เพราะเรารู้สึกว่ามันเป็นหนังที่มีทั้งส่วนที่ดีๆมีเอกลักษณ์ และส่วนที่ไม่ไหวเลยปนๆกันไปอยู่น่ะค่ะ
(จริงๆมีเรื่องอยากพูดเยอะแยะไปหมด แต่มาตอนตลาดวายแล้วเลยจะพยายามพูดให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ 555)
ส่วนที่ดีๆ อย่างแรกเลยคือลายเซ็นของผู้กำกับแกคงอยู่ชัดเจนนะในเรื่องนี้ เราไม่ใช่แฟนหนังแกหรอก แต่เคยชอบโกลล์คลับมากๆ มุมกล้องในเรื่องนี้และการเล่าเรื่องบางอย่างทำให้เรานึกถึงเรื่องโกลล์คลับขึ้นมาเลยค่ะ ซึ่งเราว่ามันก็ดูเท่ห์และมีสไตล์ดีนะ หลายๆฉากออกมาได้สวยเลยล่ะ ฉากสะพานพุทธตอนขี่จักรยานก็ทำออกมาได้งดงามและน่ารักดีค่ะ (แม้หลายๆฉากจะมีความหลอนจากตอนเคยดูเรื่อง เดอะ เมีย ของแกโผล่มาบ้าง) ผกก.สำหรับเรามันเหมือนคนมาเล่านิทานให้ฟังน่ะค่ะ ปกติเรื่องเศร้าๆคนมักจะเล่าด้วยน้ำเสียงละมุนซาบซึ้ง แต่คุณเรียวแกเอามาเล่าด้วยน้ำเสียงน่ารักและกวนๆปนดิบๆนิดๆแทน คนอื่นอาจจะไม่ชอบบอกว่าไม่เข้า แต่เราชอบความคิดสร้างสรรค์แกในการเลือกเล่าในแง่มุมนี้นะ คือมันได้ความแปลกใหม่ที่รู้สึกสะดุดได้ตั้งแต่แรกเลย จะมีก็เพียงแต่ มันดันมีองค์ประกอบอื่นๆที่ทำให้นิทานเรื่องนี้ฟังแล้วไม่ซึ้งน่ะสิคะ ดังที่จะกล่าวต่อไปข้างล่าง.....
ส่วนแย่ เรื่องแรกเลยคือ
"จังหวะ" การเล่าเรื่องที่รวดเร็ว เราว่าแกคิดผิดมากเลยที่เลือกจังหวะการเล่าเรื่องแบบนี้กับหนังรัก มันมีผลเสียชัดๆ 2 อย่าง 1. หลายคนที่ไม่เคยดูหรืออ่านคู่กรรมมาก่อนคงงงแน่ อย่างฉากซ่อนเชลยในห้องนางเอก บทสนทนานพระนางมันห้วนแก่การทำความเข้าใจมากเลยค่ะ หรือแม้แต่คนที่เข้าใจว่าเค้าพูดอะไรอยู่ก็เหอะ คิดว่ายังไงก็คงเข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งเท่าที่ควรเพราะสิ่งที่แสดงออกมามันไม่ได้นำพาไปได้ขนาดนั้น 2. มันไม่มีเวลาให้คนได้ทันดื่มด่ำซาบซึ้งกับความรักของพระนางค่ะ คนเลยไม่ทันได้อินได้ซึ้ง บางคนเลยเถิดไปจนถึงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเค้ารักกันเหรอ?
