ณ บ่ายวันจันทร์อันแสนร้อนรุ่มอบอ้าวและเมฆฝนตั้งเค้าเตรียมจะเทลงมา ผม นายบ้าเกม ที่กำลังนั่งชิลกับงานเอกสารไปตามปกติก็ได้รับโทรศัพท์ยิงตรงเข้าเครื่องจากน้องคนหนึ่งที่รู้จักกันดี
"หวัดดีพี่" เสียงนี้ไม่ใช่ใคร นาย SaChaz แห่ง ppantip.com ที่มักจะโทรมาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเป็นครั้งคราว
"เอ้อ ว่างาย ไม่ได้คุยกันนาน สบายดีมั้ย?"
"ก็ดีครับ ว่าแต่ พรุ่งนี้ว่างมั้ย" นาย SaChaz เอ่ยถามขึ้นมาทันควัน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีธุระอะไรในวันอังคารอยู่แล้ว เลยตอบกลับไปแบบสบาย ๆ ตามประสา แต่คำตอบจากอีกฝั่งของสายที่ได้กลับมา ทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในทันควัน
"เยี่ยมเลยพี่ พอดีทาง Saluzi เขาเชิญให้ไปทดสอบ Mass Effect 2 ที่สำนักงานใหญ่น่ะ ไปมั้ย?"
"พูดเป็นเล่นน่ะ!!" ผมตอบกลับด้วยอารามตกใจ "เกมมาแล้วเหรอ!?"
"แหงครับ ถ้าสนใจก็ไปด้วยกันเลย"
กล่าวโดยสรุป สิ่งที่ท่านจะได้พบในวรรคถัดจากนี้ คือการล้วงลับตับแตกถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังภาคต่อของสุดยอดเกม RPG ประจำปี 2007 อย่าง Mass Effect 2 ของค่าย Bioware ที่ผม , นาย SaChaz , นาย Ayslashyk , นาย s.jf.logan และนาย Yagami_Alice แห่งบอร์ด VGB ได้ไปเป็นประจักษ์พยานทั้งสองตาและสองมือ และพร้อมจะนำเสนอให้นักเล่นเกมทั้งหลายได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับตัวเกมที่จะวางจำหน่ายทั่วจักรวาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าคุณพร้อม เราขอเชิญ!
(หมายเหตุ :: บทความถัดจากนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
(หมายเหตุ 2 :: เนื่องด้วยทาง Saluzi ไม่อนุญาตให้เรา capture ไฟล์ภาพจากตัวเกมได้โดยตรง จึงใช้การถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล ผสมกับไฟล์ภาพ official ที่ได้รับมาเพื่อประกอบบทความ)
(หมายเหตุ 3 :: ขอขอบคุณบริษัท Saluzi ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทดสอบเกม และเอื้อเฟือภาพประกอบกับข้อมูล Minimum Requirement ของตัวเกมครับ)
//ชะตากรรมแห่งผู้การ Shepard :: การดับสูญและฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง//
"ผมไม่หนีหรอกผู้การ ผมรักษายานลำนี้ไว้ได้แน่!!" เสียงตะโกนของ Joker พลขับแห่งยานรบ Normandy แห่งกองกำลัง Alliance ดังก้องขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องโกลาหลของลูกเรือที่ล้มตายและเสียงของลำแสงเลเซอร์ที่สาดผ่านตัวถังให้ฉีกขาดราวกับกระดาษ นี่คือสถานการณ์วิกฤติที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับฉากเปิดเกมของ Mass Effect 2 เพราะหลังจากเหตุการณ์ของเกมภาคแรกสามเดือน ผู้การ Shepard มือปราบ Spectre คนแรกแห่งมนุษยชาติ ได้ออกเดินทางสืบเรื่องราวในคดีลึกลับที่ผู้คนในอาณานิคมของมนุษย์ถูกลักพาตัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหล่า Reapers เผ่าพันธุ์จักรกลโบราณที่เกือบจะทำให้ทุกชีวิตในจักรวาลต้องถึงกาลวสานไปหรือไม่...
แต่การสืบสวนก็มาถึงจุดสิ้นสุด...
พร้อมกับความพินาศแห่งยาน Normandy...นี่คือสภาพของยาน Normandy SR1 ในเหตุการณ์บุกจู่โจมจากยานรบลึกลับ พร้อมหายนะของ Shepard ที่ใกล้เข้ามา...
Shepard และลูกเรือถูกไล่ล่าจากยานรบขนาดยักษ์ไร้สัญชาติ ด้วยการโจมตีที่ทำลายยานที่ทันสมัยที่สุดแห่งจักรวาลได้ในพริบตา มือปราบอวกาศพยายามช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างสุดความสามารถ แต่กลับไม่สามารถพาตัวเองให้พ้นจากจุดอับแห่งชะตากรรม เมื่อยานระเบิดเป็นชิ้น ๆ ส่งร่างเขากระเด็นออกนอกตัวถัง สายออกซิเจนฉีกขาด และความตายคืบคลานชนิดเสี้ยวพริบตาจากการขาดอากาศหายใจ และดิ่งผ่านชั้นบรรยากาศลุกไหม้กลายเป็นเปลวเพลิง...
ผู้การ Shepard...ตายแล้ว...
นี่คือสิ่งที่ทุกคนในจักรวาลแห่ง Citadel รับรู้และเข้าใจ หากแต่ในความเป็นจริง ภารกิจของ Shepard หาได้เล็ดลอดผ่านสายตาของ Illusive Man ผู้นำแห่งองค์กร Cerberus อันแสนลึกลับ ที่เล็งเห็นถึงภัยร้ายครั้งใหม่ที่จะคุกคามมนุษยชาติไปไม่ และพร้อมจะทุ่มทรัพยากรจำนวนมหาศาล บวกกับวิทยาการแห่งการโคลนนิ่งและ Cybernatic อันล้ำสมัย เพื่อเรียก Spectre คนแรกแห่งมนุษยชาติให้ "กลับมาประจำการ" อีกครั้ง ในภารกิจแสนอันตรายที่กำลังจะมาถึง
Shepard...คืนชีพอีกครั้ง
และมีแต่เขาเท่านั้น ที่จะกุมชะตาแห่งความอยู่รอดของมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์แห่งจักรวาล...
โฉมหน้าของ Illusive Man ผู้นำอันแสนลึกลับแห่ง Cerberus...
//สวยงาม รวดเร็ว ฉับไว ไฉไลราวกับคนละเกม//
"เอาล่ะ ลองเล่นกันเลยดีกว่า" เสียงของ s.jf. logan หนึ่งในผู้ร่วมทดสอบที่เดินทางไปด้วยกันเอ่ยขึ้น พร้อมกับ Ayslashyk ที่จับเมาส์และคีย์บอร์ด ควบคุมร่างของ Shepard ที่ถูกปลุกขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลแห่งห้องทดลองของ Cerberus ชนิดสด ๆ ร้อน ๆ บนหน้าจอ โดยมีสักขีพยานร่วมหรอยร่วมชมอีกสามชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ระบบควบคุมใน ME2 ยังคงรูปแบบเดิม ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยด้วยปุ่ม W A S D และปุ่มยิงพร้อมเล็งด้วยเมาส์ตามสมัยนิยม เราเลือกที่ import ไฟล์เซฟเดิมเพื่อสานต่อเรื่องราว (เราจะขยายความในจุดนี้ภายหลัง) และสร้างตัวละคร Shepard ในคลาส Soldier เพื่อทดลองประสิทธิภาพของเอนจิ้นที่ได้รับการปรับปรุงแล้วของตัวเกม ซึ่งให้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก เพราะมีความลื่นไหลทั้งภาพและอนิเมชันตัวละครในระดับที่ดีไม่ใช่น้อย
แต่หลังจากได้ Jacob พี่มืดสาย Sentinel ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของฐานทัพ หนึ่งใน 10 ลูกทีมคนใหม่ที่ได้ในช่วงต้น และเริ่มเข้าสู่การห้ำหั่นฝ่าด่านกองทัพหุ่นยนต์นับโหลนี้เอง ที่ทำให้พวกเราประหลาดใจกับรูปแบบการเล่นของ ME2 เป็นอย่างมาก...
