ในที่สุด หลังจากรอคอยกันมาอย่างยาวนาน เราก็ได้กลับไปผจญภัยใน Middle Earth กันอีกครั้ง
คราวนี้เราจะไปผจญภัยกับฮอบบิทนาม บิลโบ แบ๊กกิน (ปู่ของโฟรโดจาก Lord of the Rings) พ่อมดเทาแกนดัลฟ์ และคนแคระทั้ง 12 คน ซึ่งเรื่องราวของการผจญภัยในครั้งนี้ ชาวคณะจะเดินทางไปปราบมังกรทียึดสมบัติ และหุบเขาที่เคยเป็นบ้านของเหล่าคนแคระ และเป็นเรื่องราวก่อนที่บิลโบ แบ๊กกินส์จะได้แหวนเอกธำมรงค์ไปครอบครอง
โทนหนังของ Hobbit กับ Lord of the rings จะค่อนข้างแตกต่างกันครับ โดย Hobbit จะดูเป็นผจญภัย แฟนตาซี มีความบันเทิง มีเสียงหัวเราะ มีสีสันในรูปแบบนิทาน หรือเทพนิยายมากกว่า Lord of the rings ที่จะเน้นเรื่องของสงครามแห่งแหวน ซึ่งไม่ต่างจากฉบับนิยาย เพราะตัวหนังสือ Hobbit จะมีรูปแบบเป็นหนังสือที่เอนเอียงไปทางนิทาน ในขณะที่ Lord of the rings จะเป็นนวนิยาย มหากาพย์แฟนตาซี ทำให้ Hobbit เข้าถึงผู้ชมทุกวัยได้มากกว่า Lord of the rings ครับ เพราะใน Hobbit เราจะได้เห็นพ่อมดคุยกับสัตว์ เห็นโทรลพูดได้ เจอราชาก๊อบลินหน้าตาอุบาทว์
แต่สิ่งที่คนพูดถึงกันมากว่า เอ๊ะ Hobbit มีนิยายแค่เล่มเดียว แถมเล่มเล็กซะด้วย ทำไมถึงขยายเป็นหนังไตรภาคได้หว่า ซึ่ง Hobbit เวอร์ชันภาพยนตร์มีการใส่เรื่องราวเพื่อให้เชื่อมโยงกับ Lord of the rings ด้วยครับ (ในฉบับนิยาย Hobbit แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับ LOTR เลย มีแค่แหวนเท่านั้นเองที่เป็นตัวเชื่อมโยงนิยายทั้งสอง จริงๆแล้ว Hobbit เป็นแค่การผจญภัยไปปราบมังกรและล่าสมบัติของคณะเท่านั้นเอง) นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเติมตำนาน รายละเอียด เรื่องราวต่างๆเข้าไปในเรื่อง Hobbit ซึ่งเป็นการขยายโลกของ Middle Earth ให้กว้างยิ่งขึ้น (คาดว่าน่าจะนำเรื่องราวต่างๆจากตำนานแห่งซิลมาริล ซึ่งเป็นนิยายตำนานการกำเนิด Middle Earth มาใส่ในเรื่อง Hobbit ซึ่งผมก็ยังไม่เคยอ่านเหมือนกันครับ)
ซึ่งเรื่องราวและตำนานต่างๆมากมายที่ได้ใส่เข้ามาใน Hobbit ทำให้ Hobbit มีความอลังการ และความยิ่งใหญ่แทบจะเทียบเท่ากับ LOTR เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อดีมากๆของหนัง ด้วยคุณภาพของการสร้าง ความอลังการ ความเนียนของ CG เพลงประกอบต่างๆ (โดยเฉพาะเพลงปลุกใจของเหล่าคนแคระ Misty Mountain ที่จะตรึงอยู่ในความทรงจำของคนดูแน่นอน) ก็ทำได้สมมาตรฐาน เทียบเท่า หรืออาจจะเหนือกว่า LOTR ด้วยซ้ำ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่หนังพยายามใส่ตำนาน เรื่องราวต่างๆเพื่อมาขยายโลกของ Hobbit ให้มากขึ้นนั้น กลับกลายเป็นว่าทำให้หนังดูยืด และอืดไปค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกของหนัง อาจจะทำให้คนดูแอบตาปรือได้
