลักๆแล้วก็จะมีตามนี้ครับ แต่นักล่าผีบางคนที่ผมรู้จักเขาจะมีเครื่องมือนบางตัวเหมือนที่เราได้เห็นกันในเกมด้วย ซึ่งถ้ามีโอกาสจะเก็บภาพของเครื่องมือเหล่านี้มาให้ชมกันครับ และนอกจากเครื่องมือเหล่านี้ อีกสิ่งหนึ่งที่มีความสำคัญและนักล่าผีมักจะนำติดตัวไปด้วยเสมอก็คือสิ่งที่เรียกว่า กระดานผี ครับ หรือถ้าสรุปให้ง่ายต่อการเข้าใจสักหน่อย เจ้าสิ่งนี้ก็เหมือนกระดานของผีถ้วยแก้วที่ใช้ๆกันอยู่ในบ้านเรานี่เอง (และถ้าคุณเคยดู Paranormal Activity คุณก็คงจะรู้จักมันดี มันก็คือกระดานที่พระเอกคิดจะเอามาใช้เพื่อติดต่อกับผีร้ายนั่นล่ะครับ) และในกรณีที่สิ่งที่คุณตามหาออกจะเรื่องมากสักหน่อยเพราะต้องทำวิธีอัญเชิญ คุณก็ควรที่จะพกอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการอัญเชิญไปด้วยครับ (และในกรณีที่มีการต้องทำพิธีกรรมต่างๆ ในบางครั้งผมเห็นมีการประกอบพิธีกรรมไล่ผี (Exorcists) กันด้วยหลังจากเสร็จงานเรียบร้อยแล้ว ก็อย่างว่าล่ะนะกันไว้ย่อมดีกว่าแก้เสมอ เพราะถ้าสิ่งที่ เขาเล่าว่า.. เหล่านี้เกิดเป็นเรื่องจริงขึ้นมาคงได้หลอนกันยกคณะแหงมๆ)

ที่ใดบ้างที่เขานิยมไปกัน??
สถานที่ซึ่งผมจะกล่าวต่อไปนี้ก็คือสถานที่ซึ่งว่ากันว่า มีผีดุที่สุด ติดอันดับต้นๆของโลกครับ (ตอนแรกกะจะเอาสถานที่ในไทยมาลงเหมือนกัน แต่ด้วยเหตุผลบางประการทำให้ไม่สามารถรวบรวมมาไว้ที่นี้ได้ ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยครับ)
อันดับที่ 1 : หอคอยเลือดแห่งลอนดอน
คงไม่มีที่ใดอีกแล้วครับที่จะเต็มไปด้วยตำนานหลอนได้มากมายเท่ากับสถานที่แห่งนี้ เพราะประวัติศาสตร์กว่าพันปีของสถานที่แห่งนี้นั้นเต็มไปด้วยเลือดและความตายครับ และแม้กระทั่งถึงเวลานี้ ก็ยังคงมีรายงานความหลอนปรากฎให้เห็นอยู่เรื่อยๆ โดยตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิญญาณของพระนาง Ann Boleyn แห่ง Henry ที่ 8 นั่นเองครับ และก็เป็นวิญญาณของพระนางนี่เองครับที่ปรากฎกายให้เห็นกันบ่อยครั้งที่สุด
เกล็ดเล็กเกล็ดน้อยพอขำๆ : พระนางแอนน์ โบลีน (Ann Boleyn) คือราชินีองค์ที่ 2 แห่งกษัตริย์เฮนรี่ที่ 8 พระนางต้องโทษประหารชีวิตเพราะถูกกล่าวหาว่าคบชู้กับชายหนุ่มถึง 5 คนครับ จากตำราบางเล่มกล่าวไว้ว่า พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ก็คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังข้อกล่าวหานี้เพราะต้องการราชินีองค์ใหม่ซึ่งก็คือ Jane Seymore
อันดับที่ 2 : Eastern State Penitentiary , Pennsylvania
เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของเหล่านักล่าผีครับ ตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดของที่นี่ก็คือตำนานของ Al Capone ที่ถูก James Clark ตามหลอนหลอนจนตายที่นี่นั่นเองครับ แม้ปัจจุบันที่นี่จะไม่ได้เปิดใช้งานแล้ว แต่ทว่าก็ยังมีการจัดทัวร์พิเศษและได้รับการบูรณะอยู่เรื่อยๆครับ
อันดับที่ 3 : เรือ Queen Mary , California
แม้ปัจจุบันจะกลายเป็นโรงแรมไปแล้ว แต่ทว่าตำนานหลอนไม่ได้จางหายตามไปพร้อมกับหน้าที่ของมันครับ ซึ่งตำนานที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ หญิงในชุดขาว นั่นเอง ว่ากันว่าที่สถิตประจำของเธอก็คือที่ Front ครับ มีรายงานพบเห็นเธอบ่อยครั้งมากทีเดียวโดยผู้ที่เข้ามาใช้บริการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ ผีในสระน้ำ และเสียงกรีดร้องลึกลับที่บอกที่มาที่ไปไม่ได้อีกด้วย
อันดับที่ 4 : Raynham Hall , England
ที่นี่ก็คือสถานที่ซึ่งเป็นต้นกำเนิดตำนาน The Brown Lady นั่นเองครับ (หนึ่งในวีดีโอที่ไม่สามารถหาหลักฐานมาล้างได้ว่าแต่งขึ้นหรือไม่และอย่างไรแม้กระทั่งในปัจจุบัน)
อันดับที่ 5 : ทำเนียบขาว