"ปุ่มสั่งการมันอยู่ตรงไหนละนี่?" ผมเอ่ยถาม Ayslashyk ที่กำลังนั่งเล่นอย่างเมามันท่ามกลางดงกระสุนที่ปลิวว่อนไปมา
"ปุ่ม Q และ E ใช้สั่งการลูกทีมซ้ายขวา ส่วนปุ่ม C ใช้เรียกลูกทีมกลับน่ะพี่"
"แค่นี้เองเหรอ? แล้วใส่คำสั่งตอนหยุดเกมได้รึเปล่า?" ผมถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย เพราะเคยชินกับการออกคำสั่งใน ME ภาคแรก ที่สามารถกำหนดจุดเฉพาะ รวมถึงการกระทำของลูกทีมได้ละเอียดดั่งลายนิ้วมือ
ระบบการต่อสู้ใน Mass Effect 2 ที่ใช้งานได้ง่าย คล่องตัว และมันส์ยิ่งกว่าเดิม...
"ไม่นะ ทุกอย่างมันเป็น Real-Time แต่ใช้งานง่ายมาก" เห็นจะจริงดังว่า เพราะแม้การออกคำสั่งจะกระทำไปในแบบ \'เวลาจริง\' (ยกเว้นตอนกด Shift เพื่อหยุดเกมชั่วคราวเลือกพลัง Biotic หรือ Skill พิเศษ) แต่กลับใช้งานได้ง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเกมก่อนหน้า ด้วยการออกคำสั่งลงพื้นที่ บวกกับความฉลาดของ A.I ของลูกทีมที่ทำได้ดีขึ้น ทำให้การต่อสู้ลื่นไหลไม่ติดขัด และไม่เสียอารมณ์เพราะลูกทีมในภาคนี้ไม่ได้สักแต่ยิงไปแบบสุ่ม ๆ แต่จะมีการเลือกจังหวะในการโจมตี ซุ่มหลบ หรือใช้พลังความสามารถได้ตรงกับสถานการณ์ อีกทั้งคลาส Soldier เองก็มีอาวุธทุกชนิดในคลังแสงให้เลือกใช้กันเสียตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ปืนพกขนาดเล็กจนถึงเครื่องยิงลูกระเบิด (ใช่แล้วครับ บอกลาระเบิดจิ๋วในเกมที่แล้วไปซะ เพราะในภาคนี้คุณจะได้ควักเอาเครื่องยิงขนาดเป้งมายัดน้อยหน่าด้วยตัวเองกันสด ๆ เลย) บวกกับความสามารถเฉพาะคลาสอย่าง Adrenaline Rush ที่ชะลอทุกอย่างรอบตัวให้ช้าลง ง่ายต่อการไล่เก็บเรียงตัว (นาย Ayslashyk ของเราก็โชว์สดด้วยการวิ่งเข้าไปต่อยสนุกสนานเลยทีเดียว) แต่ฝ่ายศัตรูก็ใช่ว่าจะร้ายกาจน้อยไปกว่ากัน เพราะหลายครั้งมีการซุ่มหลบ ตีโอบ หรือ \'หลอกดักทาง\' ให้เราหัวปั่น และทำเอาเจ็บไปหลายขนาน เรียกว่า A.I. ของบรรดาศัตรูก็ได้รับการยกเครื่องให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น (โดยเฉพาะกับหุ่น YMIR LOKI ร่างยักษ์กับเครื่องยิงจรวดที่แสบเข้าไส้) รวมถึง mini-game เปิดล็อค ถอดรหัส และการสำรวจดาวที่มาในรูปแบบใหม่ ที่แม้จะน่าสนใจและเข้าท่าในไอเดีย แต่พวกเราก็ลงความเห็นกันว่าค่อนข้างยุ่งยากและชวนให้งงในเบื้องต้นเอาเรื่อง (และอาจจะกลายเป็นความน่าเบื่อถ้าต้องเจอมันซ้ำซากในช่วงหลัง) แต่ก็ถือได้ว่าดูดีกว่าภาคแรกพอสมควร อีกทั้งระบบการเคลื่อนที่เองก็ปรับปรุงใหม่ให้เหมือนเกมอย่าง Gears of War โดยปุ่มอย่าง spacebar ถูกใช้เป็นปุ่มหลักสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การเปิดสวิทช์ สำรวจ หรือการพุ่งตัวเข้าหลบหลังที่กำบัง ที่แม้จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ในไม่นานก็พบว่าระบบนี้สะดวกอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยให้การเล่นไหลลื่นต่อเนื่องไม่ติดขัด
mini-game ถอดรหัสและต่อวงจรไฟฟ้าแบบใหม่ที่ท้าทาย (อย่างมาก) ใน Mass Effect 2
และสุดท้าย กับระบบ weapon overheat ที่เคยเป็นอุปสรรคระดับขำ ๆ ในภาคแรก แต่ไม่ใช่ปัญหาในการกราดยิงแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ถูกตัดออกและเปลี่ยนมาใช้ระบบ \'กระสุน\' ชนิดพิเศษที่สามารถหาเก็บได้ตามรายทางแทน ตอกย้ำทิศทางในการพัฒนา ME2 ของ Bioware ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของเกมให้กลายเป็นอีกชิ้นงานหนึ่งได้ชนิดที่แทบไม่เหลือเค้าเดิม จนดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเกม Third-Person Shooting ขนานแท้กันเสียด้วยซ้ำ
แต่มันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ ME2 พร้อมภูมิใจนำเสนอเท่านั้นเอง...