และที่น่าเสียดายที่หนังไปมุ่งเน้นในเรื่องของตำนาน ของเรื่องราวที่พยายามใส่มาในช่วงแรก แทนที่จะเน้นให้คนดูได้รู้จักกับชาวคณะอย่างจริงๆจังๆ ว่าคนแคระแต่ละคนมีอุปนิสัยอย่างไร มีจุดเด่นอะไร ผมต้องยอมรับว่า ผมจำคนแคระได้อยู่สองคนคือ ธอริน ที่เป็นผู้นำคณะ และบาลิน ลุงหนวดสีขาว แถมในเรื่องของตัวละครที่สำคัญที่สุดอย่าง บิลโบ กลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในช่วงครึ่งแรก จนเหมือนกับจะเป็นตัวประกอบไปซะอย่างนั้น จนอยากให้ภาคต่อไป หนังจะพูดถึงตัวละครมากขึ้น
แต่ข้อเสียที่ว่าก็เป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อยครับ พอผ่านช่วงครึ่งแรกของหนังไปแล้ว เหมือนกับว่าหนังเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มตื่นเต้น การดำเนินเรื่องค่อยๆสนุก ค่อยๆลุ้นขึ้นเรื่อยๆ บวกกับความอลังการของงานสร้าง ทำให้คนดูกลายเป็นหนึ่งในชาวคณะอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับที่เราลุ้น และเอาใจช่วยพันธมิตรแห่งแหวน ที่สำคัญการพบกันของบิลโบและกอลลัมทำได้ดีมากๆ กอลลัมดูจิตขึ้น น่ากลัวขึ้น มีมิติของตัวละครมากขึ้น ทั้งน่ากลัว น่าสงสาร และน่าเห็นใจในเวลาเดียวกัน และเมื่อดูจนจบ ผมก็รู็สึกอย่างเดียวกันกับตอนดู LOTR ภาคแรกว่า ต้องรออีกปีเหรอเนี่ย ถึงจะได้ดูภาค 2
ถึงแม้ว่า Hobbit จะยังไม่สนุกเทียบเท่า LOTR แต่ก็เป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีอันยอดเยี่ยมที่ห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานตั้งแต่ LORT และ Harry Potter ครับ
>>>> B+ <<<<
http://goo.gl/654GL
[Jackobot Review #17] Hobbit กลับไปผจญภัยใน Middle Earth ที่ทุกคนรอคอย
คราวนี้เราจะไปผจญภัยกับฮอบบิทนาม บิลโบ แบ๊กกิน (ปู่ของโฟรโดจาก Lord of the Rings) พ่อมดเทาแกนดัลฟ์ และคนแคระทั้ง 12 คน ซึ่งเรื่องราวของการผจญภัยในครั้งนี้ ชาวคณะจะเดินทางไปปราบมังกรทียึดสมบัติ และหุบเขาที่เคยเป็นบ้านของเหล่าคนแคระ และเป็นเรื่องราวก่อนที่บิลโบ แบ๊กกินส์จะได้แหวนเอกธำมรงค์ไปครอบครอง
โทนหนังของ Hobbit กับ Lord of the rings จะค่อนข้างแตกต่างกันครับ โดย Hobbit จะดูเป็นผจญภัย แฟนตาซี มีความบันเทิง มีเสียงหัวเราะ มีสีสันในรูปแบบนิทาน หรือเทพนิยายมากกว่า Lord of the rings ที่จะเน้นเรื่องของสงครามแห่งแหวน ซึ่งไม่ต่างจากฉบับนิยาย เพราะตัวหนังสือ Hobbit จะมีรูปแบบเป็นหนังสือที่เอนเอียงไปทางนิทาน ในขณะที่ Lord of the rings จะเป็นนวนิยาย มหากาพย์แฟนตาซี ทำให้ Hobbit เข้าถึงผู้ชมทุกวัยได้มากกว่า Lord of the rings ครับ เพราะใน Hobbit เราจะได้เห็นพ่อมดคุยกับสัตว์ เห็นโทรลพูดได้ เจอราชาก๊อบลินหน้าตาอุบาทว์
