สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ
สำหรับตอนที่ 43
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13061654/W13061654.htmlขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณ ณ พิชา, คุณปุ้ย npuiy, Travel to the moon, คุณ มานีโอลา, คุณไก่ kdunagin,คุณนุ้ย นารีจำศีล, คุณมนSetakan, คุณ wor_lek, คุณHermosa, อาจารย์จี Psycho man, น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,คุณ mementototem และคุณ รพิชา ครับ
คราวนี้มาพร้อมกันสองบทเลยฉลองรับปีใหม่ครับ
บทที่ 44
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
ชลธรท่องประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสมองที่กำลังอื้ออึงอลไปด้วยสรรพเสียงแห่งความขัดแย้ง สับสน มิอาจตัดสินใจใดๆต่อไปได้
แล้วคำตอบก็มาในรูปของกัมปนาทแห่งเสียงปืน
เปรี้ยง!
ในชั่วพริบตาต่อมา เสียงนั้นก็ดังเหมือนจะกังวานก้องไปทั้งโพรงสมอง แล้วอย่างช้าๆเมื่อร่างของมินอ่องทรุดฮวบลงกับพื้น โลหิตไหลออกมาจากส่วนขมับที่มีรอยจุดเล็กนิดเดียว และรอยนั้นเองที่ปลิดวิญญาณหนุ่มบ้านป่าให้หลุดออกจากร่างภายในเสี้ยววินาที โดยไม่ทันรู้ตัว
ถัดจากร่างที่ทรุดฮวบลงไป เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของทนายความหนุ่มรูปงาม ภูไท ทินบดี ยืนตระหง่านอยู่ด้านข้าง
และปลายกระบอกปืนพกในมือของเขาก็กรุ่นด้วยควันแห่งมรณะออกมา...
คุณชล
เขายิ้มตอบหล่อน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นปกติเหมือนเดิมไม่มีผิด ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความซื่อและอ่อนโยน ที่เคยมัดหัวใจหล่อนเอาไว้ตั้งแต่แรกเห็นนั่นเอง ทั้งที่เพิ่งฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตา...
เราต้องรีบจัดการกับมินอ่องก่อน ก่อนที่มันจะทำอันตรายคุณ
ร่างสูงของเขาเดินตรงเข้ามาจนชิดใกล้ มองเห็นแม้กระทั่งประกายแห่งความห่วงใย จนทำให้หล่อนถึงกับขุนขนลุกเกรียว ชลธรเกือบขยับกายหนีด้วยสัญชาตญาณแล้ว แต่หล่อนยั้งอากัปกิริยาไว้ได้ทัน และสงสัยว่าภายใต้ใบหน้าอันอ่อนโยนอบอุ่นนั้น แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?
แต่แล้วอุ้งมือแข็งแกร่งของทนายความหนุ่มก็แตะลงที่ต้นแขน และใบหน้าหญิงสาว คล้ายปลอบประโลมใจ
คุณไม่เป็นอะไรไปนะ ชลธร?
มะ-ไม่ค่ะ ชลตกใจ ก็เท่านั้นเอง
เหตุการณ์เบื้องหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วจนชลธรตั้งตัวไม่ติด หากบัดนี้หล่อนรู้แล้วคนที่สติวิปลาสนั้นมิใช่มินอ่อง หากแต่เป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสมบูรณ์แบบ ผู้ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหล่อนคนนี้นั่นเอง!
เขาปัดปอยผมที่ตกลงมารุ่ยร่ายข้างแก้ม เหมือนพี่ชายกำลังดูแลน้องน้อยอย่างห่วงใยสุดชีวิต
ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายคุณ กลัวเหลือเกิน
ชายหนุ่มพึมพำ ในขณะที่ชลธรรีบกลืนน้ำลายลงคอที่ฝืดเฝื่อนเต็มทน ในเวลาที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ยิ่งรู้สึกถึงขั้วอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไม่ต่างกับมรสุมกลางทะเลปั่นป่วน ชายหนุ่มกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวที่หล่อนไม่อาจผ่านเข้าไปมองเห็น
แต่คุณไม่เชื่อมันใช่ไหม ชลธร ไม่เชื่อคำพูดของไอ้มินอ่องนั่น
และแล้วในจังหวะที่กำลังครุ่นคิดนั่นเอง มือที่แตะเบาๆข้างแก้มก็เลื่อนลงมาจับไหล่บอบบาง แล้วเกร็งนิ้วกดลงไปจนหล่อนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
ปล่อยชลค่ะ ชลเจ็บ...
แสงไฟฉายที่เหลือน้อยนิดเต็มที ยิ่งส่งให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้น บิดเบี้ยวผิดรูป
คุณเชื่อมันใช่ไหม ชลธร ผมมองเห็น! จริงๆแล้วคุณไม่เคยเชื่อคำพูดของผมเลยสักนิดเดียว!!
เสียงคำรามที่ผ่านลอดลำคอออกมา บ่งถึงอารมณ์ชายหนุ่มเบื้องหน้าที่กำลังเปลี่ยนกลับไปยังอีกขั้วหนึ่ง... ขั้วที่หล่อนไม่เคยเห็นมันมาก่อน สัญชาตญาณทำให้ชลธรพยายามสะบัดร่างหลบน้ำหนักมือของอีกฝ่ายที่กดลงมาอย่างขาดสติ แต่มือของ ภูไท กลับยิ่งลงแรงแน่นขึ้นไปอีก จนหล่อนไม่สามารถดิ้นหลุดจากเงื้อมมือนั้นไปได้สำเร็จ
คุณทำให้ชลกลัวนะคะ ชลเชื่อคุณนะคะ ปล่อย ชล... ปล่อย
พยายามส่งเสียงผ่านลำคออึกอักออกมา ควบคุมสติอารมณ์ให้เยือกเย็นลงเท่าที่จะทำได้ เมื่อตระหนักว่าในบัดนี้ เหลือหล่อนและเขาเพียงสองคนเท่านั้น ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้องใต้ดินแห่งนี้ และหน้ากากอันงดงาม ของชายหนุ่มผู้สุภาพอ่อนโยนก็กำลังลอกหลุดออกมาช้าๆ เมื่อคำพูดของทินอ่อนก่อนตาย เป็นตัวเริ่มต้นของการจุดชนวนระเบิดขึ้น...
ระเบิดแห่งความหวาดระแวง
และถ้าหากว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้มิใช่ภูไท ทินบดี แล้วเขาเป็นใคร?
ความคิดของหล่อนหยุดชะงักงัน เมื่อได้ยินเสียงภูไทดังขึ้นอีกครั้ง กังวานห้าวห้วนแตกต่างจากภาพลักษณ์หนุ่มแสนสะอาด สุภาพคนนั้น ราวกับเป็นคนละคน
คุณไม่ต่างกับผู้หญิงพวกนั้น ช่างสงสัย และพยายามจะขุดคุ้ยทุกสิ่งทุกอย่าง ชลธร ใจจริงแล้วผมชอบคุณมากเลยนะ ผมเคยคิดว่าคุณน่าจะแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่ผมเคยรู้จัก
เสียงฮึ่มฮ่ำของอีกฝ่ายพล่ามออกมาไม่หยุดปาก บ่งถึงอารมณ์ความรู้สึกเชี่ยวกราก ชลธรรู้ดีว่าสิ่งเดียวที่จำทำให้หลุดรอดจากการขาดอากาศหายใจไปในบัดนี้ ก็คือพยายามทำให้เขาเชื่อว่าหล่อนมิได้เกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือสงสัยใดๆในคำพูดของมินอ่องนั่นเลยแม้แต่น้อย และจากนั้นค่อยหาวิธีอื่นเอาตัวรอดในภายหลัง
\
วิธีที่ตัวเองก็ยังมืดแปดด้านอยู่ในขณะนี้!