//Normandy SR2 กับการลดทอนหน้าจอเกินความจำเป็น//
"มาแล้ว! Normandy SR2!" Yagami_Alice หนึ่งในเพื่อนร่วมทดสอบเอ่ยขึ้น พร้อมกับพวกเราที่รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน ใช่แล้วครับ Illusive Man หัวหน้าองค์กร Cerberus ได้มอบยานลำใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจาก Normandy ลำเก่าให้แก่ Shepard ไว้ใช้สำหรับภารกิจระดับ \'ฆ่าตัวตาย\' ในครั้งนี้ ซึ่งนอกเหนือจาก Joker พลขับตลกหน้าตายคนเดิมที่มารับหน้าที่สารถีอวกาศแล้ว โครงสร้างภายในของตัวยานก็ได้รับการปรับเปลี่ยนชนิดยกเครื่อง แบ่งสัดส่วนชัดเจน และสวยงามน่าสนใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่แผนที่ Galaxy Map ที่ฉายภาพยานแบบ 3D Hologram ไปจนถึงห้องเครื่องแบบใหม่ (ที่กว้างใหญ่และโอ่โถงกว่าเดิม) อีกทั้งห้องพักของกัปตันยานที่เคยจืดชืดไร้สีสันในภาคที่แล้ว ก็มีลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้ลองทำมากมาย
เช่น ตู้ปลาที่สามารถซื้อหาปลาชนิดใหม่ ๆ มาเลี้ยงได้ (เป็นหนึ่งในเควสต์ย่อยตามรายทาง) , ตู้เสื้อผ้าสำหรับปรับแต่งสีและลายของชุดเกราะ (ตามใจชอบเลยครับ) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่มีข้อมูลน่าสนใจ อ้อ! ลูกเรือของยาน Normandy SR2 เองก็ดูมีเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน ตั้งแต่พนักงานห้องเครื่อง ไปจนถึง Yeoman Chambers เลขาสาวที่เราสามารถพูดคุยและสอบถามรายละเอียดด้านต่าง ๆ ได้โดยง่าย อย่างเช่น การวิจัยใหม่ ๆ จนถึงเรื่องราวจิปาถะของสมาชิกในทีม เป็นต้น
มาถึงตรงนี้ นอกจากการ deconstruct โครงสร้างของยาน Normandy SR2 แล้ว ทาง Bioware ยังจัดการกับระบบจัดเก็บของหรือ Inventory แบบพลิกไส้กันใหม่
เพราะในภาคนี้...บอกลา Inventory ไปได้เลย มันไม่มีครับ
"ไม่มี Inventory เหรอเนี่ย?" SaChaz เอ่ยถามขึ้นในขณะที่ทดลองเล่น จนสุดท้ายถึงได้เข้าใจ ว่าระบบไอเทมและอาวุธในเกมนี้ \'ปราศจากการจัดเก็บ\' แต่จะใช้การกำหนดอาวุธเฉพาะของแต่ละตัวละคร และแต่ละคลาสตายตัวไปเลย (อย่างเช่น คลาส Soldier ที่พวกเราเล่นนั้น มีอาวุธให้ครบ แต่ Miranda Lawson ลูกทีมสาว จะมีแค่ปืนพก,ปืนกล กับพลัง Biotic เท่านั้น) ในจุดนี้ ได้ยินว่าตัวเกมจะใช้การอัพเกรดอาวุธที่มีอยู่เดิมแทน เพื่อลดทอนความวุ่นวายสับสน และจะจัดการติดตั้งอาวุธได้ก็ต่อเมื่ออยู่บนยานก่อนลงสำรวจดาวเท่านั้น ตรงนี้ผมเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันออกจะเป็นการลดทอนที่มากเกินไปหน่อย แต่เมื่อพิจารณากันดี ๆ แล้วก็เห็นว่ามันให้ความสะดวกและช่วยให้ผู้เล่นใส่ใจกับภารกิจที่อยู่ต่อหน้าได้ดียิ่งขึ้น (และแน่นอน ทำให้ตัวเกมเข้าถึงได้ง่ายสำหรับหน้าใหม่ใจรักอีกด้วย) ไปจนถึงหน้าจออัพเกรด status ของตัวละคร ที่ลดทอนเหลือส่วนที่จำเป็น อ่านเข้าใจได้ง่าย และใช้ได้สะดวก (แต่คาดว่าคอ rpg คงครางฮือเพราะมันละเอียดน้อยกว่าเดิมเยอะ) อ้อ! แล้วถ้าใครเบื่อหน่ายฉากขึ้นลิฟท์อันแสนยืดยาดในภาคที่แล้ว โล่งใจได้ครับ ภาคนี้ทาง Bioware ใช้การตัดฉากที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดได้แบบไม่น่าเชื่อ จากเดิมที่ต้องรอกันนานสองนาน คราวนี้แค่กะพริบตาก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งฉากโหลดก็มีข้อมูลน่าสนใจให้อ่านฆ่าเวลากันด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เข้าท่ามาก
//10 สหายเดนตายในภารกิจอันตรายของอวกาศหลังฉาก//
แต่การปฏิบัติภารกิจระดับเสี่ยงตายในครั้งนี้ของ Sheperd ไม่อาจจะกระทำได้ด้วยตัวของเขาเพียงคนเดียว และนั่นเป็นที่มาของการออกตามหา \'ลูกทีม\' คู่ชีพทั้ง 10 คนที่กระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ทั่วจักรวาล ที่มีปูมหลัง ความสามารถ และภารกิจลับเฉพาะแตกต่างกันไป ในการทดสอบครั้งนี้ เราได้เดินทางเพื่อไปรับตัวสองเพื่อนร่วมทีม คนแรกคือ Subject Zero อีโล้นซ่าท้าความตาย นักโทษสุดอันตรายแห่งเรือนจำอวกาศ Purgatory ที่มีเนื้อเรื่องให้ทำพอกล้อมแกล้มน่าสนใจ ส่วนคนที่สองคือ Archangel \'เทพบุตรนักล่า\' Infiltrator ระดับเทพที่ซุ่มกบดานอยู่ในสถานีอวกาศ Omega แหล่งซ่องสุมโจร น่าเสียดายที่เวลาในการทดสอบของเรามีอย่างจำกัด ทำให้พลาดโอกาสที่จะไปพบกับตัวละครอื่น ๆ อย่าง Thane นักฆ่าหน้าตาย , Grunt ทหารบ้าเลือดแห่งเผ่า Krogan หรือ Mordin นักวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เราวิจัยอาวุธและเทคโนโลยีใหม่ ๆ บนยาน Normandy (อีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ของภาคนี้) แต่ก็มั่นใจว่าจะมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเท่าที่สังเกต บรรดาลูกทีมแต่ละคนดูมีตัวตนและบทบาทที่ชัดเจนโดดเด่นขึ้นกว่าภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก (ว่ากันง่าย ๆ เชื่อว่าคงไม่มีตัวไหนที่ผู้เล่นจะเต็มใจส่งไปตายง่าย ๆ แบบ Kaidan Alenko ในภาคแรกหรอกครับ)
พูดถึงพื้นหลังของ Mass Effect 2 กับสถานที่ต่าง ๆ ภายในเกม ต้องชมฝ่ายศิลป์ของเกมที่ออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะด้วยเรือนจำอวกาศ Purgatory , มหานครแห่งบาป Omega ไปจนถึงอาณานิคมร้าง Freedom\'s progress ก็ดูมีเสน่ห์และรายละเอียดที่มากขึ้น ขัดแย้งกับความแล้งไร้สีสันและชีวิตชีวาของสถานที่ต่าง ๆ ในเกมภาคแรกอย่างสิ้นเชิง และสะท้อนถึงอันตรายแอบแฝงที่ Shepard และลูกทีมจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
//ทำเรื่องราวให้เข้มข้น//