เรื่องสอง
"อังศุมาลิน" ไม่รู้แกนึกยังไงของแกนะตีความออกมาเป็นแบบนี้ อังศูมาลินเวอร์ชันนี้แข็งค่ะ แต่เป็นแข็งคนละความหมายกับแข็งเวอร์ชันหนังของพี่เบิร์ดนะ อันนั้นแข็งแบบเงียบๆเย็นชา ส่วนเวอร์ชันนี้มันแข็งแบบกระโดกกระเดก การแสดงของน้องริชชี่ก็อย่างที่เราทราบๆกันอยู่แล้ว แต่จะบอกว่าน้องเค้าก็มีฉากดีๆนะ (เรานั่งนับอยู่) ถ้าให้แบบเคร่งครัดเราจะให้ประมาณ 3 ฉาก หนึ่งในนั้น คือฉากที่พ่อโกพูดประโยค ..คุณมีเหตุผลของคุณ.. สายตาและสีหน้าสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีนะมันดูแล้วมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เป็นความใจอ่อนแต่ก็มีความคิดอะไรบางอย่างทำให้ต้องหยุดมันไว้ เราจับอาการได้แบบนี้ แต่ถ้าให้คะแนนแบบใจดีหน่อย เราว่าน้องเค้าทำได้ดีประมาณ 4-5 ฉากเลยล่ะ และทั้งหมดเป็นฉากที่เศร้าและไม่มีบทพูดค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่รวมฉากสุดท้าย ที่เรามองว่าไม่ผ่านแม้จะดูเหมือนน้องเค้าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นเผาเต่าก็ตาม (ทั้งๆที่อารมณ์เราโดนดึงให้แกว่งไปอยู่แล้วตอนโกโบริพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ) การพูดและการแสดงของน้องเค้าทำให้อารมณ์เราหยุดชะงัก หน้าอังซังดูเหมือนเศร้าก็จริง แต่เค้าไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่ากำลังเศร้าเรื่องตรงหน้าเค้า ของแบบนี้เหมือนไม่น่าจะดูออก แต่เราว่ามันออกนะคะ ออกตรงไหนรู้มั้ย ออกตรงแววตาไง เวลานักแสดงเล่นมีสมาธิหรือไม่มีสมาธิมันออกตรงนั้นแหละค่ะ ถ้ามีสมาธิอยู่กับเหตุการณ์ แววตาจะโฟกัสและจดจ่อกับเรื่องตรงหน้า ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ริชชี่ขาดไปในฉากส่วนใหญ่ทั้งหมดในเรื่อง แววตาหลุดหลายฉากมาก (ซึ่งพอฉากไหนสมาธิดี เราก็เห็นว่าเค้าทำได้ดีนะ)
เรื่องสุดท้าย
"บท" เราว่าผกก.สไตล์แกไม่เหมาะกับการกำกับหนังที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์แบบคู่กรรมนะ ดูแล้วรู้สึกเลยว่าคุณเรียวแกกล้าจะเล่าเรื่องแบบใหม่ แต่แกกล้าไม่สุดตัว เราว่าหลายๆฉากแกพยายามจะยัดให้มันเป็นคู่กรรมด้วยซ้ำ (แกกล้าตัดแค่พวกสัญลักษณ์ของบทประพันธ์ออกเท่านั้นแหละ หิ่งห้อย ลำพู ฯลฯ ขิมแกยังแอบใส่มาฉากนึงนะ กล้องตั้งใจถ่าย เป็นการแอบบอกที่ฮาๆน่ารักดี 555) หลายอย่างหลายฉากจึงดูเหมือนถูกยัดเข้ามา แล้วมันทำให้หนังเรื่องนี้ดูล่กและไม่ธรรมชาติ