คุณภูไทคะ ตอนนี้พวกเราติดอยู่ในห้องใต้ดินนี่นะคะ ชลว่าเรารีบหาทางออกจากที่นี่ด้วยกันดีกว่าจะไปเชื่อคำพูดของคนสติไม่ดีนั่น
ชลธรพยายามเปลี่ยนเรื่อง น้ำหนักมือที่กดเลื่อนขึ้นไปตรงลำคอค่อยคลายลงแล้ว จนหล่อนสามารถเอ่ยออกมาได้เต็มปากขึ้น กระนั้นก็ยังรู้สึกปวดร้าวที่หัวไหล่จนแทบจะเผลอนิ่วหน้าออกมา
ใช่! สิเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน ไอ้เฒ่าอาตม์นั่นแหละที่มันสงสัยผม แล้วคิดจะขังผมเอาไว้ที่นี่ มันรู้ตัวแล้ว!
แสงไฟจางลงทุกที จนใกล้ดับ ในเงาตะคุ่มข้างสายโซ่ที่กองอยู่กับพื้นนั่นเอง หล่อนสังเกตเห็นท่อนไม้หลายท่อนวางกองปะปนกับเศษข้าวของต่างๆเต็มไปหมด มันอยู่ใกล้เพียงแค่หล่อนก้มตัวลงไปคว้า...
หญิงสาวแสร้งแตะข้อมือชายหนุ่มคนที่หล่อนรู้แล้ว ว่าเขา ผิดปกติทางจิต แสดงท่าทางทุกอย่างให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธ
ชลว่าเราเดินไปดูที่ประตูดีกว่านะคะ บางที อาจจะพอเห็นวิธีอะไรสักอย่าง... ขอเวลาให้ชลใส่สายรองเท้าหน่อยนะคะ รองเท้ามันหลุดพอดี
หล่อนทำทีก้มตัวลงดึงสายรั้งส้นรองเท้าใส่กลับเข้าไป และมืออีกข้างรีบฉวยดุ้นไม้ติดตัวขึ้นมาซ่อนไว้ด้านหลังโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็น
บัดนี้ชายหนุ่มในดวงใจ เปลี่ยนจากสภาพกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ไปเป็นนิ่งเงียบคล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ แต่มือข้างหนึ่งของเขาก็กำข้อมือหญิงสาวไว้แน่นเมื่อหล่อนลุกขึ้นยืนด้วยลักษณะของการควบคุมตัวเอาไว้ในที จนแทบขยับแขนไม่ได้ ขณะที่มืออีกข้างยังถือกระบอกปืนเอาไว้แนบแน่น
ชลธรกะจังหวะที่ภูไทเบี่ยงตัวไปตามคำพูดนำนั้นเอง กระชากตัวเองหลุดออกจากอุ้งมือแข็งแกร่งของเขาแล้วฟาดท่อนไม้ในมือลงไปยังตำแหน่งศีรษะนั้นทันที ตั้งใจว่าอย่างน้อยยังพอมองเห็นว่าด้านหลังห้องใต้ดินออกไปยังมีอุโมงค์เล็กอุโมงค์น้อยที่เชื่อมต่อกับห้องนี้ น่าจะพอมีที่ให้สามารถหลบซ่อนตัวอยู่ได้ จนกว่าใครสักคน... จะมาช่วยเหลือ
มันเป็นความหวังสุดท้ายที่ริบหรี่เต็มทน แต่สำหรับคนไม่มีทางออกอย่างชลธร คิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ทว่าแบตตารีไฟฉายก็หมดลงในจังหวะนั้นพอดี แสงสว่างเมื่อครู่ดับวูบ และแรงเหวี่ยงท่อนไม้ในมือก็หวดวืดลงไปในความว่างเปล่าของอากาศทดแทน
หล่อนพลาดเสียแล้ว...
**************************
คมจักรเล็งระยะทางจากจุดที่รถเสียและถูกทำร้ายจนสลบอยู่มาถึงคฤหาสน์ทับสนธยาพลาดไปเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังเห็นร่องรอยของสิงหเมฆินทร์และปีระกา ผ่านประตูด้านหน้าของชาลาตึกเข้าไปยังด้านใน รอยเท้าเปื้อนโคลนของคนทั้งคู่ปรากฏบนพื้นหินอ่อนชัดเจน ในท่ามแสงจันทร์สุกสกาวหลังพายุฝนผ่านพ้น
คุณชลธร? ลุงอาตม์?
เขาตะโกนผ่านความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของอาคารสถาปัตยกรรมกลางป่าแห่งนี้เข้าไปด้านใน คาดหวังว่าอย่างน้อยน่าจะมีผูห็นเหตุการณ์บางอย่าง แต่ทุกอย่างที่สะท้อนตอบกลับมาคือเสียงลมพัดวู่หวิวและเสียงกิ่งไม้สั่นกราวกรูอยู่ด้านนอก
บางอย่างผิดปกติเสียจน คมจักรคิดว่าตนเองหลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวในคฤหาสน์ร้างแห่งนี้ แต่เขาก็ช้าไม่ได้เสียแล้ว สังหรณ์บอกว่าปีระกากำลังตกอยู่ในอันตราย นายตำรวจหนุ่มตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปสู่ภายในอาคารทับสนธยาที่ประตูหน้าเปิดกว้างออกจากกัน เหมือนกับรอคอยและเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาอยู่แล้ว
คมจักรยืนงงอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ที่เขามองเห็นตั้งแต่ตอนกลางวันด้วยความพิศวง ความยิ่งใหญ่สูงตระหง่านของโถงประธานแทบจะทำให้ร่างของเขาเล็กจิ๋วลงไปไม่ต่างกับตัวมดสักตัว ภาพวาดของเจ้าของทับสนธยา ปรากฏกึ่งกลางห้อง ทั้งรูปของคุณผอบแก้ว ใบหน้าในรูปวาดนั้นคล้ายจะยิ้มเยาะหยันต่อความพยายามของชายหนุ่ม
แต่ผู้กองคมจักรก็หาสนใจไม่ ในเวลานี้ ความปลอดภัยของปีระกาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
คุณผอบแก้ว...
เขาเอ่ยขึ้นเหมือนกับดวงวิญญาณของหล่อนยังวนเวียนอยู่ ณ เบื้องหน้านี้ โดยไม่มีอาการพรั่นพรึงใดๆอีกต่อไป
ไม่ว่าคุณจะมีความต้องการในทางดีหรือร้ายเพียงใดต่อ ปีระกา ทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของคุณ แต่ผมขอสาบาน ว่าผมจะต้องพาปีระกากลับไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดๆก็ตาม รวมถึงอำนาจจากดวงวิญญาณของคุณด้วยเช่นเดียวกัน!
สายฟ้าแลบปลาบลงมาในเวลาดังกล่าวพอดี พร้อมกับเสียงคำรนคล้ายรับรู้ต่อความประสงค์ของชายหนุ่ม ความสว่างเจิดจ้าในชั่วพริบตานั้น เขามองเห็นใบหน้าเรียบเฉยในรูปวาดคล้ายจะเปล่งประกายของความโทมนัส แผกไปจากรูปเดิมของเธอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มหยันอยู่เป็นนิจ
คมจักรละความสนใจลงแต่เพียงนั้น บัดนี้เขาพยายามสังเกตและคำนวณระยะทางจากห้องรับรองแห่งนี้ ไปยังส่วนของปีกตึกฝั่งใต้ จากจุดนั้นคือบริเวณหอคอยสูงละลิ่วที่มองเห็นแสงสว่างส่องสะท้อนออกมา ไม่ต่างกับแสงประภาคารริมทะเลนั่นเอง ชายหนุ่มรีบเร่งฝีเท้าออกเดินไปตามเฉลียงยาวตลอดระยะทางที่ปราศจากแสงไฟใดๆ นอกจากผืนกระจกที่กรุเอาไว้ตามบานหน้าต่างขนาดยาวจรดพื้น ที่ยังพอทำให้เห็นเส้นทางทอดลึกผ่านซุ้มอุโมงค์คดโค้งอย่างวิจิตรบรรจงด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอันสวยงามและน่าสะพรึง
สมกับชื่อของมันจริงๆ... ทับสนธยา!