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ระบบสนทนาของเกม Mass Effect คือหัวใจหลักที่ทำให้มันโด่งดังในภาคแรก กับทางเลือกที่แตกแขนง และการเขียนบทที่คมกริบ เสียงพากษ์ที่ได้อารมณ์ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงอยู่ในภาคต่อไม่หายไปไหน แต่พ่วงมาด้วยระบบ Interactive Cutscene ที่ช่วยให้คุณ \'ตัดบท\' สนทนาอันยืดยาวได้อย่างมีชั้นเชิง อย่างเช่นครั้งหนึ่งในฉาก Freedom\'s progress ที่คุณเลือกได้ว่าจะใช้วิธี \'โหดๆ\' หรือวิธี \'นุ่มๆ\' เพื่อเรียกสติของ Quarian หนุ่มที่ชื่อ Veetor กลับคืนมา ซึ่งการตัดบทนี้ มีผลต่อค่า Paragon และ Renegade ที่เป็นค่าศีลธรรมของตัวเกมในระดับที่ไม่ใช่น้อย ๆ
ทางเลือกประโยคสนทนาอันเข้มข้นยังมีอยู่ครบถ้วนใน ME2
แต่กระนั้น ถ้าจะมีอะไรที่พวกเราเห็นพ้องตรงกันอยู่ข้อหนึ่งเกี่ยวกับระบบสนทนาใน ME2 คือตำแหน่งของ \'ประโยค\' ที่ส่งผลต่อทางเลือกกับค่าศีลธรรมนั้น ดูคลุมเคลือและเป็นสีเทามากขึ้น ในภาคแรก คุณอยากเดินสาย paragon ก็แค่เลือกประโยคดี ๆ ด้านบน อยากเดินสาย renegade ก็เลือกประโยคด้านล่าง แต่คราวนี้ ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ทำให้ในการเล่นทดสอบรอบนี้พวกเราทุกคนก็มึนงง (ปนฮา) กับตัวเลือกที่ได้เลือกไป เพราะคิดว่าผลจะออกมาอย่างหนึ่ง แต่กลับออกมาแบบพลิกโผ ซึ่งวัดกันจริง ๆ ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับปูมหลังเรื่องราวที่ถูกผิดมันเลือนลางเช่นนี้
//การผจญภัยอันแสนยาวนาน//
อย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านั้น และอย่างที่ทุกท่านทราบ Mass Effect 2 สามารถต่อยอดเนื้อเรื่องจาก \'ไฟล์เซฟ\' ของเดิมที่เล่นจบไว้ได้ และสงสัยว่าจะมีผลอะไรกับการเล่นในภาคใหม่นี้ ตรงจุดนี้ด้วยเวลาจำกัด (อีกตามเคย) แต่เราก็ได้แง่มุมเกี่ยวกับระบบดังกล่าวมาได้โดยคร่าว ๆ คือ เรื่องราวและทางเลือกที่คุณใช้ตัดสินเหตุการณ์สำคัญในภาคแรก จะส่งผลต่อปูมหลังและประวัติศาสตร์ของเนื้อหาในภาคนี้ (คุณช่วย Citadel Council หรือไม่ , คุณปล่อยให้ Ashley หรือ Kaidan ตายที่ Virmire , คุณช่วย Wrex หรือไม่ , คุณเลือก Udina หรือ Anderson เป็น Councilor คนถัดไป) ไปจนถึงข้าวของและเงินที่เก็บในภาคที่แล้ว บางส่วนจะถูกโอนมาเป็นเงินและแร่ในยาน Normandy SR2 บางส่วน (และบางส่วนที่ว่าก็ช่วยให้คุณมี
ชีวิตช่วงต้นเกมได้สบายขึ้นเยอะ) และถ้าคุณเลือกคลาสตัวละครเป็นแบบเดียวกับภาคแรก Bioware ก็สมมนาคุณด้วยการปั๊มเลเวลของ Shepard ในตอนเริ่มที่ level 5 ทันที! (แต่ถ้าเลือกคลาสใหม่ เริ่มที่ lv1 นะครับ...) ซึ่งเป็นระบบที่น่าสนใจ แต่ในเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อหาและผลกระทบ เราคงต้องมาลองติดตามกับเกมตัวเต็มกันอีกทีหนึ่งครับ
//ข้อเสียที่พอจะมองเห็นได้...//
พูดมาทั้งหมด ใช่ว่า ME2 จะไม่มีข้อด้อยหรือผิดพลาดอะไรให้เห็นเลย แต่มันก็นับว่าเล็กน้อยมาก ๆ จนเกือบจะไม่ได้เอามาพิจารณากันซะแล้ว อย่างแรกที่สำคัญที่สุดและขัดใจพวกเราทีมทดสอบมากที่สุด คือหลังจากจบภารกิจใดภารกิจหนึ่งไปแล้ว สิ่งที่คุณจะเห็นคือหน้าจอ \'Mission Complete\' ตัวเบ้ง ๆ พร้อมสรุปผลอย่างเสร็จสรรพ เป็นการหักอารมณ์ขั้นรุนแรง และให้ความรู้สึกราวกับว่าเกมนี้ห่างไกลจากความเป็น rpg และขยับเข้าใกล้ tps เข้าไปทุกขณะ (พวกเรานั่งงงเป็นไก่ตาแตกไปหมดตอนเห็นหน้าจอนี้...) อย่างที่สองคือเนื้อหาและภารกิจหลักนั้นดูมีความยาวที่ไม่มากเท่าใดนัก แต่ถูกแทนที่ด้วยความรวดเร็วฉับไวหูดับตับไหม้ หลายคนอาจจะชอบ แต่แฟนเก่า ๆ ผมเชื่อว่าคงรู้สึกขัดเคืองเล็ก ๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่ tone-down ลงไปขนาดนี้ แต่จุดนี้เรายังไม่ฟันธงนะครับ อย่างที่ได้เรียนให้ทราบ การทดสอบของเราจำกัดเวลาจริง ๆ บางทีช่วงหลังอาจจะมีอะไรที่ดียิ่งขึ้นกว่านี้ก็ได้ใครจะรู้
เป็นใครก็คงจะอดรู้สึกเซ็งไม่ได้ เมื่อเกมตอบแทนคุณจากการผ่านภารกิจด้วย...หน้าจอนี้
//นับถอยหลัง//
"สรุปแล้วคิดยังไงกับ Mass Effect 2 ล่ะทุกคน?" SaChaz ถามขึ้นหลังจากหมดเวลาทดสอบเกมที่ทาง Saluzi ได้กำหนดเอาไว้ นี่ออกจะเป็นคำถามที่ตอบยากข้อหนึ่ง สำหรับผม Mass Effect 2 มีทิศทางในการพัฒนาที่แปลกและแหวกกว่าเดิมมาก ๆ ไม่ว่าจะด้วยการการลดทอนสิ่งรุงรังของความเป็น rpg ออกไปจนถึงความฉับไวที่ (ดูเหมือนจะ) ละเอียดน้อยลงทางเนื้อหา มันค่อนข้างเสี่ยงต่อการที่เกมนี้จะถูกตำหนิจากแฟน ๆ ในระดับที่ไม่ใช่น้อย แต่องค์ประกอบที่เพิ่มเข้ามาทั้งกราฟิกที่สวยขึ้น องค์ประกอบศิลป์อันโดดเด่น เกมการเล่นที่สนุกสะใจได้อารมณ์ ระบบสั่งการและ A.I. ที่มีประสิทธิภาพ การต่อยอดเรื่องราวด้วยระบบ import save และลูกเล่นละอันพันละน้อยที่เพิ่มเข้ามาก็มีน้ำหนักในทางที่ดีที่พอจะคานกับข้อเสียบางประการได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งถ้าพิจารณากันในตอนนี้ ผมคิดว่าตัวเกมได้นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่ชะล้างความเก่าหยุดนิ่งของแวดวงเกม rpg ได้ในระดับที่ดีและน่าสนใจมาก ๆ ครับ แต่จะหมู่หรือจ่า คงต้องรอพิสูจน์กันกับการผจญภัยของผู้การ Shepard ที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วยตนเองนั่นล่ะครับ!
สัมผัสการผจญภัยของกัปตัน Shepard และชะตากรรมแห่งมนุษยชาติครั้งใหม่ 26 มกราคมนี้ ทั่วจักรวาล!
สดจากปลายขอบจักรวาล Mass Effect 2 Hands-On!!
"หวัดดีพี่" เสียงนี้ไม่ใช่ใคร นาย SaChaz แห่ง ppantip.com ที่มักจะโทรมาพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันเป็นครั้งคราว
"เอ้อ ว่างาย ไม่ได้คุยกันนาน สบายดีมั้ย?"
