รายการนี้เป็นรายการเรียลลิตี้ที่หาหัวหน้าเชฟให้กับร้านอาหารที่ขึ้นชื่อว่าดีที่สุด
หรูที่สุด ซึ่งรายการจะแข่งกับกัน 2ทีม แยกไปฝ่ายชาย/ฝ่ายหญิง ถ้าอยากย้าย
ค่อยว่ากันอีกที การแข่งจะเป็นแบบทำงานในภัตตาคารจริงๆ มีลูกค้าแบ่งไป
ทั้งโซนสีแดง และโซนสีน้ำเงิน ใครทำดีก็ได้รางวัล ทีมไหนทำแย่หนึ่งในนั้น
ก็จะโดนโหวตออก
แต่รายการนี้จะอุดมไปตามความเครียดและความกดดัน ทั้งคำติเตียนจาก
เชฟแรมซีย์ อีกทั้งความเซลฟ์ของคนในทีม ที่คิดว่าตัวเองเก่ง จนบางที
ก็เซลฟ์เกินจนไม่เห็นหัวเชฟแรมซีย์ จนบางทีความเซลฟ์ของคนในทีม
ทำให้ต้องทะเลาะกัน จนเกือบต่อยกัน หรือไม่ก็จะตบกันก็มี
เราว่ารายการนี้แสดงความเรียลของมนุษย์ ทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งอิจฉากัน หรือ
แม้แต่การไม่เคยยอมรับความผิดของตัวเอง เอาแต่โทษคนอื่น หรือแม้แต่
มั่นใจในตัวเองเกินไปจนเกิดความผิดพลาด อีกต่างๆนานาที่กดดันทั้งคนดู
(อย่างเรา) แล้วก็ผู้เข้าแข่งขัน
แต่ถึงยังไงก็ต้องบอกว่าชอบรายการนี้น่ะ เพราะดูมีจุดมุ่งหมายชัดเจน ไม่ใช่
เรียลลิตี้โหลๆ ที่สร้างออกมาเรียกกระแสชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจบกัน แต่มัน
ยังต่อยอดอาชีพของผู้ชนะในรายการนี้ ให้มีความมั่นคงอีกด้วย
Hell Kitchen...เป็นรายการเรียลลิตี้ที่รู้สึกว่าเจ๋งมาก
หรูที่สุด ซึ่งรายการจะแข่งกับกัน 2ทีม แยกไปฝ่ายชาย/ฝ่ายหญิง ถ้าอยากย้าย
ค่อยว่ากันอีกที การแข่งจะเป็นแบบทำงานในภัตตาคารจริงๆ มีลูกค้าแบ่งไป
ทั้งโซนสีแดง และโซนสีน้ำเงิน ใครทำดีก็ได้รางวัล ทีมไหนทำแย่หนึ่งในนั้น
ก็จะโดนโหวตออก
แต่รายการนี้จะอุดมไปตามความเครียดและความกดดัน ทั้งคำติเตียนจาก
เชฟแรมซีย์ อีกทั้งความเซลฟ์ของคนในทีม ที่คิดว่าตัวเองเก่ง จนบางที
ก็เซลฟ์เกินจนไม่เห็นหัวเชฟแรมซีย์ จนบางทีความเซลฟ์ของคนในทีม
ทำให้ต้องทะเลาะกัน จนเกือบต่อยกัน หรือไม่ก็จะตบกันก็มี
เราว่ารายการนี้แสดงความเรียลของมนุษย์ ทั้งเห็นแก่ตัว ทั้งอิจฉากัน หรือ
แม้แต่การไม่เคยยอมรับความผิดของตัวเอง เอาแต่โทษคนอื่น หรือแม้แต่
มั่นใจในตัวเองเกินไปจนเกิดความผิดพลาด อีกต่างๆนานาที่กดดันทั้งคนดู
(อย่างเรา) แล้วก็ผู้เข้าแข่งขัน
แต่ถึงยังไงก็ต้องบอกว่าชอบรายการนี้น่ะ เพราะดูมีจุดมุ่งหมายชัดเจน ไม่ใช่
เรียลลิตี้โหลๆ ที่สร้างออกมาเรียกกระแสชั่วครั้งชั่วคราวแล้วจบกัน แต่มัน
ยังต่อยอดอาชีพของผู้ชนะในรายการนี้ ให้มีความมั่นคงอีกด้วย