ระหว่างการก้าวเดินไปตามเส้นทางสลัวที่ยังมองไม่เห็นปลายทางเหล่านั้น เขาก็นึกถึงหญิงสาวที่เป็นต้นเหตุของการเดินทางมายังบ้านปางงิ้วดำแห่งนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่ง
ลำพังโดยหน้าที่นายตำรวจสืบสวนแล้ว สำหรับคดีนี้ เขาแทบไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงลาพักร้อน เพื่อมาสืบคดีให้ยุ่งยากเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะ ปีระกา และหนังสือที่หล่อนเขียนนั่นต่างหาก มันอาจจะเริ่มต้นด้วยนวนิยายเปื้อนเลือดเล่มก่อนหน้า ที่มีโอกาสได้อ่าน และทำให้เกิดความรู้สึกทึ่งในตัวคนเขียน จนมีโอกาสได้สอบปากคำ จนย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวในกุหลาบอาเพศใหม่อีกครั้ง
เงื่อนปมของตัวละครฆาตกรใจโหดที่สังหารหญิงสาวในตระกูลอัศววีรกุล หรือในแฟ้มคดีที่เกิดขึ้นจริงก็คือตระกูลอาชาวีรชัยทั้งสี่คน
คุณกรรณิการ์ พี่สาวคนโตทายาทคนสำคัญ และสามสาวพี่น้อง ทายาทลำดับรองลงไป จนหมดสิ้น ไม่ต่างกับการล่าล้างตระกูลอาชาวีรชัย โดยทิ้งไว้แต่ปมปริศนาของดอกกุหลาบเปื้อนเลือดเท่านั้น
เหลือแต่เพียงเขยทั้งสามของตระกูลนี้ซึ่งมีที่อยู่แสดงชัดแจ้ง ทั้งพยานหลักฐานต่างๆ จนไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร
นอกจากนักเขียนสาว นักพยากรณ์คนนี้เท่านั้น
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าข้อมูลที่หล่อนได้มา แท้จริงมันมาจากคำบอกเล่าของดวงวิญญาณผู้ตาย ตราบจนกระทั่งได้ยินจากปากของหล่อนและได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ เป็นครั้งแรกในชีวิต
ดวงวิญญาณเจ้าของทับสนธยาแห่งนี้ คุณผอบแก้ว วงศ์วนานั่นเอง...
แต่สิ่งที่ร้อยเอกคมจักรกังวลต่อหญิงสาวมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฆาตกรมือสังหาร ที่เขาพยายามตามสืบจากตัวหนังสือในนิยายของหล่อน บัดนี้มันรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจับตามองและสืบหาตัวเพื่อมาดำเนินคดี สิ่งสำคัญก็คือ มันกำลังแข่งเวลากับเขาที่จะเข้าถึงตัวปีระกาให้ได้ก่อน
และแน่นอน สิ่งสำคัญคือมันเองก็ยังไม่ทราบว่า บัดนี้เขารู้ความจริงสำคัญข้อหนึ่ง ข้อที่เป็นจุดหลักฐานเล็กๆอันจะนำไปสู่การสืบหาตัวมันได้ในมิช้า... ไม่ต่างกับเส้นด้ายอันใสบาง ผูกปมไว้กับชายเสื้อที่หลุดลุ่ยของมันโดยไม่ทันรู้ตัว และเขาก็พานพบกับปลายเส้นด้ายเส้นนั้นโดยบังเอิญที่สุด
ระหว่างการเดินทางมายังปางงิ้วดำนั่นเอง...
นั่นคือปัญหาสำคัญ คือสิ่งที่เขาล่วงรู้มาก่อนหน้า และยังไม่มีโอกาสได้บอกกับปีระกาให้รู้ตัวเสียก่อน ทั้งหมดนี้ คมจักรโทษตัวเองเพียงคนเดียว เป็นเพราะเขาและเพื่อนนายตำรวจที่ต้องการหาหลักฐานให้แน่นหนารัดกุมเพื่อดำเนินการในทางกฎหมาย และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ อีกฝ่าย ไหวตัวได้ทัน...
ยอมรับว่าเขาประมาณการณ์ผิดไป เพราะกลัวว่าทันทีที่ปีระการู้ ความจริง หล่อนจะไม่อาจปกปิดอาการพิรุธ ให้ มัน สังเกตเห็น และจากนั้นทุกอย่างอาจจะสายเกินไป...
ใช่! เขาได้เผชิญหน้ากับฆาตกรคนนั้นมาแล้ว ที่ทับสนธยาแห่งนี้นั่นเอง โดยที่มันก็ไม่ทันเฉลียวใจนอกจากคิดว่าเขามาหาปีระกาเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือนิยายฆาตกรรมเล่มล่า ตามข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงค้างเอาไว้
สังเกตด้วยสายตาคมเฉียบของนายตำรวจผู้มากประสบการณ์ อย่างน้อยเขาก็ยังนำมันอยู่ก้าวหนึ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะแปลงชื่อเสียงเรียงนามและแฝงตัวมาในรูปของทนายความของทับสนธยาในนามของ ภูไท ทินบดี ก็ตาม!
ภูไท ทินบดี...
น่าสงสาร ทนายความหนุ่มตัวจริงผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เขาถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางนำเอกสารมาที่ทับสนธยา คิดว่ามันคงรอจังหวะสำคัญนั้นพอดี และฉวยโอกาสจากความไว้วางใจโดยสารรถเก๋งของภูไทตัวจริงมาด้วยกัน ก่อนที่จะ ลงมือ จัดการกับเขากลางเส้นทางเปลี่ยวร้างของถนนสายปางงิ้วดำ
เอกสารสำคัญทางกฏหมายทุกอย่างรวมถึงพาหนะคันนั้นก็ถูกเจ้าฆาตกร ยึดมาเพื่ออำพรางตัวตนแท้จริงของมัน
ชายหนุ่มพยายามคิดอย่างที่ฆาตกรรายนั้นกำลังคิดไปด้วยกัน
...ในจังหวะของการสังหารด้วยกระสุนนั้น มันคงคิดแต่เพียงว่ากระสุนไม่กี่นัดน่าจะผ่านเข้าจุดสำคัญ จนทำให้ทนายภูไทเสียชีวิตอยู่กลางผืนป่าดงดิบปราศจากผู้คนสัญจรผ่านมารับรู้ และด้วยเวลาอันจำกัด มันจึงต้องรีบเดินทางไปให้ทันต้อนรับสองสาว ทั้งปีระกาและชลธรที่กำลังจะออกจากกรุงเทพฯมาถึงที่นี่เสียก่อน
นั่นคือข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ฆาตกร เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป...
ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเมืองเหมือนกับสี่สาวตระกูลอาชาวีรชัยแล้วละก็ คมจักรคิดว่า ฆาตกรผู้เฉียบแหลมและวางแผนรัดกุมจะไม่มีวันปล่อยให้ศพภูไทถูกทิ้งเอาไว้เป็นพยานหลักฐานมัดตัวมันอย่างแน่นอน
และทนายภูไทตัวจริงผู้น่าสงสาร ก็สิ้นใจอยู่กลางป่ารกชัฏนั้น สมความปรารถนาของมันก็จริง แต่ก็ภายหลังจากที่เพื่อนนายตำรวจของเขาจะได้รับแจ้งมาจากผู้หวังดีคนหนึ่ง ที่รีบนำข่าวมาบอกที่สถานีตำรวจ น่าเสียดายที่เขาไม่ทันได้ซักถาม เมื่อกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้ง ผู้แจ้งข่าวก็หายตัวไปแล้ว นอกจากบอกแต่เพียงว่าผู้ตายเสียชีวิตอยู่บริเวณใด และมีชื่อว่าอะไร
ข้อมูลนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ภายหลังจากทีมตำรวจออกติดตามตามคำบอกเล่าของชายนิรนาม และพบศพดังกล่าวจริง ก่อนจะนำไปสู่การสืบสวนหาข้อมูลของชายหนุ่มผู้เสียชีวิต พร้อมรอยกระสุนปืนมรณะ
ถ้าผู้กองวชิระ จะไม่รู้จักกับ คมจักรเป็นการส่วนตัว ในจังหวะที่เขากำลังวางแผนจะเดินทางมาปางงิ้วดำพอดี และโทรศัพท์มาขอข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางไปยังทับสนธยา เรื่องทั้งสองเรื่อง ก็คงจะไม่มาบรรจบกัน ราวแผ่นจิกซอว์ที่ถูกต่อเข้าหากันเป็นรูปเฉลยปมปริศนาได้โดยบังเอิญที่สุด
หากเขาก็ต้องรอ... รอผลชันสูตรและผลตรวจทางนิติเวชของลูกกระสุนในร่างศพทนายความเคราะห์ร้ายผู้นั้น จนไม่อาจพูดใดๆออกมา เพื่อให้เสียรูปคดีได้
แม้ว่าจะได้เผชิญหน้ากับ ทนายภูไท ทินบดี คนใหมนื่องที่สวมรอยเข้ามาอยู่ที่ทับสนธยา พร้อมกับปีระกาก็ตาม!!
*************************
ชลธรหวีดร้องสุดเสียงเมื่อข้อมือถูกกระชากอย่างแรงในความมืด มันคว้าหมับลงมา หากหล่อนสะบัดจนหลุด ระหว่างฟาดด้ามไม้กลับลงไป เสียงไม้กระทบกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างนั้นจนได้ยินเสียงร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเสียงสบถคำรามอย่างโกรธจัด
หล่อนรีบออกแรงพุ่งตัวไปยังอีกด้านหนึ่ง แสงสว่างที่ยังสลัวราง พอมองเห็นร่างตะคุ่มนั้นขยับไหวเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายอาจจะปรับสายตาได้ช้ากว่า และชลธรก็ไม่รอโอกาสครั้งต่อไป
หล่อนหวดด้ามไม้ที่มีอยู่ในมือลงไปยังส่วนที่เป็นศีรษะของ ภูไท ทันที
โพละ!
เสียงดังขึ้น และร่างนั้นก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นแล้วแน่นิ่งไปในทันที มองเห็นแต่แผ่นหลังของ ทนายกำมะลอ นอนนิ่ง กางแขนขาออกอย่างสิ้นฤทธิ์ หญิงสาวยืนตัวสั่นสะท้าน เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพานพบมาก่อนจนหล่อนทำอะไรแทบไม่ถูก และไม่รู้ว่า มันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไร
ชลธรคิดว่าหล่อนจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตนเอง
ช่วยด้วย ช่วยด้วยยย
กรีดเสียงร้องเท่าที่จะมีออกไป หางตามองเห็นประตูที่เฒ่าอาตม์ปิดลงคล้ายสั่นไหวน้อยๆเหมือนมีใครอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ทำให้หล่อนรีบออกแรงที่เหลืออยู่ ก้าวข้ามร่างหมดสติของภูไทตรงไปยังบันไดด้านหน้า สายตามองตรงไปอย่างมีความหวังเรืองรองเป็นครั้งสุดท้าย
แก...!!
โดยไม่คาดคิด ร่างที่นอนหมดสติแต่แรก กลับโผนทะยานขึ้นมา แล้วมือทรงพลังนั้นก็คว้าลากร่างของหล่อนให้ล้มคะมำลงไปพร้อมกัน กำปั้นลุ่นๆของมันต่อยลงมาที่ช่องท้องจนหล่อนตัวงอด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาพร่าพราย ชลธรหวีดร้องสุดเสียง มืออีกข้างที่เงื้อไม้ค้างไว้อ่อนแรงยวบลง และมันก็หลุดลงมาหล่นกลิ้งอยู่บนพื้นโดยที่หล่อนไม่อาจเก็บขึ้นมาได้อีก
แสบนักนะ แต่แรกก็คิดว่าจะปล่อยไว้สักคน เห็นทีว่าจะไม่ได้ซะแล้วละมั๊ง ชลธร?
กะ แก...
ทำฤทธิ์ซะอย่างนี้ มันต้องรู้ฤทธิ์ของจริงกันซะมั่ง!
แล้วมือที่เงื้อขึ้นของมันก็ตบฉาดลงมาที่ใบหน้าของหล่อนจนสะบัดหัน เลือดไหลออกมากบปากจนเค็มปะแล่ม ก่อนอาการเจ็บแปลบจะเปลี่ยนเป็นชายะเยือก เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่หมดสิ้นลงแล้วในบัดนี้ ชลธรปวดจนแทบขยับกายไม่ได้อีกต่อไป
เสียงหัวเราะหึหึ ดังขึ้นอย่างอำมหิต เมื่อฆาตกรตัวจริงล้วงมือลงไปในขอบกางเกง แล้วหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมากำเอาไว้หลวมๆ ในเงามืดมองเห็นแต่ปลายด้ามรูปตัด ก่อนที่เสียงกดสปริงดังขึ้น แล้วด้ามใบมีดคมกริบก็ดีดตัวขึ้นมาจากปลายด้ามฝัก
ในเงามืดตะคุ่มนั้น หล่อนเห็นประกายวาววับของมันสะท้อนแสงวาบวับ ไม่ต่างกับแสงดาวในคืนเดือนแรม โดยไม่รอช้าเมื่อมันเงื้อมือขึ้นจนสุดลำแขนอันแข็งแกร่ง แล้วจ้วงคมมีดในมือกลับลงมายังร่างของหล่อนเป็นเป้าหมาย!
**********************
เดี๋ยวมาต่อบท 45 ครับ
ล่องกัลปาลัย บทที่ 44 - 45
สำหรับตอนที่ 43
http://www.ppantip.com/cafe/writer/topic/W13061654/W13061654.html
ขอบคุณกิฟต์จากเพื่อนนักอ่านทุกท่านครับ คุณ ณ พิชา, คุณปุ้ย npuiy, Travel to the moon, คุณ มานีโอลา, คุณไก่ kdunagin,คุณนุ้ย นารีจำศีล, คุณมนSetakan, คุณ wor_lek, คุณHermosa, อาจารย์จี Psycho man, น้องทะเลเดือดพันธุ์ร็อค,คุณ mementototem และคุณ รพิชา ครับ
คราวนี้มาพร้อมกันสองบทเลยฉลองรับปีใหม่ครับ
บทที่ 44
เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้!
ชลธรท่องประโยคนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในสมองที่กำลังอื้ออึงอลไปด้วยสรรพเสียงแห่งความขัดแย้ง สับสน มิอาจตัดสินใจใดๆต่อไปได้
แล้วคำตอบก็มาในรูปของกัมปนาทแห่งเสียงปืน
เปรี้ยง!
