ตำรวจเปิด7ถนนเสี่ยงอุบัติเหตุ ตั้งศูนย์รับมือ7วันอันตราย

กระทู้สนทนา
การเมือง : คุณภาพชีวิต
วันที่ 28 ธันวาคม 2555 09:30
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์



ตำรวจทางหลวง” เปิด 7ถนน จุดเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบนถนนทางหลวงช่วงเทศกาลปีใหม่ 'ปภ.'ตั้งศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนรับมือ


โค้งสุดท้าย7อันตรายช่วงเทศกาลปีใหม่เพื่อลดอุบัติเหตุบนถนน พ.ต.อ.ดิเรก ปลั่งดี รองผู้บังคับการตำรวจทางหลวง(บก.ทล.) ได้เปิดเผยว่า จุดเสี่ยงถนนทางหลวงที่มักเกิดอุบัติเหตุรุนแรงในช่วงเทศกาลปีใหม่ ใน 7 เส้นทางสายหลัก ได้แก่ ถนนพหลโยธิน ช่วง จ.พระนครศรีอยุธยา ถนนมิตรภาพ ช่วง อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ถนนพระราม 2 ช่วง จ.สมุทรสาคร ทางหลวงหมายเลข 304 ตอนกบินทร์-ปักธงชัย ทางหลวงหมายเลข 348 ตอนอรัญประเทศ-โนนดินแดง จ.สระแก้ว ทางหลวงหมายเลข 2 ถนนมิตรภาพขาขึ้น จ.นครราชสีมา และทางหลวงถนนมิตรภาพขาล่อง จ.นครราชสีมา

ส่วนเส้นทางจุดเสี่ยง 7 ถนนสายหลัก ทางกองตำรวจทางหลวง จึงได้สั่งการให้ตำรวจทางหลวงทั้ง 8 กองกำกับการ 41 สถานี เร่งดำเนินการตั้งจุดตรวจจับความเร็วทุกระยะบนทางหลวงที่เป็นจุดเสี่ยงและจุดที่รับผิดชอบ ซึ่งจะมีด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์ตลอดเส้นทาง พร้อมทั้งจัดวิทยุสายตรวจเคลื่อนที่ ตรวจจับบริเวณเส้นแบ่งช่องทางเดินรถ และเส้นทึบสีเหลืองซึ่งเป็นเขตห้ามแซง

ด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ทำการเปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2556 เพื่อเป็นสถานที่รวบรวมข้อมูลและสั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ ที่ปฏิบัติงานในจุดพักรถและด่านตรวจตามเส้นทางต่างๆ ให้คอยควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุทางถนน ทั้งการขับรถเร็วกว่ากฎหมายกำหนด การขับรถมอเตอร์ไซค์โดยไม่สวมหมวกนิรภัย โดยเฉพาะพฤติกรรมเมาแล้วขับ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ในแต่ละปีมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยระหว่างวันที่ 28 ธ.ค. 2555 ถึงวันที่ 3 ม.ค. 2556 ทางศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน จะมีการประกาศจำนวนอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในแต่วัน เพื่อเป็นการย้ำเตือนประชาชน

ตั้งเป้าหมายลดอุบัติเหตุ5%

พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่นี้มีการตั้งเป้าลดจำนวนผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตให้ไม่น้อยกว่ารอยละ 5 เพื่อให้ลดจำนวนครั้งจำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บให้ได้ร้อยละ 5 ดังนั้นอุบัติเหตุต้องไม่เกิน 2,939 ครั้งและผู้เสียชีวิตไม่เกิน 320 ราย ผู้บาดเจ็บไม่เกิน 3,207 คน เพราะทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกันเต็มที่ ไม่ว่าในส่วนราชการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ร่วมกันรณรงค์อย่างน่าชื่นใจ ตรงนี้จะสื่อไปถึงผู้ใช้รถเกิดความระมัดระวัง ทำให้สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุได้

อย่างไรก็ตามได้ประกาศบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ที่นั่งมากับรถส่วนบุคคลรวมถึงรถโดยสาร หากพบว่า มีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะมีโทษทั้งจำคุก 6 เดือนแล้วถูกปรับด้วย ส่วนคนขับรถก็มีความผิดด้วย นอกจากนี้ในช่วงปีใหม่ขอให้ประชาชนเฉลิมฉลองให้พอดี อย่าคึกคะนองดื่มสุราแล้วขับรถ และสวมหมวกกันน็อก ลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิต รวมถึงพักผ่อนให้เพียงพอก่อนขับรถเพื่อป้องกันอาการหลับใน

ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กล่าวว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ภายหลังจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้ดำเนินมาตรการเกี่ยวกับความปลอดภัยทางถนน พบว่าสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต ในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้น ส่วนใหญ่เกิดจากสาเหตุการเมาแล้วขับ ทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ส่งผลให้มาตรการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงที่ผ่านมา ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จอย่างเป็นที่น่าพอใจ ดังนั้นในปี 2556 มาตรการควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ จึงมุ่งเน้นไปที่การตั้งจุดตรวจตามเส้นทาง โดยสั่งกำชับให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบผู้ขับขี่อย่างเข้มงวด เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยลงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

