เรื่องเล่าจากเกม : ตำนานหมาป่าสีขาวแห่งริเวีย

กระทู้สนทนา

บทความนี้จะเน้นหนักไปที่รายละเอียดที่เกมอ้างถึงแต่ทว่าไม่ได้กล่าวไว้ในเกมเป็นหลักครับ  ซึ่งรายละเอียดต่างๆนี้ผู้เขียนก็ได้หยิบยกมาจากในส่วนของ Novel และ Comic  จึงเป็นไปได้ว่าจะมีข้อผิดพลาด  ซึ่งถ้าเกิดขึ้น ก็ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ผมเชื่อว่าถ้าคุณเป็นคอ RPG พันธุ์แท้ คงเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่รู้จักตัวละครที่ชื่อว่า Geralt of Rivia หรือ The White Wolf

          ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึงตัวเอกแห่งเกม The Witcher หนึ่งในเกมซึ่งตรึงแน่นอยู่ในหทัยจิตของชาว RPG หลายต่อหลายคนนั่นเอง  ด้วยอุปนิสัยที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (บ้ากาม เสพติดสุราเรื้อรัง และชอบสนทนาด้วยกำปั้นเป็นพิเศษ) และความสามารถเฉพาะตัวที่ยากจะหาตัวละครอื่นใดมาเปรียบ The White Wolf จึงเป็นหนึ่งในตัวละครที่ยากจะลืมได้ครับสำหรับใครหลายๆคน

          โดยสำหรับเรื่องเล่าจากเกมในตอนนี้ ผมจะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับหมาป่าสีขาวแห่งริเวียหรือ Geralt of Revia กันครับ

ปูมหลังที่น่าสนใจ
          Geralt เป็นบุตรของนักรบนามว่า Korin และผู้วิเศษ Visenna ครับ โดยอันที่จริงแล้ว Geralt นั้นไม่ได้เกิดใน Rivia หรือมีความเกี่ยวข้องกับดินแดนแห่งนี้แต่อย่างใด แต่ทว่าเหตุที่ Geralt นั้นถูกเรียกว่า Geralt of Rivia นั้นก็แค่เพื่อต้องการสร้างความน่าเชื่อถือต่อผู้ว่าจ้างเท่านั้นเอง (แรกเริ่มเดิมทีนั้น Geralt ต้องการที่จะใช้ชื่อ Geralt Roger Eric du Haute Bellegarde แต่ทว่า Vesemir ลงความเห็นว่า ชื่อนั้นมันบัดซบชมัด ด้วยเหตุนี้ Vesemir จึงต้องเหนื่อยตั้งชื่อใหม่ให้แก่ Geralt ว่า Geralt of Rivia ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกขาน แต่หลักๆแล้วก็เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือเช่นที่บอกไปข้างต้น เพราะ Rivia เป็นอาณาจักรที่มีอำนาจในการต่อรองพอสมควรในช่วงเวลานั้น)
          นับตั้งแต่จำความได้ สิ่งเดียวที่ Geralt สามารถจดจำได้ก็คือ สถานที่ซึ่งรู้จักกันดีในนาม Kaer Morhen หรือก็คือบ้านของเหล่า Witchers นั่นเอง (ชื่อของปราการแห่งนี้มีความหมายว่า ปราการแห่งทะเลเก่า ซึ่งก็ยากจะบอกได้ว่าเพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น เพราะสถานที่ตั้งของ Kaer Morhen นั้นอยู่ในหุบเขาของดินแดน Kaedwen แน่นอนว่าไกลจากทะเลมากมายนัก) Geralt เติบโตที่นี่และได้รับการฝึกฝนโดยหนึ่งในปรมาจารย์แห่งเหล่า The Witcher ผู้มีนามว่า Vesemir
          และเมื่อ Geralt ย่างเข้าสู่วัยรุ่น เขาก็ต้องเข้ารับการทดสอบที่รู้จักกันดีในนาม Trail of The Grasses (บททดสอบที่ Witchers ทุกคนจำเป็นต้องผ่านให้ได้เพื่อจะเป็น Witcher เต็มตัว ซึ่งผู้ฝึกฝนแต่ละคนจำเป็นจะต้องดื่มตัวยาที่เรียกว่า The Grasses ซึ่งใครก็ตามที่สามารถทนทานต่อผลข้างเคียงของตัวยาได้และรอดชีวิตก็จะมีความสามารถในการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆเหนือมนุษย์และมีความสามารถทางกายภาพที่เพิ่มพูนขึ้นมหาศาล) และแน่นอนว่า Geralt ของเราก็สามารถที่จะรอดชีวิตจาก The Grasses มาได้สำเร็จ แต่ผลของการทดสอบก็ทำให้ผมบนศีรษะทั้งหมดของเขาแประเปลี่ยนกลายเป็นสีขาวโพลน และผมสีขาวโพลนนี่เองครับก็คือที่มาของฉายาของเขา หรือ The White Wolf (Gwynbleidd)
          และเมื่อ Geralt สามารถที่จะผ่านการทดสอบได้แล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางไปจาก Kaer Morhen ทันทีครับ โดยเขาตัดสินใจที่จะเป็น นักล่าอสูรรับจ้าง

