ตอน Argo ฉาย คนดูส่วนใหญ่ต่างเอาไปเปรียบเทียบกับผลงานเก่าของเบน อย่าง The Town ต่างบอกว่า เบน ยังคงเส้นคงวาในด้านงานกำกับเหมือนเดิม
ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าชอบจังหวะจะโคนใน Argo มาก เป็นหนังอีกเรื่องที่ชอบมากๆของปีนี้ ทั้งสี ทั้งgrain ทั้งความเนี้ยบ ทั้งไดอะลอค มันลงตัวและสมูธมาก โดยเฉพาะฉากแอคชั่นที่ต้องลุ้น ก็ลุ้นจริงๆ แม้จะไม่มีเสียงระเบิดตูมตามก็ตาม
ก่อนหยุดยาว เลยลองหยิบ The Town มาดู
ฟอร์มตอนนั้น ที่หนังเข้าฉาย เรารู้สึกว่ามัน "อินดี้" ตอนนี้ก็ค่อนข้างไม่ค่อยชอบดูอินดี้ซะด้วย
วันนี้นั่งดูจนจบ พอหนังขึ้น Directed by Ben Affleck
เรานั่งปรบมืออยู่หน้าจอ เจ๋งมาก!
เอาจริงๆมันเป็นหนังที่พลอตธรรมดา ออกจะตลาดด้วยซ้ำ
แต่เบน ถ่ายทอดออกมาได้แตกต่างมาก!
สิ่งสำคัญคือ "จังหวะภาพ" จริงๆ
หนังมันมาแนว "เรื่อยๆ" ไม่มีฉากพีครุนแรง หรือ ฉากดุเดือดเลือดพล่านอะไร
ฉากแอคชั่นในตอนท้าย เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งจริงๆ ของเรื่องราว
เบนทำให้เรารู้สึกว่า "ความสัมพันธ์" ในหนัง เป็น "เรื่องจริง" และ "ลึกซึ้ง"
อาจเพราะบทพูด หรือ ลักษณะท่าทาง สำนวนที่ใช้ มันดูสมจริง
มันไม่ได้ดู แอ๊บเท่ หรือ เต็มไปด้วยคำพูดหล่อๆ แต่มันเป็นคำจริงๆ
ที่คนทั่วๆไปก็ใช้กัน
ไม่รู้เพราะอะไร
The Town อาจเป็นหนังน่าเบื่อ
เพราะคนมันพูดมากกว่ายิงกัน
ไม่แปลกใจทำไม เจเรมี่ เรนเนอร์ ถึงได้เข้าชิงออสการ์ในบทนักแสดงสมทบ
และ เบน เอฟเฟลค คว้ารางวัลจากเรื่องนี้มาได้หลายสำนัก
เป็นหนังที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง ความแมส และ อินดี้
ถ่ายทอดเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ดูจริงใจ ไม่ต้องตีความ
เห็นแล้วเข้าใจทันที
ฉากที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่แก๊งแม่ชี จอดรถ หันไปมองตำรวจคนหนึ่งที่บังเอิญจอดรถตรงพวกเขาพอดี
ฉากนี้สำหรับเรามันคือฉาก EPIC ที่เป็น "ความหมาย" ของเรื่องทั้งหมด
ขอปรบมืออีกครั้ง..
The Town (2010) by Ben Affleck
ตอนนั้นเราไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าชอบจังหวะจะโคนใน Argo มาก เป็นหนังอีกเรื่องที่ชอบมากๆของปีนี้ ทั้งสี ทั้งgrain ทั้งความเนี้ยบ ทั้งไดอะลอค มันลงตัวและสมูธมาก โดยเฉพาะฉากแอคชั่นที่ต้องลุ้น ก็ลุ้นจริงๆ แม้จะไม่มีเสียงระเบิดตูมตามก็ตาม
ก่อนหยุดยาว เลยลองหยิบ The Town มาดู
ฟอร์มตอนนั้น ที่หนังเข้าฉาย เรารู้สึกว่ามัน "อินดี้" ตอนนี้ก็ค่อนข้างไม่ค่อยชอบดูอินดี้ซะด้วย
วันนี้นั่งดูจนจบ พอหนังขึ้น Directed by Ben Affleck
เรานั่งปรบมืออยู่หน้าจอ เจ๋งมาก!
เอาจริงๆมันเป็นหนังที่พลอตธรรมดา ออกจะตลาดด้วยซ้ำ
แต่เบน ถ่ายทอดออกมาได้แตกต่างมาก!
สิ่งสำคัญคือ "จังหวะภาพ" จริงๆ
หนังมันมาแนว "เรื่อยๆ" ไม่มีฉากพีครุนแรง หรือ ฉากดุเดือดเลือดพล่านอะไร
ฉากแอคชั่นในตอนท้าย เป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งจริงๆ ของเรื่องราว
เบนทำให้เรารู้สึกว่า "ความสัมพันธ์" ในหนัง เป็น "เรื่องจริง" และ "ลึกซึ้ง"
อาจเพราะบทพูด หรือ ลักษณะท่าทาง สำนวนที่ใช้ มันดูสมจริง
มันไม่ได้ดู แอ๊บเท่ หรือ เต็มไปด้วยคำพูดหล่อๆ แต่มันเป็นคำจริงๆ
ที่คนทั่วๆไปก็ใช้กัน
ไม่รู้เพราะอะไร
The Town อาจเป็นหนังน่าเบื่อ
เพราะคนมันพูดมากกว่ายิงกัน
ไม่แปลกใจทำไม เจเรมี่ เรนเนอร์ ถึงได้เข้าชิงออสการ์ในบทนักแสดงสมทบ
และ เบน เอฟเฟลค คว้ารางวัลจากเรื่องนี้มาได้หลายสำนัก
เป็นหนังที่อยู่กึ่งกลาง ระหว่าง ความแมส และ อินดี้
ถ่ายทอดเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ดูจริงใจ ไม่ต้องตีความ
เห็นแล้วเข้าใจทันที
ฉากที่ชอบที่สุด คือ ตอนที่แก๊งแม่ชี จอดรถ หันไปมองตำรวจคนหนึ่งที่บังเอิญจอดรถตรงพวกเขาพอดี
ฉากนี้สำหรับเรามันคือฉาก EPIC ที่เป็น "ความหมาย" ของเรื่องทั้งหมด
ขอปรบมืออีกครั้ง..