สรุปแล้วถามว่าเราให้ผ่านมั้ย ส่วนตัวเรามองว่าถ้าหนังซักเรื่องจะผ่านไม่ผ่าน พื้นฐานหลักๆเลยต้องดูว่าหนังเรื่องนั้นดึงอารมณ์ความรู้สึกเราให้เข้าไปอยู่ในตัวหนังได้มากแค่ไหน ด้วยเนื้อเรื่องและการดึงอารมณ์ของเรื่องนี้ทำให้เราอินไปกับหนังไม่ได้เท่าที่ควรหรือเคยเป็นเลยค่ะ เรายังมองว่าเรื่องนี้สอบตกนะ เพียงแต่เป็นการสอบตกที่มีส่วนประกอบอะไรบางอย่างที่พิเศษและน่าสนใจ ซึ่งเรามองว่าตรงนั้นคือสไตล์การกำกับที่มีอยู่ในตัวคุณเรียวเองน่ะแหละ ที่มันไม่เหมือนใคร ถ้าเปรียบเทียบเป็นอาหาร หนังทั้งเรื่องคืออาหารทั้งจาน สไตล์ที่สอดแทรกมาของผู้กำกับคือรสชาติแฝง หนังเรื่องนี้รวมๆแล้วยังไม่อร่อยประทับใจเท่าที่ควรเหมือนมาตรฐานอาหารจานอื่นที่เราเคยชิมมาก่อน แต่กลับมีรสชาติแฝงที่ทำให้เราสะดุด จนเราอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเอารสชาติแฝงนี้ไปใส่กับอาหารรสชาติดีๆสักจาน คงทำให้เกิดอาหารรสชาติชั้นเลิศที่อร่อยและมีเอกลักษณ์น่าจดจำได้ไม่ยากเลย กลับไปทำอาหารจานที่ถนัดเถอะค่ะ เรื่องนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติของคุณเลย
ตอบไปตามความรู้สึกส่วนตัวคนดูธรรมดาๆคนนึง อย่าโกรธกันนะคะ
--------------------------
อ้อ เสริมอีกเรื่อง เห็นคุณทมยันตีบอกว่าหนังเรื่องนี้พยายามเน้นในมุมของความโหดร้ายของสงคราม ส่วนตัวเรายังไม่เห็นความชัดของมันขนาดนั้นเลยนะคะ ลองนึกย้อนเท่าที่นึกออกตอนนี้ดู เราว่าในหนังมันก็มีไม่กี่ฉากนะคะที่ฉายเน้นภาพความโหดร้ายของสงครามชัดๆ เรานึกออกฉากคนที่กองคลานกันอยู่ฉากเดียวเอง คือจริงๆมันก็พอดูออกอ้ะนะว่านำเสนอในจุดนี้อยู่ แต่จะบอกว่ามันไม่ได้ชัดมากไปกว่าเวอร์ชันอื่นๆเยอะแยะขนาดนั้นเลยค่ะ เอาแค่ละครเวอร์ชันปัจจุบันอย่างเดียวก็พอ ก่อนหน้านี้ฉากระเบิดหลายๆฉาก ยังมีภาพโคลสอัพคนที่เจ็บปวดจากการโดนระเบิดและบรรยากาศความเศร้าโศกจากสงครามอยู่บ่อยๆเลย (ขนาดละครเน้นความรักนะนั่น) ยังจะเห็นชัดเจนกว่าอีก (แต่ก็นะ อาจจะเพราะละครเวลามันมีให้เล่นเยอะกว่า ไม่รีบเหมือนหนัง)
ดูคู่กรรมจบแล้วไม่ค่อยแปลกใจนะว่าทำไมถึงมีทั้งคนที่ชอบเรื่องนี้มาก และคนที่เกลียดเรื่องนี้มาก
(จริงๆมีเรื่องอยากพูดเยอะแยะไปหมด แต่มาตอนตลาดวายแล้วเลยจะพยายามพูดให้สั้นที่สุดเท่าที่จะทำได้นะคะ 555)
ส่วนที่ดีๆ อย่างแรกเลยคือลายเซ็นของผู้กำกับแกคงอยู่ชัดเจนนะในเรื่องนี้ เราไม่ใช่แฟนหนังแกหรอก แต่เคยชอบโกลล์คลับมากๆ มุมกล้องในเรื่องนี้และการเล่าเรื่องบางอย่างทำให้เรานึกถึงเรื่องโกลล์คลับขึ้นมาเลยค่ะ ซึ่งเราว่ามันก็ดูเท่ห์และมีสไตล์ดีนะ หลายๆฉากออกมาได้สวยเลยล่ะ ฉากสะพานพุทธตอนขี่จักรยานก็ทำออกมาได้งดงามและน่ารักดีค่ะ (แม้หลายๆฉากจะมีความหลอนจากตอนเคยดูเรื่อง เดอะ เมีย ของแกโผล่มาบ้าง) ผกก.สำหรับเรามันเหมือนคนมาเล่านิทานให้ฟังน่ะค่ะ ปกติเรื่องเศร้าๆคนมักจะเล่าด้วยน้ำเสียงละมุนซาบซึ้ง แต่คุณเรียวแกเอามาเล่าด้วยน้ำเสียงน่ารักและกวนๆปนดิบๆนิดๆแทน คนอื่นอาจจะไม่ชอบบอกว่าไม่เข้า แต่เราชอบความคิดสร้างสรรค์แกในการเลือกเล่าในแง่มุมนี้นะ คือมันได้ความแปลกใหม่ที่รู้สึกสะดุดได้ตั้งแต่แรกเลย จะมีก็เพียงแต่ มันดันมีองค์ประกอบอื่นๆที่ทำให้นิทานเรื่องนี้ฟังแล้วไม่ซึ้งน่ะสิคะ ดังที่จะกล่าวต่อไปข้างล่าง.....