          นี่เองก็คือจุดเริ่มต้นตำนานของหมาป่าสีขาวแห่งริเวีย...

การเดินทางของหมาป่าสีขาวแห่งริเวีย
          Geralt of Rivia เป็นที่รู้จักครั้งแรกจากหนังสือที่ชื่อ The Last Wish ครับ (by Andrzej Sapkowski) ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้นเป็นภาษา Polish ก่อนที่จะถูกแปลออกมาเป็นภาษาอื่นๆในเวลาต่อมา โดยหนังสือจะถูกแบ่งออกเป็น 7 ส่วนด้วยกัน (ย้ำว่า 7 ส่วนไม่ใช่ 7 ตอน) ซึ่งในส่วนของเนื้อหาหลักจะถูกเรียกว่า The Voice of Reason ซึ่งในส่วนนี้จะใช้เป็นเหตุการณ์หลักที่นำไปใช้เพื่อโยงเข้าสู่เหตุการณ์ในอีก 6 ส่วนที่เหลือครับ  ซึ่งภายในเกมเอง (The Witcher) นั้นได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ในเล่มนี้หลายต่อหลายครั้งทีเดียว  ด้วยเหตุนี้ผมจึงตัดสินใจหยิบยกเหตุการณ์ที่ถูกเอ่ยถึงในเล่มมาเล่าสู่กันฟังครับ  โดยรายละเอียดของตอนต่างๆภายในเล่มก็ติดตามกันได้ต่อไปนี้เลย
          The Voice of Reason

          เนื้อหาในส่วนของ The Voice of Reason จะถูกสับออกเป็น 7 ส่วนด้วยกัน ซึ่งแต่ละส่วนก็จะคั่นอยู่ระหว่างเหตุการณ์ตอนอื่นๆอีก 6 ตอนที่เหลือ ซึ่งเนื้อหาหลักๆนั้นจะเอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน The Temple of Melitele ซึ่ง Geralt ใช้เป็นที่พักฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และในระหว่างนี้เองครับที่ทำให้ Geralt ได้มีโอกาสนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ตนเคยเผชิญมาในอดีต ซึ่งเหตุการณ์ในอดีตที่ว่าก็คือเหตุการณ์ในอีก 6 ตอนที่ผมกำลังจะกล่าวถึงต่อไปนี้เองครับ