ในชั่วพริบตาต่อมา เสียงนั้นก็ดังเหมือนจะกังวานก้องไปทั้งโพรงสมอง แล้วอย่างช้าๆเมื่อร่างของมินอ่องทรุดฮวบลงกับพื้น โลหิตไหลออกมาจากส่วนขมับที่มีรอยจุดเล็กนิดเดียว และรอยนั้นเองที่ปลิดวิญญาณหนุ่มบ้านป่าให้หลุดออกจากร่างภายในเสี้ยววินาที โดยไม่ทันรู้ตัว
ถัดจากร่างที่ทรุดฮวบลงไป เผยให้เห็นร่างสูงโปร่งของทนายความหนุ่มรูปงาม ภูไท ทินบดี ยืนตระหง่านอยู่ด้านข้าง
และปลายกระบอกปืนพกในมือของเขาก็กรุ่นด้วยควันแห่งมรณะออกมา...
คุณชล
เขายิ้มตอบหล่อน ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีเป็นปกติเหมือนเดิมไม่มีผิด ใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความซื่อและอ่อนโยน ที่เคยมัดหัวใจหล่อนเอาไว้ตั้งแต่แรกเห็นนั่นเอง ทั้งที่เพิ่งฆ่าคนตายต่อหน้าต่อตา...
เราต้องรีบจัดการกับมินอ่องก่อน ก่อนที่มันจะทำอันตรายคุณ
ร่างสูงของเขาเดินตรงเข้ามาจนชิดใกล้ มองเห็นแม้กระทั่งประกายแห่งความห่วงใย จนทำให้หล่อนถึงกับขุนขนลุกเกรียว ชลธรเกือบขยับกายหนีด้วยสัญชาตญาณแล้ว แต่หล่อนยั้งอากัปกิริยาไว้ได้ทัน และสงสัยว่าภายใต้ใบหน้าอันอ่อนโยนอบอุ่นนั้น แท้จริงแล้วมันคืออะไรกันแน่?
แต่แล้วอุ้งมือแข็งแกร่งของทนายความหนุ่มก็แตะลงที่ต้นแขน และใบหน้าหญิงสาว คล้ายปลอบประโลมใจ
คุณไม่เป็นอะไรไปนะ ชลธร?
มะ-ไม่ค่ะ ชลตกใจ ก็เท่านั้นเอง
เหตุการณ์เบื้องหน้าเกิดขึ้นรวดเร็วจนชลธรตั้งตัวไม่ติด หากบัดนี้หล่อนรู้แล้วคนที่สติวิปลาสนั้นมิใช่มินอ่อง หากแต่เป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหลาสมบูรณ์แบบ ผู้ที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหล่อนคนนี้นั่นเอง!
เขาปัดปอยผมที่ตกลงมารุ่ยร่ายข้างแก้ม เหมือนพี่ชายกำลังดูแลน้องน้อยอย่างห่วงใยสุดชีวิต
ผมกลัวว่ามันจะทำร้ายคุณ กลัวเหลือเกิน
ชายหนุ่มพึมพำ ในขณะที่ชลธรรีบกลืนน้ำลายลงคอที่ฝืดเฝื่อนเต็มทน ในเวลาที่ใกล้ชิดกันเช่นนี้ยิ่งรู้สึกถึงขั้วอารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไม่ต่างกับมรสุมกลางทะเลปั่นป่วน ชายหนุ่มกำลังอยู่ในโลกส่วนตัวที่หล่อนไม่อาจผ่านเข้าไปมองเห็น
แต่คุณไม่เชื่อมันใช่ไหม ชลธร ไม่เชื่อคำพูดของไอ้มินอ่องนั่น
และแล้วในจังหวะที่กำลังครุ่นคิดนั่นเอง มือที่แตะเบาๆข้างแก้มก็เลื่อนลงมาจับไหล่บอบบาง แล้วเกร็งนิ้วกดลงไปจนหล่อนต้องนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวด
ปล่อยชลค่ะ ชลเจ็บ...
แสงไฟฉายที่เหลือน้อยนิดเต็มที ยิ่งส่งให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาคมคายนั้น บิดเบี้ยวผิดรูป
คุณเชื่อมันใช่ไหม ชลธร ผมมองเห็น! จริงๆแล้วคุณไม่เคยเชื่อคำพูดของผมเลยสักนิดเดียว!!
เสียงคำรามที่ผ่านลอดลำคอออกมา บ่งถึงอารมณ์ชายหนุ่มเบื้องหน้าที่กำลังเปลี่ยนกลับไปยังอีกขั้วหนึ่ง... ขั้วที่หล่อนไม่เคยเห็นมันมาก่อน สัญชาตญาณทำให้ชลธรพยายามสะบัดร่างหลบน้ำหนักมือของอีกฝ่ายที่กดลงมาอย่างขาดสติ แต่มือของ ภูไท กลับยิ่งลงแรงแน่นขึ้นไปอีก จนหล่อนไม่สามารถดิ้นหลุดจากเงื้อมมือนั้นไปได้สำเร็จ
คุณทำให้ชลกลัวนะคะ ชลเชื่อคุณนะคะ ปล่อย ชล... ปล่อย
พยายามส่งเสียงผ่านลำคออึกอักออกมา ควบคุมสติอารมณ์ให้เยือกเย็นลงเท่าที่จะทำได้ เมื่อตระหนักว่าในบัดนี้ เหลือหล่อนและเขาเพียงสองคนเท่านั้น ที่อยู่ด้วยกันเพียงลำพังในห้องใต้ดินแห่งนี้ และหน้ากากอันงดงาม ของชายหนุ่มผู้สุภาพอ่อนโยนก็กำลังลอกหลุดออกมาช้าๆ เมื่อคำพูดของทินอ่อนก่อนตาย เป็นตัวเริ่มต้นของการจุดชนวนระเบิดขึ้น...
ระเบิดแห่งความหวาดระแวง
และถ้าหากว่าชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้มิใช่ภูไท ทินบดี แล้วเขาเป็นใคร?
ความคิดของหล่อนหยุดชะงักงัน เมื่อได้ยินเสียงภูไทดังขึ้นอีกครั้ง กังวานห้าวห้วนแตกต่างจากภาพลักษณ์หนุ่มแสนสะอาด สุภาพคนนั้น ราวกับเป็นคนละคน
คุณไม่ต่างกับผู้หญิงพวกนั้น ช่างสงสัย และพยายามจะขุดคุ้ยทุกสิ่งทุกอย่าง ชลธร ใจจริงแล้วผมชอบคุณมากเลยนะ ผมเคยคิดว่าคุณน่าจะแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นที่ผมเคยรู้จัก
เสียงฮึ่มฮ่ำของอีกฝ่ายพล่ามออกมาไม่หยุดปาก บ่งถึงอารมณ์ความรู้สึกเชี่ยวกราก ชลธรรู้ดีว่าสิ่งเดียวที่จำทำให้หลุดรอดจากการขาดอากาศหายใจไปในบัดนี้ ก็คือพยายามทำให้เขาเชื่อว่าหล่อนมิได้เกิดความรู้สึกต่อต้าน หรือสงสัยใดๆในคำพูดของมินอ่องนั่นเลยแม้แต่น้อย และจากนั้นค่อยหาวิธีอื่นเอาตัวรอดในภายหลัง
\
วิธีที่ตัวเองก็ยังมืดแปดด้านอยู่ในขณะนี้!