แต่สิ่งที่คนพูดถึงกันมากว่า เอ๊ะ Hobbit มีนิยายแค่เล่มเดียว แถมเล่มเล็กซะด้วย ทำไมถึงขยายเป็นหนังไตรภาคได้หว่า ซึ่ง Hobbit เวอร์ชันภาพยนตร์มีการใส่เรื่องราวเพื่อให้เชื่อมโยงกับ Lord of the rings ด้วยครับ (ในฉบับนิยาย Hobbit แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับ LOTR เลย มีแค่แหวนเท่านั้นเองที่เป็นตัวเชื่อมโยงนิยายทั้งสอง จริงๆแล้ว Hobbit เป็นแค่การผจญภัยไปปราบมังกรและล่าสมบัติของคณะเท่านั้นเอง) นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มเติมตำนาน รายละเอียด เรื่องราวต่างๆเข้าไปในเรื่อง Hobbit ซึ่งเป็นการขยายโลกของ Middle Earth ให้กว้างยิ่งขึ้น (คาดว่าน่าจะนำเรื่องราวต่างๆจากตำนานแห่งซิลมาริล ซึ่งเป็นนิยายตำนานการกำเนิด Middle Earth มาใส่ในเรื่อง Hobbit ซึ่งผมก็ยังไม่เคยอ่านเหมือนกันครับ)
ซึ่งเรื่องราวและตำนานต่างๆมากมายที่ได้ใส่เข้ามาใน Hobbit ทำให้ Hobbit มีความอลังการ และความยิ่งใหญ่แทบจะเทียบเท่ากับ LOTR เลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้ก็เป็นข้อดีมากๆของหนัง ด้วยคุณภาพของการสร้าง ความอลังการ ความเนียนของ CG เพลงประกอบต่างๆ (โดยเฉพาะเพลงปลุกใจของเหล่าคนแคระ Misty Mountain ที่จะตรึงอยู่ในความทรงจำของคนดูแน่นอน) ก็ทำได้สมมาตรฐาน เทียบเท่า หรืออาจจะเหนือกว่า LOTR ด้วยซ้ำ
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายครับ ที่หนังพยายามใส่ตำนาน เรื่องราวต่างๆเพื่อมาขยายโลกของ Hobbit ให้มากขึ้นนั้น กลับกลายเป็นว่าทำให้หนังดูยืด และอืดไปค่อนข้างมากในช่วงครึ่งแรกของหนัง อาจจะทำให้คนดูแอบตาปรือได้
และที่น่าเสียดายที่หนังไปมุ่งเน้นในเรื่องของตำนาน ของเรื่องราวที่พยายามใส่มาในช่วงแรก แทนที่จะเน้นให้คนดูได้รู้จักกับชาวคณะอย่างจริงๆจังๆ ว่าคนแคระแต่ละคนมีอุปนิสัยอย่างไร มีจุดเด่นอะไร ผมต้องยอมรับว่า ผมจำคนแคระได้อยู่สองคนคือ ธอริน ที่เป็นผู้นำคณะ และบาลิน ลุงหนวดสีขาว แถมในเรื่องของตัวละครที่สำคัญที่สุดอย่าง บิลโบ กลับไม่ได้มีบทบาทสำคัญในช่วงครึ่งแรก จนเหมือนกับจะเป็นตัวประกอบไปซะอย่างนั้น จนอยากให้ภาคต่อไป หนังจะพูดถึงตัวละครมากขึ้น
แต่ข้อเสียที่ว่าก็เป็นข้อเสียเพียงเล็กน้อยครับ พอผ่านช่วงครึ่งแรกของหนังไปแล้ว เหมือนกับว่าหนังเริ่มเข้าที่เข้าทาง เริ่มตื่นเต้น การดำเนินเรื่องค่อยๆสนุก ค่อยๆลุ้นขึ้นเรื่อยๆ บวกกับความอลังการของงานสร้าง ทำให้คนดูกลายเป็นหนึ่งในชาวคณะอย่างไม่รู้ตัว เหมือนกับที่เราลุ้น และเอาใจช่วยพันธมิตรแห่งแหวน ที่สำคัญการพบกันของบิลโบและกอลลัมทำได้ดีมากๆ กอลลัมดูจิตขึ้น น่ากลัวขึ้น มีมิติของตัวละครมากขึ้น ทั้งน่ากลัว น่าสงสาร และน่าเห็นใจในเวลาเดียวกัน และเมื่อดูจนจบ ผมก็รู็สึกอย่างเดียวกันกับตอนดู LOTR ภาคแรกว่า ต้องรออีกปีเหรอเนี่ย ถึงจะได้ดูภาค 2
ถึงแม้ว่า Hobbit จะยังไม่สนุกเทียบเท่า LOTR แต่ก็เป็นหนังผจญภัยแฟนตาซีอันยอดเยี่ยมที่ห่างหายจากจอภาพยนตร์ไปนานตั้งแต่ LORT และ Harry Potter ครับ
>>>> B+ <<<<
http://goo.gl/654GL