The Witcher

          ผมเชื่อว่าคุณคงยังจำได้ดีถึงฉากเปิดของเกมซึ่งเป็นฉากการต่อสู้ระหว่าง Geralt และ Striga ซึ่งเหตุการณ์ที่ว่ามานั้นก็คือเหตุการณ์ในตอนนี้นั่นเองครับ ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนี้ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ช่วงที่ Geralt เดินทางมาถึงยัง Vizima และได้รับข้อเสนอจาก King Foltest ให้ช่วยจัดการถอนคำสาปให้กับลูกสาวของเขาซึ่งก็คือ Adda นั่นเอง (ซึ่งถ้าคุณได้เล่น The Witcher  ไปจนถึงช่วงกลางๆถึงปลายเกม คุณก็จะได้เจอทั้ง 2 คนในเกมด้วย) ส่วนเหตุการณ์นี้ลงเอยอย่างไร คุณสามารถดูได้จากฉากเปิดของเกมครับ

A Grain of Truth

          ถ้าคุณชื่นชอบเรื่องราวชวนฝันของดิสนีย์ ผมเชื่อว่าคุณคงจะจดจำได้ดีถึงเรื่องราวอันชวนประทับใจระหว่าง The Beauty และ The Beast ได้อย่างดี ในส่วนของ A Grain of Truth นั้นก็มีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกันครับ (เพียงแต่ว่ามืดมนกว่ามากมายนัก) โดยเนื้อหาส่วนนี้ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งที่ Geralt ได้เดินทางไปพบกับคฤหาสน์แห่งหนึ่งเข้า ซึ่งเจ้าของของคฤหาสน์แห่งนั้นก็คือ Nivellen ผู้ถูกสาปนั่นเอง แม้การพบกันในครั้งแรกนั้นจะไม่ชวนให้ประทับใจนัก แต่ในท้ายที่สุด Nivellen ก็ตัดสินใจเชิญ Geralt เข้าสู่คฤหาสน์เพื่อร่วมโต๊ะกินมื้อค่ำด้วยกัน ก็เช่นเดียวกันกับตำนานของ Beauty & The Beast ครับ Nivellen เชื่อในตำนานที่ชื่อว่า A Grain of Truth อันเป็นตำนานที่ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับ โฉมงามที่เปลี่ยนเจ้าชายอสูรให้กลายเป็นชายหนุ่มรูปงามได้สำเร็จด้วยความรัก ซึ่ง Nivellen ก็ได้พยายามทำเช่นเดียวกันกับในตำนานนั้น ฟังดูน่าจะเป็นเรื่องราวชวนฝันนะครับ แต่ไม่ใช่แน่ๆในเมื่อนิทานเรื่องนี้มีตัวเอกก็คือชายผู้มีนามว่า Geralt of Rivia จริงที่ว่า Nivellen พยายามที่จะหลีกเลี่ยงการเอ่ยถึงโฉมงามของเขา แต่ในท้ายที่สุด Geralt ก็ค้นพบความจริงเกี่ยวกับโฉมงามของ Nivellen ครับ ซึ่งโฉมงามของเจ้าชายอสูรก็คือ Bruxa นั่นเอง (ซึ่งในเกมคุณจะได้มีโอกาสเผชิญหน้ากับ Bruxa ได้ที่ชั้นบนของ House of The Queen of The Night และใน ACT IV - V)