"ก็ดีครับ ว่าแต่ พรุ่งนี้ว่างมั้ย" นาย SaChaz เอ่ยถามขึ้นมาทันควัน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้มีธุระอะไรในวันอังคารอยู่แล้ว เลยตอบกลับไปแบบสบาย ๆ ตามประสา แต่คำตอบจากอีกฝั่งของสายที่ได้กลับมา ทำให้ผมรู้สึกร้อนรุ่มขึ้นมาในทันควัน
"เยี่ยมเลยพี่ พอดีทาง Saluzi เขาเชิญให้ไปทดสอบ Mass Effect 2 ที่สำนักงานใหญ่น่ะ ไปมั้ย?"
"พูดเป็นเล่นน่ะ!!" ผมตอบกลับด้วยอารามตกใจ "เกมมาแล้วเหรอ!?"
"แหงครับ ถ้าสนใจก็ไปด้วยกันเลย"
กล่าวโดยสรุป สิ่งที่ท่านจะได้พบในวรรคถัดจากนี้ คือการล้วงลับตับแตกถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังภาคต่อของสุดยอดเกม RPG ประจำปี 2007 อย่าง Mass Effect 2 ของค่าย Bioware ที่ผม , นาย SaChaz , นาย Ayslashyk , นาย s.jf.logan และนาย Yagami_Alice แห่งบอร์ด VGB ได้ไปเป็นประจักษ์พยานทั้งสองตาและสองมือ และพร้อมจะนำเสนอให้นักเล่นเกมทั้งหลายได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับตัวเกมที่จะวางจำหน่ายทั่วจักรวาลในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ ถ้าคุณพร้อม เราขอเชิญ!
(หมายเหตุ :: บทความถัดจากนี้จะมีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)
(หมายเหตุ 2 :: เนื่องด้วยทาง Saluzi ไม่อนุญาตให้เรา capture ไฟล์ภาพจากตัวเกมได้โดยตรง จึงใช้การถ่ายด้วยกล้องดิจิตอล ผสมกับไฟล์ภาพ official ที่ได้รับมาเพื่อประกอบบทความ)
(หมายเหตุ 3 :: ขอขอบคุณบริษัท Saluzi ที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการทดสอบเกม และเอื้อเฟือภาพประกอบกับข้อมูล Minimum Requirement ของตัวเกมครับ)
//ชะตากรรมแห่งผู้การ Shepard :: การดับสูญและฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครั้ง//
"ผมไม่หนีหรอกผู้การ ผมรักษายานลำนี้ไว้ได้แน่!!" เสียงตะโกนของ Joker พลขับแห่งยานรบ Normandy แห่งกองกำลัง Alliance ดังก้องขึ้นท่ามกลางเสียงกรีดร้องโกลาหลของลูกเรือที่ล้มตายและเสียงของลำแสงเลเซอร์ที่สาดผ่านตัวถังให้ฉีกขาดราวกับกระดาษ นี่คือสถานการณ์วิกฤติที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นกับฉากเปิดเกมของ Mass Effect 2 เพราะหลังจากเหตุการณ์ของเกมภาคแรกสามเดือน ผู้การ Shepard มือปราบ Spectre คนแรกแห่งมนุษยชาติ ได้ออกเดินทางสืบเรื่องราวในคดีลึกลับที่ผู้คนในอาณานิคมของมนุษย์ถูกลักพาตัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเหล่า Reapers เผ่าพันธุ์จักรกลโบราณที่เกือบจะทำให้ทุกชีวิตในจักรวาลต้องถึงกาลวสานไปหรือไม่...
แต่การสืบสวนก็มาถึงจุดสิ้นสุด...
พร้อมกับความพินาศแห่งยาน Normandy...
นี่คือสภาพของยาน Normandy SR1 ในเหตุการณ์บุกจู่โจมจากยานรบลึกลับ พร้อมหายนะของ Shepard ที่ใกล้เข้ามา...
Shepard และลูกเรือถูกไล่ล่าจากยานรบขนาดยักษ์ไร้สัญชาติ ด้วยการโจมตีที่ทำลายยานที่ทันสมัยที่สุดแห่งจักรวาลได้ในพริบตา มือปราบอวกาศพยายามช่วยเหลือผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างสุดความสามารถ แต่กลับไม่สามารถพาตัวเองให้พ้นจากจุดอับแห่งชะตากรรม เมื่อยานระเบิดเป็นชิ้น ๆ ส่งร่างเขากระเด็นออกนอกตัวถัง สายออกซิเจนฉีกขาด และความตายคืบคลานชนิดเสี้ยวพริบตาจากการขาดอากาศหายใจ และดิ่งผ่านชั้นบรรยากาศลุกไหม้กลายเป็นเปลวเพลิง...
ผู้การ Shepard...ตายแล้ว...
นี่คือสิ่งที่ทุกคนในจักรวาลแห่ง Citadel รับรู้และเข้าใจ หากแต่ในความเป็นจริง ภารกิจของ Shepard หาได้เล็ดลอดผ่านสายตาของ Illusive Man ผู้นำแห่งองค์กร Cerberus อันแสนลึกลับ ที่เล็งเห็นถึงภัยร้ายครั้งใหม่ที่จะคุกคามมนุษยชาติไปไม่ และพร้อมจะทุ่มทรัพยากรจำนวนมหาศาล บวกกับวิทยาการแห่งการโคลนนิ่งและ Cybernatic อันล้ำสมัย เพื่อเรียก Spectre คนแรกแห่งมนุษยชาติให้ "กลับมาประจำการ" อีกครั้ง ในภารกิจแสนอันตรายที่กำลังจะมาถึง
Shepard...คืนชีพอีกครั้ง
และมีแต่เขาเท่านั้น ที่จะกุมชะตาแห่งความอยู่รอดของมนุษยชาติและเผ่าพันธุ์แห่งจักรวาล...
โฉมหน้าของ Illusive Man ผู้นำอันแสนลึกลับแห่ง Cerberus...
//สวยงาม รวดเร็ว ฉับไว ไฉไลราวกับคนละเกม//
"เอาล่ะ ลองเล่นกันเลยดีกว่า" เสียงของ s.jf. logan หนึ่งในผู้ร่วมทดสอบที่เดินทางไปด้วยกันเอ่ยขึ้น พร้อมกับ Ayslashyk ที่จับเมาส์และคีย์บอร์ด ควบคุมร่างของ Shepard ที่ถูกปลุกขึ้นมาท่ามกลางความโกลาหลแห่งห้องทดลองของ Cerberus ชนิดสด ๆ ร้อน ๆ บนหน้าจอ โดยมีสักขีพยานร่วมหรอยร่วมชมอีกสามชีวิตก็ได้เริ่มต้นขึ้น ระบบควบคุมใน ME2 ยังคงรูปแบบเดิม ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยด้วยปุ่ม W A S D และปุ่มยิงพร้อมเล็งด้วยเมาส์ตามสมัยนิยม เราเลือกที่ import ไฟล์เซฟเดิมเพื่อสานต่อเรื่องราว (เราจะขยายความในจุดนี้ภายหลัง) และสร้างตัวละคร Shepard ในคลาส Soldier เพื่อทดลองประสิทธิภาพของเอนจิ้นที่ได้รับการปรับปรุงแล้วของตัวเกม ซึ่งให้ผลเป็นที่น่าพอใจมาก เพราะมีความลื่นไหลทั้งภาพและอนิเมชันตัวละครในระดับที่ดีไม่ใช่น้อย
แต่หลังจากได้ Jacob พี่มืดสาย Sentinel ฝ่ายรักษาความปลอดภัยของฐานทัพ หนึ่งใน 10 ลูกทีมคนใหม่ที่ได้ในช่วงต้น และเริ่มเข้าสู่การห้ำหั่นฝ่าด่านกองทัพหุ่นยนต์นับโหลนี้เอง ที่ทำให้พวกเราประหลาดใจกับรูปแบบการเล่นของ ME2 เป็นอย่างมาก...