คุณภูไทคะ ตอนนี้พวกเราติดอยู่ในห้องใต้ดินนี่นะคะ ชลว่าเรารีบหาทางออกจากที่นี่ด้วยกันดีกว่าจะไปเชื่อคำพูดของคนสติไม่ดีนั่น
ชลธรพยายามเปลี่ยนเรื่อง น้ำหนักมือที่กดเลื่อนขึ้นไปตรงลำคอค่อยคลายลงแล้ว จนหล่อนสามารถเอ่ยออกมาได้เต็มปากขึ้น กระนั้นก็ยังรู้สึกปวดร้าวที่หัวไหล่จนแทบจะเผลอนิ่วหน้าออกมา
ใช่! สิเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน ไอ้เฒ่าอาตม์นั่นแหละที่มันสงสัยผม แล้วคิดจะขังผมเอาไว้ที่นี่ มันรู้ตัวแล้ว!
แสงไฟจางลงทุกที จนใกล้ดับ ในเงาตะคุ่มข้างสายโซ่ที่กองอยู่กับพื้นนั่นเอง หล่อนสังเกตเห็นท่อนไม้หลายท่อนวางกองปะปนกับเศษข้าวของต่างๆเต็มไปหมด มันอยู่ใกล้เพียงแค่หล่อนก้มตัวลงไปคว้า...
หญิงสาวแสร้งแตะข้อมือชายหนุ่มคนที่หล่อนรู้แล้ว ว่าเขา ผิดปกติทางจิต แสดงท่าทางทุกอย่างให้เป็นปกติเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายเห็นพิรุธ
ชลว่าเราเดินไปดูที่ประตูดีกว่านะคะ บางที อาจจะพอเห็นวิธีอะไรสักอย่าง... ขอเวลาให้ชลใส่สายรองเท้าหน่อยนะคะ รองเท้ามันหลุดพอดี
หล่อนทำทีก้มตัวลงดึงสายรั้งส้นรองเท้าใส่กลับเข้าไป และมืออีกข้างรีบฉวยดุ้นไม้ติดตัวขึ้นมาซ่อนไว้ด้านหลังโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็น
บัดนี้ชายหนุ่มในดวงใจ เปลี่ยนจากสภาพกราดเกรี้ยวเมื่อครู่ไปเป็นนิ่งเงียบคล้ายครุ่นคิดบางอย่างอยู่ในใจ แต่มือข้างหนึ่งของเขาก็กำข้อมือหญิงสาวไว้แน่นเมื่อหล่อนลุกขึ้นยืนด้วยลักษณะของการควบคุมตัวเอาไว้ในที จนแทบขยับแขนไม่ได้ ขณะที่มืออีกข้างยังถือกระบอกปืนเอาไว้แนบแน่น
ชลธรกะจังหวะที่ภูไทเบี่ยงตัวไปตามคำพูดนำนั้นเอง กระชากตัวเองหลุดออกจากอุ้งมือแข็งแกร่งของเขาแล้วฟาดท่อนไม้ในมือลงไปยังตำแหน่งศีรษะนั้นทันที ตั้งใจว่าอย่างน้อยยังพอมองเห็นว่าด้านหลังห้องใต้ดินออกไปยังมีอุโมงค์เล็กอุโมงค์น้อยที่เชื่อมต่อกับห้องนี้ น่าจะพอมีที่ให้สามารถหลบซ่อนตัวอยู่ได้ จนกว่าใครสักคน... จะมาช่วยเหลือ
มันเป็นความหวังสุดท้ายที่ริบหรี่เต็มทน แต่สำหรับคนไม่มีทางออกอย่างชลธร คิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ทว่าแบตตารีไฟฉายก็หมดลงในจังหวะนั้นพอดี แสงสว่างเมื่อครู่ดับวูบ และแรงเหวี่ยงท่อนไม้ในมือก็หวดวืดลงไปในความว่างเปล่าของอากาศทดแทน
หล่อนพลาดเสียแล้ว...
**************************
คมจักรเล็งระยะทางจากจุดที่รถเสียและถูกทำร้ายจนสลบอยู่มาถึงคฤหาสน์ทับสนธยาพลาดไปเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเขาก็ยังเห็นร่องรอยของสิงหเมฆินทร์และปีระกา ผ่านประตูด้านหน้าของชาลาตึกเข้าไปยังด้านใน รอยเท้าเปื้อนโคลนของคนทั้งคู่ปรากฏบนพื้นหินอ่อนชัดเจน ในท่ามแสงจันทร์สุกสกาวหลังพายุฝนผ่านพ้น
คุณชลธร? ลุงอาตม์?
เขาตะโกนผ่านความเวิ้งว้างกว้างใหญ่ของอาคารสถาปัตยกรรมกลางป่าแห่งนี้เข้าไปด้านใน คาดหวังว่าอย่างน้อยน่าจะมีผูห็นเหตุการณ์บางอย่าง แต่ทุกอย่างที่สะท้อนตอบกลับมาคือเสียงลมพัดวู่หวิวและเสียงกิ่งไม้สั่นกราวกรูอยู่ด้านนอก
บางอย่างผิดปกติเสียจน คมจักรคิดว่าตนเองหลงเหลืออยู่เพียงคนเดียวในคฤหาสน์ร้างแห่งนี้ แต่เขาก็ช้าไม่ได้เสียแล้ว สังหรณ์บอกว่าปีระกากำลังตกอยู่ในอันตราย นายตำรวจหนุ่มตัดสินใจพุ่งตรงเข้าไปสู่ภายในอาคารทับสนธยาที่ประตูหน้าเปิดกว้างออกจากกัน เหมือนกับรอคอยและเชื้อเชิญให้เขาเข้ามาอยู่แล้ว
คมจักรยืนงงอยู่กลางห้องโถงใหญ่ ที่เขามองเห็นตั้งแต่ตอนกลางวันด้วยความพิศวง ความยิ่งใหญ่สูงตระหง่านของโถงประธานแทบจะทำให้ร่างของเขาเล็กจิ๋วลงไปไม่ต่างกับตัวมดสักตัว ภาพวาดของเจ้าของทับสนธยา ปรากฏกึ่งกลางห้อง ทั้งรูปของคุณผอบแก้ว ใบหน้าในรูปวาดนั้นคล้ายจะยิ้มเยาะหยันต่อความพยายามของชายหนุ่ม
แต่ผู้กองคมจักรก็หาสนใจไม่ ในเวลานี้ ความปลอดภัยของปีระกาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
คุณผอบแก้ว...
เขาเอ่ยขึ้นเหมือนกับดวงวิญญาณของหล่อนยังวนเวียนอยู่ ณ เบื้องหน้านี้ โดยไม่มีอาการพรั่นพรึงใดๆอีกต่อไป
ไม่ว่าคุณจะมีความต้องการในทางดีหรือร้ายเพียงใดต่อ ปีระกา ทายาทคนเดียวที่เหลืออยู่ของคุณ แต่ผมขอสาบาน ว่าผมจะต้องพาปีระกากลับไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใดๆก็ตาม รวมถึงอำนาจจากดวงวิญญาณของคุณด้วยเช่นเดียวกัน!