The Lesser Evil
          ข้าเคยได้ยินมาว่า Witcher สามารถที่จะปัดคันศรสังหารได้
          ในช่วงต้นๆของเกมที่ Professor ได้กล่าวกับ Geralt นั้นจริงแท้แน่นอนครับ เพราะหนึ่งในช็อตเด็ดของ The Lesser Evil ก็คือฉากที่ Geralt ต้องเผชิญหน้ากับคันศรสังหารนับสิบนั่นเอง และแน่นอนว่า Geralt สามารถปัดป้องมันได้หมดราวกับนีโอหยุดกระสุนเลยทีเดียว
          เหตุการณ์ใน The Lesser Evil ได้กล่าวถึงเรื่องราวความขัดแย้งระหว่าง Renfri หญิงสาวที่เชื่อกันว่าถูกสาป กับ Stregobor ผู้วิเศษผู้ที่เคยคิดจะสังหารเธอเพราะเชื่อว่าเธอเป็นเด็กสาวผู้ถูกสาป โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ Blaviken ครับ ซึ่ง Geralt นั้นก็ได้เดินทางมาถึงที่นี่ในช่วงเวลาที่ Renfri เตรสำหรับการโจมตี Blaviken เพื่อเอาชีวิต Stregobor ผู้เป็นผู้วิเศษของที่นี่ โดยทั้ง Stregobor และ Renfri ก็ได้ยื่นข้อเสนอต่อ Geralt ให้ช่วยจัดการกับศัตรูของตนด้วยเหตุผลเดียวกันที่ว่า เขา/เธอ คือผู้ที่ถูกปีศาจร้ายสิงสู่ และนี่เองครับคือเหตุการณ์ที่ทำให้ Geralt ได้รับฉายาอีกฉายาหนึ่งว่า The Butcher of Blaviken เพราะเขาได้ทำการก่อคดีนองเลือดด้วยการสังหาร Renfri และพรรคพวกของเธอจนหมดในค่ำคืนที่เกิดเหตุวุ่นวายนั่นเอง

A Question of Price
          การลงทุนย่อมนำมาซึ่งค่าตอบแทนเสมอ
          เรื่องราวในส่วนนี้คือหนึ่งในตอนที่แสดงถึงความเป็น Geralt of Rivia ได้มากที่สุดครับ เพราะในตอนนี้ได้มีการพูดถึงจุดยืนของ Witchers และค่าตอบแทนที่เหล่า Witchers ควรจะได้รับในการเอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อโค่นอสูรร้ายด้วย
          เหตุการณ์ใน A Question of Price จะดำเนินไปโดยมีฉากหลังก็คืองานเลี้ยงอันหรูหราของพระราชวังแห่ง Cintra ซึ่ง Geralt ก็ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานด้วยและได้นั่งเคียงข้างกันกับราชินี Calanthe เลยทีเดียว ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างก็ยังคงดำเนินไปด้วยดีจนกระทั่ง...
          แขกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นครับ เขาก็คือ Urcheon of Erlenwald ผู้ที่มาเพื่อทวงสัญญาที่ King Roegner เคยให้กับเขาไว้ตามกฏที่เรียกว่า The Law of Surprise (สัญญานี้คือสัญญาที่ว่าด้วยการตอบแทนหลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ทำบางสิ่งตามคำร้องขอของอีกบุคคลหนึ่งได้เสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งค่าตอบแทนที่ Witchers ได้รับก็ยืนอยู่บนฐานของสัญญานี้เช่นกันครับ) โดยสัญญาที่ King Roegner ได้มอบไว้ให้แก่ Urcheon นั้นก็คือ บุตรีของเขาหรือก็คือเจ้าหญิง Pavetta นั่นเอง ซึ่งในขณะนั้นเจ้าหญิงก็มีอายุได้ 15 ปีพอดี
          แค่ปล่อยลูกสาวไปกับชายแปลกหน้านั้นก็ประหลาดพออยู่แล้ว และไม่มีทางแน่ๆถ้าชายแปลกหน้าที่ว่านั้นก็คืออสูรกาย ใช่แล้วครับ Urcheon นั้นก็คืออมนุษย์ ด้วยเหตุนี้ ไม่มีทางแน่ๆที่ราชินี Calanthe จะยอมปล่อยบุตรีของเธอไปกับอมนุษย์ที่จู่ๆก็มาเอื้อนเอ่ยทวงสัญญากันดื้อๆเช่นนี้ แน่นอนว่าเธอพยายามกระทำทุกวิถีทางเพื่อทำลายสัญญาที่ว่านั้น โดยราชินีได้เสนอว่า ถ้าบุตรีของข้ายอมตกลงตามข้อเสนอของเจ้า ข้าก็จะปล่อยนางให้ไปกับเจ้า ซึ่งอันที่จริงแล้วก็คงไม่มีเจ้าหญิงงามคนใดหรอกครับที่ยอมตกลงปลงใจไปกับอมนุษย์ แต่ทว่า...
          เจ้าหญิงกลับตกลงตามสัญญาที่บิดาเธอให้ไว้อย่างหน้าตาเฉย ก็แน่นอนล่ะครับว่าราชินี Calanthe ทรงพิโรธอย่างมากและสั่งการให้ทหารทำการโจมตี Urcheon และนี่ก็คือจุดเริ่มต้นของเหตุวุ่นวายในพระราชวังแห่ง Cintra
          แม้ฟังๆดูสถานการณ์ไม่น่าจะจบลงได้ด้วยดี แต่ทว่าเหตุการณ์กลับจบลงได้อย่าง Happy Ending ไม่น้อย หลังจากเหตุวุ่นวายคลี่คลายลง ราชินีก็ตกลงยอมให้ Urcheon และ Pavetta ได้สมหวังในความรักเช่นที่ทั้งคู่ต้องการครับ และ Urcheon ก็ได้เสนอค่าตอบแทนตามกฏ The Law of Surprise ให้กับ Geralt ที่ช่วยปกป้องเขาในระหว่างเหตุวุ่นวายด้วย ซึ่งแน่นอนครับว่ามีหรือที่ Geralt จะไม่ตอบตกลง และสิ่งที่ Geralt ต้องการก็คือบุตรของทั้งคู่นั่นเอง (Geralt หวังว่าจะฝึกบุตรของทั้งคู่ให้เป็น Witcher เช่นตัวเขาเองนั่นเองครับ แต่น่าเสียดายที่เขาต้องผิดหวัง เพราะทั้งคู่มีบุตรีนามว่า Ciri ซึ่งก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยใน The Witcher Saga ซึ่งเป็น Novel เล่มต่อๆไปของ Series นี้)