"ปุ่มสั่งการมันอยู่ตรงไหนละนี่?" ผมเอ่ยถาม Ayslashyk ที่กำลังนั่งเล่นอย่างเมามันท่ามกลางดงกระสุนที่ปลิวว่อนไปมา
"ปุ่ม Q และ E ใช้สั่งการลูกทีมซ้ายขวา ส่วนปุ่ม C ใช้เรียกลูกทีมกลับน่ะพี่"
"แค่นี้เองเหรอ? แล้วใส่คำสั่งตอนหยุดเกมได้รึเปล่า?" ผมถามขึ้นอีกครั้งด้วยความสงสัย เพราะเคยชินกับการออกคำสั่งใน ME ภาคแรก ที่สามารถกำหนดจุดเฉพาะ รวมถึงการกระทำของลูกทีมได้ละเอียดดั่งลายนิ้วมือ
ระบบการต่อสู้ใน Mass Effect 2 ที่ใช้งานได้ง่าย คล่องตัว และมันส์ยิ่งกว่าเดิม...
"ไม่นะ ทุกอย่างมันเป็น Real-Time แต่ใช้งานง่ายมาก" เห็นจะจริงดังว่า เพราะแม้การออกคำสั่งจะกระทำไปในแบบ \'เวลาจริง\' (ยกเว้นตอนกด Shift เพื่อหยุดเกมชั่วคราวเลือกพลัง Biotic หรือ Skill พิเศษ) แต่กลับใช้งานได้ง่ายและสะดวกยิ่งกว่าเกมก่อนหน้า ด้วยการออกคำสั่งลงพื้นที่ บวกกับความฉลาดของ A.I ของลูกทีมที่ทำได้ดีขึ้น ทำให้การต่อสู้ลื่นไหลไม่ติดขัด และไม่เสียอารมณ์เพราะลูกทีมในภาคนี้ไม่ได้สักแต่ยิงไปแบบสุ่ม ๆ แต่จะมีการเลือกจังหวะในการโจมตี ซุ่มหลบ หรือใช้พลังความสามารถได้ตรงกับสถานการณ์ อีกทั้งคลาส Soldier เองก็มีอาวุธทุกชนิดในคลังแสงให้เลือกใช้กันเสียตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ปืนพกขนาดเล็กจนถึงเครื่องยิงลูกระเบิด (ใช่แล้วครับ บอกลาระเบิดจิ๋วในเกมที่แล้วไปซะ เพราะในภาคนี้คุณจะได้ควักเอาเครื่องยิงขนาดเป้งมายัดน้อยหน่าด้วยตัวเองกันสด ๆ เลย) บวกกับความสามารถเฉพาะคลาสอย่าง Adrenaline Rush ที่ชะลอทุกอย่างรอบตัวให้ช้าลง ง่ายต่อการไล่เก็บเรียงตัว (นาย Ayslashyk ของเราก็โชว์สดด้วยการวิ่งเข้าไปต่อยสนุกสนานเลยทีเดียว) แต่ฝ่ายศัตรูก็ใช่ว่าจะร้ายกาจน้อยไปกว่ากัน เพราะหลายครั้งมีการซุ่มหลบ ตีโอบ หรือ \'หลอกดักทาง\' ให้เราหัวปั่น และทำเอาเจ็บไปหลายขนาน เรียกว่า A.I. ของบรรดาศัตรูก็ได้รับการยกเครื่องให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น (โดยเฉพาะกับหุ่น YMIR LOKI ร่างยักษ์กับเครื่องยิงจรวดที่แสบเข้าไส้) รวมถึง mini-game เปิดล็อค ถอดรหัส และการสำรวจดาวที่มาในรูปแบบใหม่ ที่แม้จะน่าสนใจและเข้าท่าในไอเดีย แต่พวกเราก็ลงความเห็นกันว่าค่อนข้างยุ่งยากและชวนให้งงในเบื้องต้นเอาเรื่อง (และอาจจะกลายเป็นความน่าเบื่อถ้าต้องเจอมันซ้ำซากในช่วงหลัง) แต่ก็ถือได้ว่าดูดีกว่าภาคแรกพอสมควร อีกทั้งระบบการเคลื่อนที่เองก็ปรับปรุงใหม่ให้เหมือนเกมอย่าง Gears of War โดยปุ่มอย่าง spacebar ถูกใช้เป็นปุ่มหลักสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ตั้งแต่การเปิดสวิทช์ สำรวจ หรือการพุ่งตัวเข้าหลบหลังที่กำบัง ที่แม้จะต้องใช้เวลาทำความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ในไม่นานก็พบว่าระบบนี้สะดวกอย่างไม่น่าเชื่อ ช่วยให้การเล่นไหลลื่นต่อเนื่องไม่ติดขัด
mini-game ถอดรหัสและต่อวงจรไฟฟ้าแบบใหม่ที่ท้าทาย (อย่างมาก) ใน Mass Effect 2
และสุดท้าย กับระบบ weapon overheat ที่เคยเป็นอุปสรรคระดับขำ ๆ ในภาคแรก แต่ไม่ใช่ปัญหาในการกราดยิงแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น ถูกตัดออกและเปลี่ยนมาใช้ระบบ \'กระสุน\' ชนิดพิเศษที่สามารถหาเก็บได้ตามรายทางแทน ตอกย้ำทิศทางในการพัฒนา ME2 ของ Bioware ที่เปลี่ยนโฉมหน้าของเกมให้กลายเป็นอีกชิ้นงานหนึ่งได้ชนิดที่แทบไม่เหลือเค้าเดิม จนดูเผิน ๆ เหมือนจะเป็นเกม Third-Person Shooting ขนานแท้กันเสียด้วยซ้ำ
แต่มันก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของสิ่งที่ ME2 พร้อมภูมิใจนำเสนอเท่านั้นเอง...