สายฟ้าแลบปลาบลงมาในเวลาดังกล่าวพอดี พร้อมกับเสียงคำรนคล้ายรับรู้ต่อความประสงค์ของชายหนุ่ม ความสว่างเจิดจ้าในชั่วพริบตานั้น เขามองเห็นใบหน้าเรียบเฉยในรูปวาดคล้ายจะเปล่งประกายของความโทมนัส แผกไปจากรูปเดิมของเธอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มหยันอยู่เป็นนิจ
คมจักรละความสนใจลงแต่เพียงนั้น บัดนี้เขาพยายามสังเกตและคำนวณระยะทางจากห้องรับรองแห่งนี้ ไปยังส่วนของปีกตึกฝั่งใต้ จากจุดนั้นคือบริเวณหอคอยสูงละลิ่วที่มองเห็นแสงสว่างส่องสะท้อนออกมา ไม่ต่างกับแสงประภาคารริมทะเลนั่นเอง ชายหนุ่มรีบเร่งฝีเท้าออกเดินไปตามเฉลียงยาวตลอดระยะทางที่ปราศจากแสงไฟใดๆ นอกจากผืนกระจกที่กรุเอาไว้ตามบานหน้าต่างขนาดยาวจรดพื้น ที่ยังพอทำให้เห็นเส้นทางทอดลึกผ่านซุ้มอุโมงค์คดโค้งอย่างวิจิตรบรรจงด้วยสถาปัตยกรรมการก่อสร้างอันสวยงามและน่าสะพรึง
สมกับชื่อของมันจริงๆ... ทับสนธยา!
ระหว่างการก้าวเดินไปตามเส้นทางสลัวที่ยังมองไม่เห็นปลายทางเหล่านั้น เขาก็นึกถึงหญิงสาวที่เป็นต้นเหตุของการเดินทางมายังบ้านปางงิ้วดำแห่งนี้ ด้วยความอัศจรรย์ใจยิ่ง
ลำพังโดยหน้าที่นายตำรวจสืบสวนแล้ว สำหรับคดีนี้ เขาแทบไม่จำเป็นต้องลงทุนลงแรงลาพักร้อน เพื่อมาสืบคดีให้ยุ่งยากเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะ ปีระกา และหนังสือที่หล่อนเขียนนั่นต่างหาก มันอาจจะเริ่มต้นด้วยนวนิยายเปื้อนเลือดเล่มก่อนหน้า ที่มีโอกาสได้อ่าน และทำให้เกิดความรู้สึกทึ่งในตัวคนเขียน จนมีโอกาสได้สอบปากคำ จนย้อนกลับไปทบทวนเรื่องราวในกุหลาบอาเพศใหม่อีกครั้ง
เงื่อนปมของตัวละครฆาตกรใจโหดที่สังหารหญิงสาวในตระกูลอัศววีรกุล หรือในแฟ้มคดีที่เกิดขึ้นจริงก็คือตระกูลอาชาวีรชัยทั้งสี่คน
คุณกรรณิการ์ พี่สาวคนโตทายาทคนสำคัญ และสามสาวพี่น้อง ทายาทลำดับรองลงไป จนหมดสิ้น ไม่ต่างกับการล่าล้างตระกูลอาชาวีรชัย โดยทิ้งไว้แต่ปมปริศนาของดอกกุหลาบเปื้อนเลือดเท่านั้น
เหลือแต่เพียงเขยทั้งสามของตระกูลนี้ซึ่งมีที่อยู่แสดงชัดแจ้ง ทั้งพยานหลักฐานต่างๆ จนไม่รู้ว่าใครคือฆาตกร
นอกจากนักเขียนสาว นักพยากรณ์คนนี้เท่านั้น
เพียงแต่เขาไม่คิดว่าข้อมูลที่หล่อนได้มา แท้จริงมันมาจากคำบอกเล่าของดวงวิญญาณผู้ตาย ตราบจนกระทั่งได้ยินจากปากของหล่อนและได้เผชิญหน้ากับสิ่งที่เรียกว่า วิญญาณ เป็นครั้งแรกในชีวิต
ดวงวิญญาณเจ้าของทับสนธยาแห่งนี้ คุณผอบแก้ว วงศ์วนานั่นเอง...
แต่สิ่งที่ร้อยเอกคมจักรกังวลต่อหญิงสาวมากยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ฆาตกรมือสังหาร ที่เขาพยายามตามสืบจากตัวหนังสือในนิยายของหล่อน บัดนี้มันรู้ตัวแล้วว่ากำลังถูกจับตามองและสืบหาตัวเพื่อมาดำเนินคดี สิ่งสำคัญก็คือ มันกำลังแข่งเวลากับเขาที่จะเข้าถึงตัวปีระกาให้ได้ก่อน
และแน่นอน สิ่งสำคัญคือมันเองก็ยังไม่ทราบว่า บัดนี้เขารู้ความจริงสำคัญข้อหนึ่ง ข้อที่เป็นจุดหลักฐานเล็กๆอันจะนำไปสู่การสืบหาตัวมันได้ในมิช้า... ไม่ต่างกับเส้นด้ายอันใสบาง ผูกปมไว้กับชายเสื้อที่หลุดลุ่ยของมันโดยไม่ทันรู้ตัว และเขาก็พานพบกับปลายเส้นด้ายเส้นนั้นโดยบังเอิญที่สุด
ระหว่างการเดินทางมายังปางงิ้วดำนั่นเอง...
นั่นคือปัญหาสำคัญ คือสิ่งที่เขาล่วงรู้มาก่อนหน้า และยังไม่มีโอกาสได้บอกกับปีระกาให้รู้ตัวเสียก่อน ทั้งหมดนี้ คมจักรโทษตัวเองเพียงคนเดียว เป็นเพราะเขาและเพื่อนนายตำรวจที่ต้องการหาหลักฐานให้แน่นหนารัดกุมเพื่อดำเนินการในทางกฎหมาย และในขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้ อีกฝ่าย ไหวตัวได้ทัน...
ยอมรับว่าเขาประมาณการณ์ผิดไป เพราะกลัวว่าทันทีที่ปีระการู้ ความจริง หล่อนจะไม่อาจปกปิดอาการพิรุธ ให้ มัน สังเกตเห็น และจากนั้นทุกอย่างอาจจะสายเกินไป...
ใช่! เขาได้เผชิญหน้ากับฆาตกรคนนั้นมาแล้ว ที่ทับสนธยาแห่งนี้นั่นเอง โดยที่มันก็ไม่ทันเฉลียวใจนอกจากคิดว่าเขามาหาปีระกาเพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับหนังสือนิยายฆาตกรรมเล่มล่า ตามข่าวที่หนังสือพิมพ์ลงค้างเอาไว้
สังเกตด้วยสายตาคมเฉียบของนายตำรวจผู้มากประสบการณ์ อย่างน้อยเขาก็ยังนำมันอยู่ก้าวหนึ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะแปลงชื่อเสียงเรียงนามและแฝงตัวมาในรูปของทนายความของทับสนธยาในนามของ ภูไท ทินบดี ก็ตาม!
ภูไท ทินบดี...
น่าสงสาร ทนายความหนุ่มตัวจริงผู้เคราะห์ร้ายคนนั้น เขาถูกลอบสังหารระหว่างการเดินทางนำเอกสารมาที่ทับสนธยา คิดว่ามันคงรอจังหวะสำคัญนั้นพอดี และฉวยโอกาสจากความไว้วางใจโดยสารรถเก๋งของภูไทตัวจริงมาด้วยกัน ก่อนที่จะ ลงมือ จัดการกับเขากลางเส้นทางเปลี่ยวร้างของถนนสายปางงิ้วดำ
เอกสารสำคัญทางกฏหมายทุกอย่างรวมถึงพาหนะคันนั้นก็ถูกเจ้าฆาตกร ยึดมาเพื่ออำพรางตัวตนแท้จริงของมัน
ชายหนุ่มพยายามคิดอย่างที่ฆาตกรรายนั้นกำลังคิดไปด้วยกัน
...ในจังหวะของการสังหารด้วยกระสุนนั้น มันคงคิดแต่เพียงว่ากระสุนไม่กี่นัดน่าจะผ่านเข้าจุดสำคัญ จนทำให้ทนายภูไทเสียชีวิตอยู่กลางผืนป่าดงดิบปราศจากผู้คนสัญจรผ่านมารับรู้ และด้วยเวลาอันจำกัด มันจึงต้องรีบเดินทางไปให้ทันต้อนรับสองสาว ทั้งปีระกาและชลธรที่กำลังจะออกจากกรุงเทพฯมาถึงที่นี่เสียก่อน
นั่นคือข้อผิดพลาดร้ายแรงที่ฆาตกร เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไป...
ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเมืองเหมือนกับสี่สาวตระกูลอาชาวีรชัยแล้วละก็ คมจักรคิดว่า ฆาตกรผู้เฉียบแหลมและวางแผนรัดกุมจะไม่มีวันปล่อยให้ศพภูไทถูกทิ้งเอาไว้เป็นพยานหลักฐานมัดตัวมันอย่างแน่นอน
และทนายภูไทตัวจริงผู้น่าสงสาร ก็สิ้นใจอยู่กลางป่ารกชัฏนั้น สมความปรารถนาของมันก็จริง แต่ก็ภายหลังจากที่เพื่อนนายตำรวจของเขาจะได้รับแจ้งมาจากผู้หวังดีคนหนึ่ง ที่รีบนำข่าวมาบอกที่สถานีตำรวจ น่าเสียดายที่เขาไม่ทันได้ซักถาม เมื่อกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้ง ผู้แจ้งข่าวก็หายตัวไปแล้ว นอกจากบอกแต่เพียงว่าผู้ตายเสียชีวิตอยู่บริเวณใด และมีชื่อว่าอะไร
ข้อมูลนี้ถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ภายหลังจากทีมตำรวจออกติดตามตามคำบอกเล่าของชายนิรนาม และพบศพดังกล่าวจริง ก่อนจะนำไปสู่การสืบสวนหาข้อมูลของชายหนุ่มผู้เสียชีวิต พร้อมรอยกระสุนปืนมรณะ
ถ้าผู้กองวชิระ จะไม่รู้จักกับ คมจักรเป็นการส่วนตัว ในจังหวะที่เขากำลังวางแผนจะเดินทางมาปางงิ้วดำพอดี และโทรศัพท์มาขอข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางไปยังทับสนธยา เรื่องทั้งสองเรื่อง ก็คงจะไม่มาบรรจบกัน ราวแผ่นจิกซอว์ที่ถูกต่อเข้าหากันเป็นรูปเฉลยปมปริศนาได้โดยบังเอิญที่สุด
หากเขาก็ต้องรอ... รอผลชันสูตรและผลตรวจทางนิติเวชของลูกกระสุนในร่างศพทนายความเคราะห์ร้ายผู้นั้น จนไม่อาจพูดใดๆออกมา เพื่อให้เสียรูปคดีได้
แม้ว่าจะได้เผชิญหน้ากับ ทนายภูไท ทินบดี คนใหมนื่องที่สวมรอยเข้ามาอยู่ที่ทับสนธยา พร้อมกับปีระกาก็ตาม!!
*************************
ชลธรหวีดร้องสุดเสียงเมื่อข้อมือถูกกระชากอย่างแรงในความมืด มันคว้าหมับลงมา หากหล่อนสะบัดจนหลุด ระหว่างฟาดด้ามไม้กลับลงไป เสียงไม้กระทบกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งบนร่างนั้นจนได้ยินเสียงร้องออกมาเบาๆ พร้อมกับเสียงสบถคำรามอย่างโกรธจัด
หล่อนรีบออกแรงพุ่งตัวไปยังอีกด้านหนึ่ง แสงสว่างที่ยังสลัวราง พอมองเห็นร่างตะคุ่มนั้นขยับไหวเข้ามาใกล้ อีกฝ่ายอาจจะปรับสายตาได้ช้ากว่า และชลธรก็ไม่รอโอกาสครั้งต่อไป
หล่อนหวดด้ามไม้ที่มีอยู่ในมือลงไปยังส่วนที่เป็นศีรษะของ ภูไท ทันที
โพละ!
เสียงดังขึ้น และร่างนั้นก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นแล้วแน่นิ่งไปในทันที มองเห็นแต่แผ่นหลังของ ทนายกำมะลอ นอนนิ่ง กางแขนขาออกอย่างสิ้นฤทธิ์ หญิงสาวยืนตัวสั่นสะท้าน เป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยพานพบมาก่อนจนหล่อนทำอะไรแทบไม่ถูก และไม่รู้ว่า มันจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อไร
ชลธรคิดว่าหล่อนจะต้องหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยของชีวิตตนเอง
ช่วยด้วย ช่วยด้วยยย
กรีดเสียงร้องเท่าที่จะมีออกไป หางตามองเห็นประตูที่เฒ่าอาตม์ปิดลงคล้ายสั่นไหวน้อยๆเหมือนมีใครอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่าเป็นอุปาทานไปเองหรือเปล่า แต่อย่างน้อยก็ทำให้หล่อนรีบออกแรงที่เหลืออยู่ ก้าวข้ามร่างหมดสติของภูไทตรงไปยังบันไดด้านหน้า สายตามองตรงไปอย่างมีความหวังเรืองรองเป็นครั้งสุดท้าย
แก...!!
โดยไม่คาดคิด ร่างที่นอนหมดสติแต่แรก กลับโผนทะยานขึ้นมา แล้วมือทรงพลังนั้นก็คว้าลากร่างของหล่อนให้ล้มคะมำลงไปพร้อมกัน กำปั้นลุ่นๆของมันต่อยลงมาที่ช่องท้องจนหล่อนตัวงอด้วยความเจ็บปวด นัยน์ตาพร่าพราย ชลธรหวีดร้องสุดเสียง มืออีกข้างที่เงื้อไม้ค้างไว้อ่อนแรงยวบลง และมันก็หลุดลงมาหล่นกลิ้งอยู่บนพื้นโดยที่หล่อนไม่อาจเก็บขึ้นมาได้อีก
แสบนักนะ แต่แรกก็คิดว่าจะปล่อยไว้สักคน เห็นทีว่าจะไม่ได้ซะแล้วละมั๊ง ชลธร?
กะ แก...
ทำฤทธิ์ซะอย่างนี้ มันต้องรู้ฤทธิ์ของจริงกันซะมั่ง!
แล้วมือที่เงื้อขึ้นของมันก็ตบฉาดลงมาที่ใบหน้าของหล่อนจนสะบัดหัน เลือดไหลออกมากบปากจนเค็มปะแล่ม ก่อนอาการเจ็บแปลบจะเปลี่ยนเป็นชายะเยือก เรี่ยวแรงสุดท้ายที่เหลืออยู่หมดสิ้นลงแล้วในบัดนี้ ชลธรปวดจนแทบขยับกายไม่ได้อีกต่อไป
เสียงหัวเราะหึหึ ดังขึ้นอย่างอำมหิต เมื่อฆาตกรตัวจริงล้วงมือลงไปในขอบกางเกง แล้วหยิบวัตถุชิ้นหนึ่งขึ้นมากำเอาไว้หลวมๆ ในเงามืดมองเห็นแต่ปลายด้ามรูปตัด ก่อนที่เสียงกดสปริงดังขึ้น แล้วด้ามใบมีดคมกริบก็ดีดตัวขึ้นมาจากปลายด้ามฝัก
ในเงามืดตะคุ่มนั้น หล่อนเห็นประกายวาววับของมันสะท้อนแสงวาบวับ ไม่ต่างกับแสงดาวในคืนเดือนแรม โดยไม่รอช้าเมื่อมันเงื้อมือขึ้นจนสุดลำแขนอันแข็งแกร่ง แล้วจ้วงคมมีดในมือกลับลงมายังร่างของหล่อนเป็นเป้าหมาย!
**********************
เดี๋ยวมาต่อบท 45 ครับ