The Edge of The World
          สุดขอบโลก ในที่นี้นั้นก็หมายถึง สุดขอบแผนที่ ครับ ในตอนนี้ได้เอ่ยถึงการผจญภัยของ Geralt of Rivia กับสหายรัก Dandelion ที่เดินทางไปจนถึงสุดขอบโลกนั่นเอง (หรือก็คือสุดขอบแผนที่นั่นล่ะ) ซึ่ง Lute ที่ Dandelion ใช้ในเกมนั้นก็คือ Lute ที่ได้มาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้นี่เองครับ ซึ่งเหตุการณ์ใน The Edge of The World นั้นค่อนข้างที่จะเรียบๆเนือยๆพอสมควรและเน้นหนักไปที่การออกผจญภัยของคู่หู Geralt และ Dandelion มากกว่าที่จะเน้นไปที่การหักมุมเล็กๆที่พบได้ในตอนอื่นๆ คุณสามารถพบรายละเอียดเกี่ยวกับเหตุการณ์ใน The Edge of The World ได้บ้างประปรายในเกมด้วยครับ

The Last Wish
          ถ้าคุณเล่นเกมแบบเก็บรายละเอียดสักนิด คุณก็คงจะจดจำได้ดีถึงบทกวีที่ Dandelion กล่าวถึงผู้วิเศษที่ตกลงปลงใจกับ Geralt of Rivia ซึ่งก็มีหลายคนทีเดียวที่คิดว่าผู้วิเศษที่ว่านั้นหมายถึง Triss Merigold แต่อันที่จริงแล้ว ผู้วิเศษที่ Dandelion เอ่ยถึงนั้นก็คือ Yennefer of Vengerberg ซึ่งปรากฏตัวในตอน The Last Wish นี่เองครับ
          ชื่อ The Last Wish นั้นอันที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีความนัยแอบแฝงแต่อย่างใด แต่ทว่าเป็นความหมายตรงตัวที่หมายถึง พรประการสุดท้าย ซึ่งเหตุการณ์ในตอนนี้ก็เริ่มต้นขึ้นเมื่อ Geralt และ Dandelion ต้องเผชิญหน้ากับ Djinn อสูรผู้เสนอพรสามประการให้แก่พวกเขา และชื่อตอนที่ว่า พรประการสุดท้าย นี้ก็หมายถึงพรข้อสุดท้ายที่ Geralt ร้องขอต่อ Djinn นั่นเอง