//Normandy SR2 กับการลดทอนหน้าจอเกินความจำเป็น//
"มาแล้ว! Normandy SR2!" Yagami_Alice หนึ่งในเพื่อนร่วมทดสอบเอ่ยขึ้น พร้อมกับพวกเราที่รู้สึกตื่นเต้นไม่แพ้กัน ใช่แล้วครับ Illusive Man หัวหน้าองค์กร Cerberus ได้มอบยานลำใหม่ที่พัฒนาต่อยอดจาก Normandy ลำเก่าให้แก่ Shepard ไว้ใช้สำหรับภารกิจระดับ \'ฆ่าตัวตาย\' ในครั้งนี้ ซึ่งนอกเหนือจาก Joker พลขับตลกหน้าตายคนเดิมที่มารับหน้าที่สารถีอวกาศแล้ว โครงสร้างภายในของตัวยานก็ได้รับการปรับเปลี่ยนชนิดยกเครื่อง แบ่งสัดส่วนชัดเจน และสวยงามน่าสนใจในทุกรายละเอียด ตั้งแต่แผนที่ Galaxy Map ที่ฉายภาพยานแบบ 3D Hologram ไปจนถึงห้องเครื่องแบบใหม่ (ที่กว้างใหญ่และโอ่โถงกว่าเดิม) อีกทั้งห้องพักของกัปตันยานที่เคยจืดชืดไร้สีสันในภาคที่แล้ว ก็มีลูกเล่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้ลองทำมากมาย
เช่น ตู้ปลาที่สามารถซื้อหาปลาชนิดใหม่ ๆ มาเลี้ยงได้ (เป็นหนึ่งในเควสต์ย่อยตามรายทาง) , ตู้เสื้อผ้าสำหรับปรับแต่งสีและลายของชุดเกราะ (ตามใจชอบเลยครับ) หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวที่มีข้อมูลน่าสนใจ อ้อ! ลูกเรือของยาน Normandy SR2 เองก็ดูมีเอกลักษณ์ไม่แพ้กัน ตั้งแต่พนักงานห้องเครื่อง ไปจนถึง Yeoman Chambers เลขาสาวที่เราสามารถพูดคุยและสอบถามรายละเอียดด้านต่าง ๆ ได้โดยง่าย อย่างเช่น การวิจัยใหม่ ๆ จนถึงเรื่องราวจิปาถะของสมาชิกในทีม เป็นต้น
มาถึงตรงนี้ นอกจากการ deconstruct โครงสร้างของยาน Normandy SR2 แล้ว ทาง Bioware ยังจัดการกับระบบจัดเก็บของหรือ Inventory แบบพลิกไส้กันใหม่
เพราะในภาคนี้...บอกลา Inventory ไปได้เลย มันไม่มีครับ
"ไม่มี Inventory เหรอเนี่ย?" SaChaz เอ่ยถามขึ้นในขณะที่ทดลองเล่น จนสุดท้ายถึงได้เข้าใจ ว่าระบบไอเทมและอาวุธในเกมนี้ \'ปราศจากการจัดเก็บ\' แต่จะใช้การกำหนดอาวุธเฉพาะของแต่ละตัวละคร และแต่ละคลาสตายตัวไปเลย (อย่างเช่น คลาส Soldier ที่พวกเราเล่นนั้น มีอาวุธให้ครบ แต่ Miranda Lawson ลูกทีมสาว จะมีแค่ปืนพก,ปืนกล กับพลัง Biotic เท่านั้น) ในจุดนี้ ได้ยินว่าตัวเกมจะใช้การอัพเกรดอาวุธที่มีอยู่เดิมแทน เพื่อลดทอนความวุ่นวายสับสน และจะจัดการติดตั้งอาวุธได้ก็ต่อเมื่ออยู่บนยานก่อนลงสำรวจดาวเท่านั้น ตรงนี้ผมเองก็อดรู้สึกไม่ได้ว่ามันออกจะเป็นการลดทอนที่มากเกินไปหน่อย แต่เมื่อพิจารณากันดี ๆ แล้วก็เห็นว่ามันให้ความสะดวกและช่วยให้ผู้เล่นใส่ใจกับภารกิจที่อยู่ต่อหน้าได้ดียิ่งขึ้น (และแน่นอน ทำให้ตัวเกมเข้าถึงได้ง่ายสำหรับหน้าใหม่ใจรักอีกด้วย) ไปจนถึงหน้าจออัพเกรด status ของตัวละคร ที่ลดทอนเหลือส่วนที่จำเป็น อ่านเข้าใจได้ง่าย และใช้ได้สะดวก (แต่คาดว่าคอ rpg คงครางฮือเพราะมันละเอียดน้อยกว่าเดิมเยอะ) อ้อ! แล้วถ้าใครเบื่อหน่ายฉากขึ้นลิฟท์อันแสนยืดยาดในภาคที่แล้ว โล่งใจได้ครับ ภาคนี้ทาง Bioware ใช้การตัดฉากที่ช่วยเพิ่มความเร็วในการโหลดได้แบบไม่น่าเชื่อ จากเดิมที่ต้องรอกันนานสองนาน คราวนี้แค่กะพริบตาก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งฉากโหลดก็มีข้อมูลน่าสนใจให้อ่านฆ่าเวลากันด้วย นับว่าเป็นการตัดสินใจที่เข้าท่ามาก
//10 สหายเดนตายในภารกิจอันตรายของอวกาศหลังฉาก//
แต่การปฏิบัติภารกิจระดับเสี่ยงตายในครั้งนี้ของ Sheperd ไม่อาจจะกระทำได้ด้วยตัวของเขาเพียงคนเดียว และนั่นเป็นที่มาของการออกตามหา \'ลูกทีม\' คู่ชีพทั้ง 10 คนที่กระจัดกระจายในที่ต่าง ๆ ทั่วจักรวาล ที่มีปูมหลัง ความสามารถ และภารกิจลับเฉพาะแตกต่างกันไป ในการทดสอบครั้งนี้ เราได้เดินทางเพื่อไปรับตัวสองเพื่อนร่วมทีม คนแรกคือ Subject Zero อีโล้นซ่าท้าความตาย นักโทษสุดอันตรายแห่งเรือนจำอวกาศ Purgatory ที่มีเนื้อเรื่องให้ทำพอกล้อมแกล้มน่าสนใจ ส่วนคนที่สองคือ Archangel \'เทพบุตรนักล่า\' Infiltrator ระดับเทพที่ซุ่มกบดานอยู่ในสถานีอวกาศ Omega แหล่งซ่องสุมโจร น่าเสียดายที่เวลาในการทดสอบของเรามีอย่างจำกัด ทำให้พลาดโอกาสที่จะไปพบกับตัวละครอื่น ๆ อย่าง Thane นักฆ่าหน้าตาย , Grunt ทหารบ้าเลือดแห่งเผ่า Krogan หรือ Mordin นักวิทยาศาสตร์ที่จะช่วยให้เราวิจัยอาวุธและเทคโนโลยีใหม่ ๆ บนยาน Normandy (อีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ของภาคนี้) แต่ก็มั่นใจว่าจะมีความน่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะเท่าที่สังเกต บรรดาลูกทีมแต่ละคนดูมีตัวตนและบทบาทที่ชัดเจนโดดเด่นขึ้นกว่าภาคที่แล้วเป็นอย่างมาก (ว่ากันง่าย ๆ เชื่อว่าคงไม่มีตัวไหนที่ผู้เล่นจะเต็มใจส่งไปตายง่าย ๆ แบบ Kaidan Alenko ในภาคแรกหรอกครับ)
พูดถึงพื้นหลังของ Mass Effect 2 กับสถานที่ต่าง ๆ ภายในเกม ต้องชมฝ่ายศิลป์ของเกมที่ออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะด้วยเรือนจำอวกาศ Purgatory , มหานครแห่งบาป Omega ไปจนถึงอาณานิคมร้าง Freedom\'s progress ก็ดูมีเสน่ห์และรายละเอียดที่มากขึ้น ขัดแย้งกับความแล้งไร้สีสันและชีวิตชีวาของสถานที่ต่าง ๆ ในเกมภาคแรกอย่างสิ้นเชิง และสะท้อนถึงอันตรายแอบแฝงที่ Shepard และลูกทีมจะต้องเผชิญในภายภาคหน้าได้อย่างยอดเยี่ยม
//ทำเรื่องราวให้เข้มข้น//
แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ระบบสนทนาของเกม Mass Effect คือหัวใจหลักที่ทำให้มันโด่งดังในภาคแรก กับทางเลือกที่แตกแขนง และการเขียนบทที่คมกริบ เสียงพากษ์ที่ได้อารมณ์ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ยังคงอยู่ในภาคต่อไม่หายไปไหน แต่พ่วงมาด้วยระบบ Interactive Cutscene ที่ช่วยให้คุณ \'ตัดบท\' สนทนาอันยืดยาวได้อย่างมีชั้นเชิง อย่างเช่นครั้งหนึ่งในฉาก Freedom\'s progress ที่คุณเลือกได้ว่าจะใช้วิธี \'โหดๆ\' หรือวิธี \'นุ่มๆ\' เพื่อเรียกสติของ Quarian หนุ่มที่ชื่อ Veetor กลับคืนมา ซึ่งการตัดบทนี้ มีผลต่อค่า Paragon และ Renegade ที่เป็นค่าศีลธรรมของตัวเกมในระดับที่ไม่ใช่น้อย ๆ
ทางเลือกประโยคสนทนาอันเข้มข้นยังมีอยู่ครบถ้วนใน ME2
แต่กระนั้น ถ้าจะมีอะไรที่พวกเราเห็นพ้องตรงกันอยู่ข้อหนึ่งเกี่ยวกับระบบสนทนาใน ME2 คือตำแหน่งของ \'ประโยค\' ที่ส่งผลต่อทางเลือกกับค่าศีลธรรมนั้น ดูคลุมเคลือและเป็นสีเทามากขึ้น ในภาคแรก คุณอยากเดินสาย paragon ก็แค่เลือกประโยคดี ๆ ด้านบน อยากเดินสาย renegade ก็เลือกประโยคด้านล่าง แต่คราวนี้ ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป ทำให้ในการเล่นทดสอบรอบนี้พวกเราทุกคนก็มึนงง (ปนฮา) กับตัวเลือกที่ได้เลือกไป เพราะคิดว่าผลจะออกมาอย่างหนึ่ง แต่กลับออกมาแบบพลิกโผ ซึ่งวัดกันจริง ๆ ก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับปูมหลังเรื่องราวที่ถูกผิดมันเลือนลางเช่นนี้
//การผจญภัยอันแสนยาวนาน//
อย่างที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านั้น และอย่างที่ทุกท่านทราบ Mass Effect 2 สามารถต่อยอดเนื้อเรื่องจาก \'ไฟล์เซฟ\' ของเดิมที่เล่นจบไว้ได้ และสงสัยว่าจะมีผลอะไรกับการเล่นในภาคใหม่นี้ ตรงจุดนี้ด้วยเวลาจำกัด (อีกตามเคย) แต่เราก็ได้แง่มุมเกี่ยวกับระบบดังกล่าวมาได้โดยคร่าว ๆ คือ เรื่องราวและทางเลือกที่คุณใช้ตัดสินเหตุการณ์สำคัญในภาคแรก จะส่งผลต่อปูมหลังและประวัติศาสตร์ของเนื้อหาในภาคนี้ (คุณช่วย Citadel Council หรือไม่ , คุณปล่อยให้ Ashley หรือ Kaidan ตายที่ Virmire , คุณช่วย Wrex หรือไม่ , คุณเลือก Udina หรือ Anderson เป็น Councilor คนถัดไป) ไปจนถึงข้าวของและเงินที่เก็บในภาคที่แล้ว บางส่วนจะถูกโอนมาเป็นเงินและแร่ในยาน Normandy SR2 บางส่วน (และบางส่วนที่ว่าก็ช่วยให้คุณมี
ชีวิตช่วงต้นเกมได้สบายขึ้นเยอะ) และถ้าคุณเลือกคลาสตัวละครเป็นแบบเดียวกับภาคแรก Bioware ก็สมมนาคุณด้วยการปั๊มเลเวลของ Shepard ในตอนเริ่มที่ level 5 ทันที! (แต่ถ้าเลือกคลาสใหม่ เริ่มที่ lv1 นะครับ...) ซึ่งเป็นระบบที่น่าสนใจ แต่ในเชิงลึกเกี่ยวกับเนื้อหาและผลกระทบ เราคงต้องมาลองติดตามกับเกมตัวเต็มกันอีกทีหนึ่งครับ
//ข้อเสียที่พอจะมองเห็นได้...//
พูดมาทั้งหมด ใช่ว่า ME2 จะไม่มีข้อด้อยหรือผิดพลาดอะไรให้เห็นเลย แต่มันก็นับว่าเล็กน้อยมาก ๆ จนเกือบจะไม่ได้เอามาพิจารณากันซะแล้ว อย่างแรกที่สำคัญที่สุดและขัดใจพวกเราทีมทดสอบมากที่สุด คือหลังจากจบภารกิจใดภารกิจหนึ่งไปแล้ว สิ่งที่คุณจะเห็นคือหน้าจอ \'Mission Complete\' ตัวเบ้ง ๆ พร้อมสรุปผลอย่างเสร็จสรรพ เป็นการหักอารมณ์ขั้นรุนแรง และให้ความรู้สึกราวกับว่าเกมนี้ห่างไกลจากความเป็น rpg และขยับเข้าใกล้ tps เข้าไปทุกขณะ (พวกเรานั่งงงเป็นไก่ตาแตกไปหมดตอนเห็นหน้าจอนี้...) อย่างที่สองคือเนื้อหาและภารกิจหลักนั้นดูมีความยาวที่ไม่มากเท่าใดนัก แต่ถูกแทนที่ด้วยความรวดเร็วฉับไวหูดับตับไหม้ หลายคนอาจจะชอบ แต่แฟนเก่า ๆ ผมเชื่อว่าคงรู้สึกขัดเคืองเล็ก ๆ กับความเปลี่ยนแปลงที่ tone-down ลงไปขนาดนี้ แต่จุดนี้เรายังไม่ฟันธงนะครับ อย่างที่ได้เรียนให้ทราบ การทดสอบของเราจำกัดเวลาจริง ๆ บางทีช่วงหลังอาจจะมีอะไรที่ดียิ่งขึ้นกว่านี้ก็ได้ใครจะรู้
เป็นใครก็คงจะอดรู้สึกเซ็งไม่ได้ เมื่อเกมตอบแทนคุณจากการผ่านภารกิจด้วย...หน้าจอนี้
//นับถอยหลัง//
"สรุปแล้วคิดยังไงกับ Mass Effect 2 ล่ะทุกคน?" SaChaz ถามขึ้นหลังจากหมดเวลาทดสอบเกมที่ทาง Saluzi ได้กำหนดเอาไว้ นี่ออกจะเป็นคำถามที่ตอบยากข้อหนึ่ง สำหรับผม Mass Effect 2 มีทิศทางในการพัฒนาที่แปลกและแหวกกว่าเดิมมาก ๆ ไม่ว่าจะด้วยการการลดทอนสิ่งรุงรังของความเป็น rpg ออกไปจนถึงความฉับไวที่ (ดูเหมือนจะ) ละเอียดน้อยลงทางเนื้อหา มันค่อนข้างเสี่ยงต่อการที่เกมนี้จะถูกตำหนิจากแฟน ๆ ในระดับที่ไม่ใช่น้อย แต่องค์ประกอบที่เพิ่มเข้ามาทั้งกราฟิกที่สวยขึ้น องค์ประกอบศิลป์อันโดดเด่น เกมการเล่นที่สนุกสะใจได้อารมณ์ ระบบสั่งการและ A.I. ที่มีประสิทธิภาพ การต่อยอดเรื่องราวด้วยระบบ import save และลูกเล่นละอันพันละน้อยที่เพิ่มเข้ามาก็มีน้ำหนักในทางที่ดีที่พอจะคานกับข้อเสียบางประการได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ซึ่งถ้าพิจารณากันในตอนนี้ ผมคิดว่าตัวเกมได้นำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ที่ชะล้างความเก่าหยุดนิ่งของแวดวงเกม rpg ได้ในระดับที่ดีและน่าสนใจมาก ๆ ครับ แต่จะหมู่หรือจ่า คงต้องรอพิสูจน์กันกับการผจญภัยของผู้การ Shepard ที่กำลังจะมาถึงนี้ด้วยตนเองนั่นล่ะครับ!
สัมผัสการผจญภัยของกัปตัน Shepard และชะตากรรมแห่งมนุษยชาติครั้งใหม่ 26 มกราคมนี้ ทั่วจักรวาล!
คุณสามารถแสดงความคิดเห็นกับกระทู้นี้ได้ด้วยการเข้าสู่ระบบ
กระทู้ที่คุณอาจสนใจ