เนื่องจากในสัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสทดลองเล่นเครื่องเล่น MP3 ของ Philips รุ่น GoGear SA6045 อยู่ประมาณเกือบๆครึ่งวันเต็มๆ ก็เลยจะลองรีวิวดูคร่าวๆครับว่ามีจุดไหนน่าสนใจบ้าง เผื่อใครที่มองๆจะซื้อเจ้าตัวนี้อยู่จะได้ตัดสินใจได้ง่ายขึ้นอีกนิดนึงครับ

ในกล่องนั้นจะแพ็คในกล่องพลาสติกใสมาในกล่องจะมีอุปกรณ์มาตรฐานให้มาตามนี้ครับ
•CD ซอฟท์แวร์แปลงไฟล์ และ Windows Media Player
•หูฟัง
•คู่มือใช้งานอย่างย่อ
•สายเคเบิล USB

โดยขนาดตัวเครื่องนั้น GoGear SA6045 จะอยู่ที่ 93.5x53.2x 12.5มม. ขณะที่ iPod Nano รุ่นล่าสุดจะมีขนาดอยู่ที่ 69.8x52.3x6.5มม. แต่ขณะที่ GoGearมีหน้าจอแสดงผล 2.2นิ้ว แต่ Nano ก็จะมีหน้าจอ 2นิ้วเนื่องจากขนาดตัวที่เล็กกว่า โดยขนาดตัวเครื่องของ GoGear จะไปใกล้เคียงกับ iPod Classic มากกว่าครับคือจะเล็กกว่า Classic เล็กน้อย ดูจากในภาพก็ได้ครับในภาพจะเทียบกับ iPod Nano gen2, iPod VDO gen5 และโทรศัพท์โมโตโรล่า E6 ครับ ให้เทียบดูขนาดคร่าวๆครับ จะเห็นว่าเล็กกว่า iPod VDO gen5 นิดหน่อยครับ

ข้อมูลการเล่นไฟล์เสียงตามสเป็คจะรองรับไฟล์ MP3 และ WMA แค่ 2ฟอร์แมตเท่านั้น แต่จะใช้งานไฟล์ที่มีการจัดการลิขสิทธิ์ในแบบ Windows Media DRM ได้ครับโดยบิทเรตของไฟล์ที่ใช้งานนั้นจะอยู่ที่สูงสุด 320kbps ครับ บิทเรตที่สูงกว่านี้หรือพวก lossless จะไม่รองรับนะครับ แต่ไฟล์ 320kbps นั้นก็ถือว่าคุณภาพสูงพอแล้วสำหรับการฟังเพลง MP3 ทั่วๆไปครับ ถ้าไม่ใช่นักฟังระดับหูทองนั่งฟังแบบจับผิดกันก็ถือว่าพอกับการใช้งานแล้วครับ สำหรับไฟล์วิดีโอนั้นจะเป็นมาตรฐาน WMV ครับโดยจะมีซอฟท์แวร์สำหรับแปลงไฟล์วิดีโอให้มากับแผ่น CD ด้วยครับตอนซื้อก็ไม่ต้องไปหาซอฟท์แวร์อื่นๆมาแปลงอีกที แบตเตอรี่นั้นเป็นลิเธียมโพลีเมอร์ความจุ 800mAhใช้งานฟังเพลงได้ต่อเนื่อง 15ชั่วโมง และดูวิดีโอได้ 4ชั่วโมงครับ