ทั้งหมดที่ว่าไปก็คือสิ่งที่คุณจะได้พบใน The Last Wish ซึ่งเป็น Official Book เล่มแรกที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของ Geralt of Rivia ครับ โดยหลังจากที่ประสบความสำเร็จใน The Last Wish ไปเป็นที่เรียบร้อย นิยายเล่มต่อๆไปก็คลอดตามกันออกมาในทันที ซึ่งนิยายเล่มที่ว่าเหล่านั้นก็คือนิยายในชุด The Witcher Saga นั่นเอง (The Last Wish ไม่ได้จัดอยู่ใน The Witcher Saga แต่เป็นเพียงการนำรวบรวมเรื่องสั้นที่เกียวข้องกับ Geralt of Rivia เข้ามาไว้ด้วยกันเท่านั้นเอง) ซึ่งที่ถูกแปลออกมาเป็นภาษาอังกฤษให้เราได้มีโอกาสอ่านกันแล้วในตอนนี้ก็มีแค่ Blood of Elves เท่านั้นเองครับ (ที่มาของชื่อหนังสือนั้นก็มาจาก Ciri บุตรีของ Urcheon และ Pavetta ในตอน A Question of Price และตัวละครที่เราคุ้นเคยในเกมอย่าง Triss หรือ Lambert ก็เริ่มจะโผล่ขึ้นมาในเล่มนี้ล่ะครับ) โดยเนื้อหาหลักๆของเกมที่เราได้เล่นกันส่วนใหญ่นั้นก็มักจะอิงอยู่บนฐานของ The Last Wish และ Blood of Elves เป็นหลัก (แต่เน้นหนักไปที่ The Last Wish แถมท้ายด้วยรายละเอียดจากเล่มอื่นๆอีกเล็กน้อย)
          แม้ว่าใครหลายๆคนจะได้มีโอกาสเล่น The Witcher จนจบไปหลายต่อหลายรอบแล้วก็ตาม แต่ค่อนข้างชัดเจนครับว่าตำนานของหมาป่าสีขาวแห่งริเวียยังไม่ปิดฉากลง (ถ้าใครเล่นเกมจนจบก็คงจะได้รู้แล้วว่าเพราะอะไรผมถึงบอกเช่นนั้น) ซึ่ง ณ เวลานี้ The Witcher II : Assassins of Kings (ไม่แน่นอนว่าเมื่อเกมออกจะยังคงเป็นชื่อนี้ แต่นี่คือชื่อที่ใช้ในตอนนี้) ก็คือหนึ่งใน Topic หลักที่เหล่าแฟนบอยของ Geralt of Rivia หยิบยกมาเป็นประเด็นพูดคุยกันจนหนาหูเลยทีเดียวครับ และทางทีมพัฒนาก็ออกมาแสดงท่าทีชัดเจนว่าในไม่ช้าก็เร็ว Geralt of Rivia จะได้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นอยู่บนหน้าจอมอนิเตอร์ของเราๆท่านอีกอย่างแน่นอนที่สุด
          อะไรคือหายนะครั้งต่อไปที่ Geralt จะต้องเผชิญนั้นเป็นเรื่องที่ยากจะเดาครับ สิ่งเดียวที่พวกเราจะทำได้ก็มีเพียงแค่ว่าอย่าให้ตำนานบทนี้กลายเป็น Forever ไปเท่านั้นเอง


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่