คุณไม่ได้อ่านผิดและผมก็ไม่ได้พิมพ์ผิดครับ ถูกต้องแล้วครับผมหมายถึงทำเนียบขาวหรือ The White House ใน D.C. นั่นล่ะครับ ว่ากันว่าบ่อยครั้งที่เดียวที่มีเจ้าหน้าที่ได้พบเห็นวิญญาณของอดีตประธานาธิบดีผู้มีชื่อเสียงหลายต่อหลายคนที่นี่ โดยวิญญาณที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือวิญญาณของประธานาธิบดีลินคอร์นนั่นเองครับ

ผลลัพธ์จากการค้นหา

แน่นอนครับว่าเมื่อมีการค้นหาก็ต้องมีหลักฐานจากการค้นหา  ซึ่งผลลัพธ์ที่ว่ามาบางครั้งนั้นก็มาในรูปของรูปภาพ , คลิปวีดีโอ , เสียง หรือไม่มีอะไรเลยนอกจากประสบการณ์ในความทรงจำของคุณเอง  มีบ่อยครั้งมากครับที่ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นกลับกลายเป็น "เรื่องบังเอิญ" หรือไม่ก็ "ตำนานหลอกเด็ก"  ทว่าก็มีหลักฐานบางชิ้นเหมือนกันครับที่ไม่อาจบอกได้ว่าเป็นจริงหรือไม่อย่างไร (หลักฐานที่ว่าส่วนใหญ่ก็คือภาพประกอบและคลิปที่ผมนำมาแปะไว้นี่เองครับ)

ในกรณีที่เป็น "หลักฐานเท็จ"  หรือก็คือเป็นหลักฐานที่ไม่จริง , เป็นเรื่องที่กุขึ้น หรือเกิดจากความบังเอิญ  ส่วนใหญ่แล้วผลงานของคุณจะถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาสตร์อย่างไวที่สุดครับ

แต่ทว่าในกรณีที่เป็น "หลักฐานจริง" หรือก็คือหลักฐานที่เป็นของจริงหรือหลักฐานที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นเท็จ  ผลงานเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีมูลค่าและบางครั้งมูลค่าของมันอาจจะสูงในระดับที่ประเมินค่ามิได้ครับ  เหตุนี้เองที่ทำให้มีนักล่าผีอยู่มากมายเต็มไปหมดทั่วโลก (ผมไม่ได้หมายถึงพวกเขาประกอบอาชีพนี้เป็นอาชีพหลักนะ  ทว่าทุกครั้งที่มีเวลาว่าง  พวกเขามักจะทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการค้นคว้าความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้)

"หลักฐานจริง" จัดได้ว่าเป็นของที่มูลค่าไม่ว่าจะเป็นสำหรับนักวิจัยเรื่องลี้ลับต่างๆหรือแม้กระทั่งในแวดวงวิทยาศาสตร์ครับ  หลายๆคนอาจจะคิดว่า  "วิทยาศาสตร์" นั้นเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับ "เรื่องลี้ลับ" อย่างชัดเจน  แต่ก็มีนักวิทยาศาสตร์มากมายหลายท่านที่ผมเคยเจอชื่นชอบในเรื่องราวเหล่านี้ครับ  บ่อยครั้งทีเดียวที่ "เรื่องลี้ลับ" ได้ถูกไขข้อข้องใจจนสามารถเป็น "ปรากฎการณ์ธรรมชาติ" ได้สำเร็จ  แม้อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปีๆเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ได้มา  แต่ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่จะทำครับ  เพราะถ้า "เรื่องลี้ลับ" นั้น "เป็นจริง" และสามารถอธิบายเป็น "ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ" ได้  ก็เป็นไปได้ที่เราค้นพบความรู้ใหม่ๆหรือทฤษฎีใหม่ๆที่สามารถนำไปต่อยอดได้สำเร็จ

"นักวิทยาศาสตร์ที่ดีคือผู้ที่ยินดีจะรับฟังทุกสิ่งที่ควรฟัง 

การฟังเฉพาะสิ่งที่ตัวเองต้องการฟังทำให้พลาดสิ่งดีๆที่ควรจะได้รับไปเสมอ"

สรุปแล้ว...
ยากมากที่จะบอกได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงหรือเท็จเพียงใดครับ  เพราะ ณ ปัจจุบันเรายังคงไม่สามารถที่จะอธิบายหรือหักล้างด้วยเทคโนโลยีที่เรามีอยู่ได้ (ผมต้องขอออกตัวไว้ก่อนว่าผมเป็นคนหนึ่งครับที่ค่อนไปทางไม่เชื่อ จริงที่ว่าผมมักจะไปร่วมการพิสูจน์เรื่องเหล่านี้อยู่บ่อยๆด้วยตัวเองและเจอเรื่องแปลกๆมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เคยเจออะไรเป็นหลักฐานมากพอที่จะมากล่าวได้ว่า มันเป็นจริงแน่ หรือหลักฐานหักล้างว่า มันโม้ชัวร์ๆ แม้แต่ครั้งเดียว) ด้วยเหตุนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่เสียหายอะไรที่จะเชื่อไว้บ้าง อย่างน้อยก็ดีกว่า เชื่อจนหน้ามืดตามัว หรือ ตะโกนปาวๆว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เพราะจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของมนุษย์ สิ่งที่เราเคยบอกว่า เป็นไปไม่ได้ มักจะได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นไปได้ ในภายหลังอยู่เสมอครับ (แต่ในกรณีอย่าง น้ำผุดจากส้วมหรือพลังจักรวาลอันนี้ขอยกไว้ในฐานที่เข้าใจ)

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่