การใช้งานลองดูคร่าวๆครับปุ่มต่างๆนั้นใช้งานได้ดีครับมีระบบที่เรียกว่า SuperScroll ให้มาก็จะช่วยให้เลื่อนดูรายชื่อเพลงในอัลบั้มที่มีเพลงเยอะๆได้ โดยเมื่อกดปุ่มขึ้น หรือลง ค้างไว้ก็จะเป็นการเลื่อนไปทีละหมวดอักษรไล่ไปเรื่อยๆครับ แรกๆอาจจะงงๆบ้างว่าต้องกดแรงขนาดไหนแต่พอใช้งานได้คล่องก็จะสะดวกมากครับ ซึ่งส่วนตัวแล้วอาจจะเป็นเพราะผมเคยชินกับการใช้ clickwheel ของ Apple มานานแล้วทำให้ไปใช้ MP3ตระกูลอื่นๆไม่ค่อยถนัดเลยก็เป็นได้ครับ หน้าจอนั้นให้สีสันออกมาสดใช้ได้ครับ จะใช้ดูวิดีโอก็พอดูได้ครับสำหรับหน้าจอเล็กขนาดนี้ มาถึงส่วนหลักกันบ้างคือการฟังเพลงนั้นเสียงออกมาดีทีเดียว แต่จะเป็นคนละแนวกับตระกูล iPod นะครับคือจะมีเบสออกมาให้ได้ยินมากกว่า พวกที่ชอบฟังเพลงแนวฮิบฮ๊อบ เพลงร๊อคเบสเยอะหน่อยน่าจะถูกใจ แต่เสียงจะไม่ได้ออกแนว flat เหมือนกับ iPod นะครับถึงแม้ว่าจะปิด EQ ไปแล้วก็ตามยังมีเบสออกมาอยู่ ซึ่งตอนทดลองฟังนั้นก็ใช้หูฟัง MX500ที่รู้ๆอยู่ว่าเบสไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่นักมาลองฟังก็พบว่ายังมีเบสออกมาให้ได้ยินอยู่ สำหรับหูฟังที่แถมมานั้นอาจจะเป็นเพราะยังไม่เข้าที่ หรืออะไรก็ตามฟังดูแล้วยังไม่ถูกใจนัก เลยเปลี่ยนมาใช้ MX500ฟังแทนซึ่งเสียงก็ดีกว่าครับ ตรงนี้ใครที่สนใจจะซื้อแนะนำให้ไปหาลองฟังเสียงดูก่อนนะครับว่าถูกใจหรือเปล่าโดยเอาหูฟังประจำที่ใช้อยู่ไปลองด้วยนะครับ เพราะหูฟังแต่ละอันจะมีคาแร็กเตอร์ต่างกันออกไปอีก บางทีเปลี่ยนแค่หูฟังก็เปลี่ยนเสียงไปเยอะเลยครับ

ส่วนราคาของ SA6045 นั้นตั้งอยู่ที่ 5พันกลางๆ ซึ่งก็จัดว่าไม่ได้แพง หรือไม่ได้ถูกนัก แต่ด้วยฟังก์ชั่นใช้งานพื้นฐานที่ครบถ้วนไม่ว่าจะดูหนังฟังเพลง บันทึกเสียง ฟังวิทยุ ถึงแม้จะไม่มีฟังก์ชั่นเสริมอื่นๆมากมาย หรือมีอินเตอร์เฟสอลังการแต่ก็นับว่าคุ้มค่าราคาค่าตัวอยู่ครับ และอีกอย่างแบรนด์ของ Philips เองนั้นก็อยู่ในระดับมาตรฐานอยู่แล้วครับ ก็เป็นอีกตัวเลือกนึงนะครับสำหรับผู้ที่ต้องการจะซื้อเครื่องเล่นเพลงที่สามารถดูวิดีโอได้ และยังต้องการบันทึกเสียง และฟังวิทยุได้ด้วย ตัวนี้ก็เป็นอีกตัวที่ค่อนข้างจะให้มาครบครับ ก่อนจะซื้อก็ลองพิจรณาข้อดีข้อเสียของแต่ละรุ่นดูครับว่าตัวไหนเหมาะกับเรามากกว่ากัน เพราะเครื่องที่ดีที่สุดของคนนึง อาจจะเป็นเครื่องที่แย่ที่สุดของอีกคนนึงก็ได้ครับ ถ้าเลือกตัวที่ไม่เหมาะสมมาใช้งาน

แถมอีกนิดครับพอดีได้ลองเล่นชุดลำโพง Micro Hi-Fi ด้วยที่เด่นเห็นๆเลยของชุดนี้คือต่อกับ iPod ได้มีรีโมทควบคุม iPod ได้แต่ไม่สามารถเลือกเปลี่ยนอัลบั้มได้นะครับ เลือกเปลี่ยนเฉพาะเพลงได้เฉยๆ(หรือว่าผมใช้มันไม่เป็นหว่า) มี dock ของ iPod พร้อมอะแด๊ปเตอร์ของ iPod รุ่นต่างๆให้ครบดี ใช้เสียบชาร์จ และฟังเพลงไปด้วยได้ ที่สำคัญเล่นซีดีได้ด้วย ทั้งซีดีปรกติ ซีดีไฟล์ MP3, WMA ครบถ้วนเหมือนกัน แต่แรงขับจะมีน้อยไปนิดอยู่ประมาน 2W ถ้าจะใช้ฟังเพลงในห้องทำงาน หรือในห้องทานข้าว พอไหวครับ จะเอาไปเปิดฟังเพลงดังๆในปาร์ตี้อาจจะไม่ดังพอครับ