ส่วนแย่ เรื่องแรกเลยคือ "จังหวะ" การเล่าเรื่องที่รวดเร็ว เราว่าแกคิดผิดมากเลยที่เลือกจังหวะการเล่าเรื่องแบบนี้กับหนังรัก มันมีผลเสียชัดๆ 2 อย่าง 1. หลายคนที่ไม่เคยดูหรืออ่านคู่กรรมมาก่อนคงงงแน่ อย่างฉากซ่อนเชลยในห้องนางเอก บทสนทนานพระนางมันห้วนแก่การทำความเข้าใจมากเลยค่ะ หรือแม้แต่คนที่เข้าใจว่าเค้าพูดอะไรอยู่ก็เหอะ คิดว่ายังไงก็คงเข้าใจได้ไม่ลึกซึ้งเท่าที่ควรเพราะสิ่งที่แสดงออกมามันไม่ได้นำพาไปได้ขนาดนั้น 2. มันไม่มีเวลาให้คนได้ทันดื่มด่ำซาบซึ้งกับความรักของพระนางค่ะ คนเลยไม่ทันได้อินได้ซึ้ง บางคนเลยเถิดไปจนถึงไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าเค้ารักกันเหรอ?
เรื่องสอง "อังศุมาลิน" ไม่รู้แกนึกยังไงของแกนะตีความออกมาเป็นแบบนี้ อังศูมาลินเวอร์ชันนี้แข็งค่ะ แต่เป็นแข็งคนละความหมายกับแข็งเวอร์ชันหนังของพี่เบิร์ดนะ อันนั้นแข็งแบบเงียบๆเย็นชา ส่วนเวอร์ชันนี้มันแข็งแบบกระโดกกระเดก การแสดงของน้องริชชี่ก็อย่างที่เราทราบๆกันอยู่แล้ว แต่จะบอกว่าน้องเค้าก็มีฉากดีๆนะ (เรานั่งนับอยู่) ถ้าให้แบบเคร่งครัดเราจะให้ประมาณ 3 ฉาก หนึ่งในนั้น คือฉากที่พ่อโกพูดประโยค ..คุณมีเหตุผลของคุณ.. สายตาและสีหน้าสื่ออารมณ์ออกมาได้ดีนะมันดูแล้วมีความคิดอะไรบางอย่างอยู่ข้างใน เป็นความใจอ่อนแต่ก็มีความคิดอะไรบางอย่างทำให้ต้องหยุดมันไว้ เราจับอาการได้แบบนี้ แต่ถ้าให้คะแนนแบบใจดีหน่อย เราว่าน้องเค้าทำได้ดีประมาณ 4-5 ฉากเลยล่ะ และทั้งหมดเป็นฉากที่เศร้าและไม่มีบทพูดค่ะ ซึ่งหนึ่งในนั้นไม่รวมฉากสุดท้าย ที่เรามองว่าไม่ผ่านแม้จะดูเหมือนน้องเค้าร้องไห้น้ำตาไหลเป็นเผาเต่าก็ตาม (ทั้งๆที่อารมณ์เราโดนดึงให้แกว่งไปอยู่แล้วตอนโกโบริพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ) การพูดและการแสดงของน้องเค้าทำให้อารมณ์เราหยุดชะงัก หน้าอังซังดูเหมือนเศร้าก็จริง แต่เค้าไม่สามารถทำให้เรารู้สึกได้ว่ากำลังเศร้าเรื่องตรงหน้าเค้า ของแบบนี้เหมือนไม่น่าจะดูออก แต่เราว่ามันออกนะคะ ออกตรงไหนรู้มั้ย ออกตรงแววตาไง เวลานักแสดงเล่นมีสมาธิหรือไม่มีสมาธิมันออกตรงนั้นแหละค่ะ ถ้ามีสมาธิอยู่กับเหตุการณ์ แววตาจะโฟกัสและจดจ่อกับเรื่องตรงหน้า ซึ่งส่วนนี้เป็นส่วนที่ริชชี่ขาดไปในฉากส่วนใหญ่ทั้งหมดในเรื่อง แววตาหลุดหลายฉากมาก (ซึ่งพอฉากไหนสมาธิดี เราก็เห็นว่าเค้าทำได้ดีนะ)