ขณะที่สถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนช่วงปีใหม่ ปี2555 ที่ผ่านมา ระบุว่าช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 เกิดอุบัติเหตุกว่า 3,093 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 336 ราย บาดเจ็บ 3,375 ราย โดยพบร้อยละ 37.28 เกิดจากสาเหตุจากเมาแล้วขับ ซึ่งในปี 2556 กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จึงวางเป้าหมายลดจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บ จากการเกิดอุบัติเหตุทางถนนให้ได้ ร้อยละ 5 คือ อุบัติเหตุไม่เกิน 2,939 ครั้ง ผู้เสียชีวิตไม่เกิน 320 ราย และผู้บาดเจ็บไม่เกิน 3,207 ราย

สธ.เตรียมพร้อมรับมืออุบัติเหตุ

นพ.ประ ดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.2555 ถึง 2 ม.ค.2556 ตั้งเป้าลดจำนวนอุบัติเหตุ ผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ ไม่น้อยกว่า 5 % ของ สถิติช่วงเทศกาลปีใหม่ 2555 คือลดจำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุไม่เกิน 2,939 ครั้ง ผู้เสียชีวิตไม่เกิน 320 ราย และผู้บาดเจ็บไม่เกิน 3,207 ราย ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข ได้เตรียมความพร้อมโรงพยาบาลในสังกัด ได้รับความร่วมมือจากโรงพยาบาลสังกัดภาครัฐอื่นๆ เช่นกลาโหม ทบวงมหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ รวม 1,500 แห่ง ให้เตรียมพร้อมหน่วยการแพทย์ฉุกเฉิน ศูนย์รับแจ้งขอความช่วยเหลือ ระบบการดูแลรักษาในโรงพยาบาลเจ็บป่วยฉุกเฉินอันตรายถึงแก่ชีวิต สามารถเข้ารับการรักษาได้ทุกโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ทันที ไม่ต้องควักเงินจ่ายสำรอง

นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า โรงพยาบาลทุกแห่ง ได้จัดเตรียมความพร้อมหน่วยปฏิบัติการแพทย์ฉุกเฉินหรือหน่วยแพทย์กู้ชีพ โดยมีรถพยาบาลฉุกเฉินพร้อมเครื่องมือแพทย์ปฏิบัติการวันละ 4,915 คัน สามารถออกไปให้การดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในที่เกิดเหตุหลังรับแจ้งภายใน 10 นาที ประชาชนโทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์กู้ชีพได้ที่หมายเลข 1669 ฟรี

นพ.พรเทพ ศิริรวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว ว่า ในช่วงปีใหม่จะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจเตือนประชาสัมพันธ์ให้ผู้ประกอบการ พ่อค้า แม่ค้าทุกจังหวัดทุกพื้นที่ ให้ปฏิบัติตามพ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 อย่างเคร่งครัด เช่น ห้ามขายและห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่ที่ห้าม เช่น วัด โรงเรียน สวนสาธารณะ ห้ามขายให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามขายโดยไม่มีใบอนุญาตขายสุรา รวมทั้งประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องการห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนถนนขณะขับขี่ หรือขณะโดยสารอยู่ในรถหรือบนรถ หากพบจะดำเนินการทางกฎหมายอย่างไม่ละเว้น โดยได้เปิดสายด่วนรับแจ้งผู้กระทำผิดตลอด 24 ชั่วโมง ทางหมายเลข 1422 และ 0-2590-3342

ส่งเจ้าหน้าที่ลุยอุทยานฯห้ามดื่ม

ด้าน นพ.สมาน ฟูตระกูล ผอ.สำนัก งานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในช่วงปีใหม่จะตรวจเรื่องการลด แลก แจก แถม การโฆษณาจูงใจ การขายผิดที่ผิดทาง ดื่มผิดที่ผิดทาง นอกจากนี้ที่มุ่งเน้นคือเรื่องของอุทยานแห่งชาติต่าง ๆ โดย กำชับให้ทีมเจ้าหน้าที่ไปตรวจตราการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากผ่านไปแถวอุทยานต่าง ๆ ให้เข้าไปตรวจตราด้วย เพื่อย้ำและพูดคุยกับเจ้าหน้าที่อุทยานให้ชัดเจนคือ ห้ามขายและห้ามนำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปในเขตอุทยานแห่งชาติเด็ดขาด ถ้าขายและดื่มคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ แต่ ถ้านำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไป ผิดตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 18 มีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ

ส่วนที่มีข่าวออกมาทำนองว่าอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช อนุญาตให้นำเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปดื่มในเขตอุทยานแห่งชาติได้ แต่ต้องดื่มเฉพาะในบ้านพัก ห้ามดื่มที่ลานกางเต็นท์ว่าอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯคงไม่ได้สั่งการเช่น นั้น และแม้สั่งการจริงก็คงไม่มีผล เพราะเรื่องนี้เป็นกฎหมาย

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่