เรื่องสุดท้าย "บท" เราว่าผกก.สไตล์แกไม่เหมาะกับการกำกับหนังที่ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์แบบคู่กรรมนะ ดูแล้วรู้สึกเลยว่าคุณเรียวแกกล้าจะเล่าเรื่องแบบใหม่ แต่แกกล้าไม่สุดตัว เราว่าหลายๆฉากแกพยายามจะยัดให้มันเป็นคู่กรรมด้วยซ้ำ (แกกล้าตัดแค่พวกสัญลักษณ์ของบทประพันธ์ออกเท่านั้นแหละ หิ่งห้อย ลำพู ฯลฯ ขิมแกยังแอบใส่มาฉากนึงนะ กล้องตั้งใจถ่าย เป็นการแอบบอกที่ฮาๆน่ารักดี 555) หลายอย่างหลายฉากจึงดูเหมือนถูกยัดเข้ามา แล้วมันทำให้หนังเรื่องนี้ดูล่กและไม่ธรรมชาติ
สรุปแล้วถามว่าเราให้ผ่านมั้ย ส่วนตัวเรามองว่าถ้าหนังซักเรื่องจะผ่านไม่ผ่าน พื้นฐานหลักๆเลยต้องดูว่าหนังเรื่องนั้นดึงอารมณ์ความรู้สึกเราให้เข้าไปอยู่ในตัวหนังได้มากแค่ไหน ด้วยเนื้อเรื่องและการดึงอารมณ์ของเรื่องนี้ทำให้เราอินไปกับหนังไม่ได้เท่าที่ควรหรือเคยเป็นเลยค่ะ เรายังมองว่าเรื่องนี้สอบตกนะ เพียงแต่เป็นการสอบตกที่มีส่วนประกอบอะไรบางอย่างที่พิเศษและน่าสนใจ ซึ่งเรามองว่าตรงนั้นคือสไตล์การกำกับที่มีอยู่ในตัวคุณเรียวเองน่ะแหละ ที่มันไม่เหมือนใคร ถ้าเปรียบเทียบเป็นอาหาร หนังทั้งเรื่องคืออาหารทั้งจาน สไตล์ที่สอดแทรกมาของผู้กำกับคือรสชาติแฝง หนังเรื่องนี้รวมๆแล้วยังไม่อร่อยประทับใจเท่าที่ควรเหมือนมาตรฐานอาหารจานอื่นที่เราเคยชิมมาก่อน แต่กลับมีรสชาติแฝงที่ทำให้เราสะดุด จนเราอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเอารสชาติแฝงนี้ไปใส่กับอาหารรสชาติดีๆสักจาน คงทำให้เกิดอาหารรสชาติชั้นเลิศที่อร่อยและมีเอกลักษณ์น่าจดจำได้ไม่ยากเลย กลับไปทำอาหารจานที่ถนัดเถอะค่ะ เรื่องนี้มันไม่ใช่ธรรมชาติของคุณเลย
ตอบไปตามความรู้สึกส่วนตัวคนดูธรรมดาๆคนนึง อย่าโกรธกันนะคะ
--------------------------
อ้อ เสริมอีกเรื่อง เห็นคุณทมยันตีบอกว่าหนังเรื่องนี้พยายามเน้นในมุมของความโหดร้ายของสงคราม ส่วนตัวเรายังไม่เห็นความชัดของมันขนาดนั้นเลยนะคะ ลองนึกย้อนเท่าที่นึกออกตอนนี้ดู เราว่าในหนังมันก็มีไม่กี่ฉากนะคะที่ฉายเน้นภาพความโหดร้ายของสงครามชัดๆ เรานึกออกฉากคนที่กองคลานกันอยู่ฉากเดียวเอง คือจริงๆมันก็พอดูออกอ้ะนะว่านำเสนอในจุดนี้อยู่ แต่จะบอกว่ามันไม่ได้ชัดมากไปกว่าเวอร์ชันอื่นๆเยอะแยะขนาดนั้นเลยค่ะ เอาแค่ละครเวอร์ชันปัจจุบันอย่างเดียวก็พอ ก่อนหน้านี้ฉากระเบิดหลายๆฉาก ยังมีภาพโคลสอัพคนที่เจ็บปวดจากการโดนระเบิดและบรรยากาศความเศร้าโศกจากสงครามอยู่บ่อยๆเลย (ขนาดละครเน้นความรักนะนั่น) ยังจะเห็นชัดเจนกว่าอีก (แต่ก็นะ อาจจะเพราะละครเวลามันมีให้เล่นเยอะกว่า ไม่รีบเหมือนหนัง)